"หึ...หึ...หึๆๆ สตรีสูงศักดิ์แล้วเช่นไร สายเืัอันสูงส่งแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ต้องกลายเป็เพียงเถ้ากระดูกด้วยน้ำมือของข้า ทั้งที่ข้าแต่งเข้าตำหนักก่อน แต่กลับได้เป็เพียงชายารอง ทั้งที่ข้าให้กำเนิดบุตรชายคนโตที่มากความสามารถทว่ามิอาจบอกผู้คนอย่างออกนอกหน้า แล้วหลี่เซวียนผู้นั้นมีดีที่ตรงไหนไปกว่าข้าบ้าง! แม้กระทั่งชีวิตอันน่าสมเพศของตนเองยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ จิ้งเหอจ่างกงจู่งั้นรึ ฮ่าๆๆ"สตรีผู้มีศักดิ์เป็ถึงฮองเฮากล่าววาจาเย้ยหยันเมื่อได้ฟังบทลงโทษที่ตนเองจะได้รับ
"ที่จริงข้ามีคำกล่าวที่พักหลังมานี้ชอบใช้เป็พิเศษ...คนเราเมื่อทำสิ่งใดก็จงเผื่อใจไว้สามส่วนยามที่มีผู้มากระทำแบบเดียวกันกับเ้าบ้าง คนอย่างเ้าที่ถนัดแต่วางแผนลอบกัดแล้วจะทำสิ่งใดได้ จริงอยู่ที่หลี่เซวียนอ่อนแอไร้กำลังปกป้องตนเองทว่าเ้ากลับลืมสิ่งสำคัญที่เกี่ยวกับสตรีอันน่าสมเพศผู้นั้น นางเป็บุตรของผู้ใด นางกำเนิดมาจากที่ใด ผู้ที่พร้อมจะลงดาบต่อสู้เพื่อทวงความเป็ธรรมให้นางมีมากน้อยเพียงใด!"
"...!"
"ที่บ้านของข้านั้นที่ไม่ขาดแคลนก็คงจะเป็ตำราหลากหลายแขนง หนึ่งในนั้นที่ข้าใช้เวลาศึกษามันอยู่หลายหนก็คงจะเป็ศาสตร์การหัก ยืด หดและยึดกระดูกมนุษย์ แรกเริ่มเดิมทีข้าก็ไม่เข้าใจเท่าใดนักจึงได้ศึกษาอย่างแตกฉาน มนุษย์เราเมื่อโดนหักกระดูกนั้นว่าเ็ปอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังไม่ถึงเสี้ยวของความเ็ปจากการโดนบิดกระดูกไปมาและยึดไว้ด้วยหมุดเหล็กอันใหญ่ อืมม...พวกเ้ารวมๆ กันแล้วก็มีสิบสองคนพอดี เข้ากับบทเพลง ดอกเหมยสิบสอง"
ดอกเหมยสิบสอง สิบสองบทเพลงขับขานจนเลื่องลือ สิบสองบทร่ายร่ำผู้คนตกตะลึงเมื่อได้ชม พูดร่ายยาวมิสู้ลงมือทำนั่นคือคติหนึ่งของซ่างกวนจือหลิน กระดูกของสตรีชาววังออกจะหักง่ายไปสักหน่อยแต่นั่นไม่ได้เป็ปัญหา ใช้หมุดเหล็กยึดเอาไว้เท่านี้ก็จะได้ท่าทางที่้าแล้ว
อื้อๆๆอ๊าาากรี๊ดดด
"ชู่วว...อย่าส่งเสียงดังไป ข้าเข้าใจดีว่านี่ออกจะเจ็บอยู่สักเล็กน้อย แต่ว่าเกิดเป็คนก็ต้องเรียนรู้ที่จะอดทนให้ถึงที่สุด ความเ็ปจนถึงแก่นกระดูกเช่นนี้คงพอเทียบได้กับอาการของสตรีที่คลอดบุตรท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ เ้าเป็ผู้ที่หยิบยื่นความตายให้หลี่เซวียนอย่างช้าๆ ให้นางทุกทรมานก่อนสิ้นใจอยู่หลายปี นี่ข้าลงโทษเ้าแค่ไม่กี่ชั่วยามก่อนที่เ้าจะตายถือว่าเมตตาแล้ว"
เมื่อกาลเวลาหมุนผ่านไม่ว่าต่อไปจะยังมีแคว้นเหลียวอยู่หรือไม่ ก็ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ทั่วทั้งหกแคว้นและสิบสามชนเผ่าต้องจดจำเหตุการณ์ในครั้งนี้จนขึ้นใจ พยัคฆ์ร้ายที่หลับใหลนับั้แ่เหตุการณ์กลียุคสิ้นสุดลง บัดนี้มันได้ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลเป็ที่เรียบร้อย
เมื่อข่าวสารส่งส่งออกไปเกิดเป็แรงกระเพื่อมที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของขุมอำนาจน้อยใหญ่ ราวกลับ้าปลุกหลายคนให้ตื่นขึ้นมาจากฝัน ตระกูล 'ซ่างกวน'หวนคืนสู่วิถีแห่งอำนาจ
ใต้หล้านับจากนี้ จะสงบสุขหรือวุ่นวาย
ล้วนมิอาจคาดเดา
ณ ท้องพระโรงแคว้นเหลียว
เช้าวันใหม่อากาศแจ่มใสขึ้นมาเล็กน้อย บรรยากาศเช่นนี้ช่วยลดความอึมครึมที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งพระราชวัง เหล่าขุนนางที่กำลังคุกเข่าก้มหน้ามาตลอดทั้งเช้าต่างก็เริ่มยอมรับในชะตาชีวิตของตนต่อจากนี้ได้เป็อย่างดี เสียงเปิดแผ่นกระดาษดังสวบสาบมันช่างสะท้อนเข้าไปในจิตใจของพวกเขาได้เป็อย่างดี
ยามนี้ซ่างกวนจือหลินกำลังนั่งอยู่ขั้นบนสุดของบันไดเื้ัของนางคือบัลลังก์ทองที่เ้าตัวไม่คิดที่จะนั่ง ในมือของหญิงสาวถือเอกสารประวัติความเป็มาของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่เอาไว้บัดนี้เ้าตัวได้ตรวจสอบมาจนเกือบครบทุกคนแล้ว ที่ด้านข้างของนางก็มีเด็กชายร่างผอมผู้นั้นกำลังนั่งมองการกระทำของนางอย่างเงียบเชียบไม่ได้ส่งเสียงรบกวนแม้ครึ่งคำ สิ่งที่เ้าเด็กนี่ทำมีเพียงหยิบเอกสารที่ซ่างกวนจือหลินอ่านจบแล้วขึ้นมาอ่านต่ออย่างตั้งใจ
ซ่างกวนจือหลินไม่ได้ห้ามปรามหรือกล่าวอันใดทำเพียงแต่เหลือบมองแล้วกลับมาจดจ่อที่แผ่นกระดาษในมือของตนเองต่อไป เมื่อตัวอักษรสุดท้ายถูกอ่านจนจบนางก็หยุดพักจิบชาเพื่อรอให้เด็กชายที่นั่งอยู่ด้านข้างอ่านจบ ไม่ได้กดดันแม้ครึ่งคำ เมื่อเด็กชายอ่านข้อความจบแล้วก็นำกระดาษไปวางรวมกันที่ข้างตัวอย่างเรียบร้อย เสร็จแล้วเ้าตัวก็หันหน้าไปมองพี่สาวแม่ทัพที่กำลังดื่มด่ำกับการจับชา
"เ้ามีนามว่ากระไร ไม่สิมารดาของเ้าเรียกขานเ้าว่าเช่นไร"ซ่างกวนจือหลินวางถ้วยชาลงแล้วหันไปมองเ้าหนูตัวเปี๊ยกด้านข้างพร้อมกับเอ่ยถามสิ่งที่คล้ายว่านางจะยังไม่รู้
"พระมารดามักเรียกข้าว่าหมินเอ๋อร์ ให้ใช้แซ่ตามท่าน แซ่ หลี่ นาม ซื่อหมิน"เด็กน้อยประสานมือตอบคล้ายเป็การทำความรู้จักอีกฝ่ายอย่างเป็ทางการ ถึงเ้าตัวจะแสดงออกอย่างเยือกเย็นทว่ากลับแฝงไปด้วยความเงอะงะของเด็กน้อยวัยห้าขวบ
"หลี่ซื่อหมิน...เป็ชื่อที่ดี ข้ามีนามว่าซ่างกวนจือหลิน เอาล่ะเ้าหนูหลี่ซื่อหมินลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น"ซ่างกวนจือหลินชี้ไปยังบัลลังก์ทองที่อยู่เื้ั
"ที่ตรงนั้นข้า...นั่งได้หรือขอรับ"เด็กชายตัวน้อยถามอย่างไม่แน่ใจ ั้แ่จำความได้ความเป็อยู่ของเขากับพระมารดาล้วนย่ำแย่เสียยิ่งกว่าทาสชั้นต่ำในวังหลวงแห่งนี้ด้วยซ้ำ นั่นเป็เหตุผลที่ทำให้เขาลังเลว่าตนเองจะสามารถก้าวเดินขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งนั้นได้จริงหรือ
"ให้เ้าไปนั่งก็ไปนั่ง ตามองหูฟังแล้วจงเรียนรู้ให้มาก เข้าใจหรือไม่"ซ่างกวนจือหลินดีดหน้าผากเล็กๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว มารดาไม่ได้เลอะเลือนถึงเพียงนั้น ถึงจะให้เด็กห้าขวบมาปกครองแคว้น
"ขอรับ"เด็กชายตัวน้อยลูบหน้าผากตนเองไปมา ถึงน้ำตาจะคลอไปบ้างแต่ก็เดินไปปีนขึ้นนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง
"เอาล่ะ เ้า...เ้าและก็เ้า ทั้งสามคนก้าวออกมา"ซ่างกวนจือหลินชี้ไปยังขุนนางสามคน แถวหน้าสุดหนึ่ง แถวกลางหนึ่งและสุดท้ายเป็คนที่อยู่แถวค่อนไปทางหลังสุด คนทั้งสามต่างมองซ้ายขวาอย่างไม่แน่ใจ เมื่อเป็ที่แน่ชัดแล้วว่าผู้ที่ถูกเรียกนั้นเป็ตนเองก็ได้แต่จำใจก้าวขาอันสั่นเทาเดินออกไปหยุดอยู่เบื้องหน้าสตรีในชุดเกราะอย่างพร้อมเพรียง
"ผู้น้อยทำความเคารพท่านแม่ทัพ"ทั้งสามประสานมือค้อมกายอย่างมีมารยาท
"ไม่ต้องมากพิธี เสนบดีผู้ดูแลทั้งหกกรม เ้ากรมกลาโหมและก็ขุนนางกรมยุติธรรมเ้าถนัดเขียนเื่สำนวนใช่หรือไม่"ซ่างกวนจือหลินหันไปถามชายวัยกลางคนที่มีตำแหน่งขุนนางขั้นห้าเท่านั้น
"เรียนท่านแม่ทัพ เป็เช่นนั้นขอรับ"
"เอาล่ะข้าจะบอกสิ่งที่เ้าต้องเขียน ทหาร!นำสิ่งของเข้ามา"สิ้นเสียงทหารสองนายก็ยกโต๊ะเขียนอักษรเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย หมึกถูกฝนจนเพียงพอ ม้วนราชโองการถูกกางออกจนเรียบตึง อักษรก็ถูกแต่งแต้มลงบนแผ่นกระดาษที่ละประโยค ที่ละประโยคโดยไม่ตกหล่นแม้สักนิด
'ด้วยโองการแห่ง์
สกุลเย่ว์ลู่มีความผิดมหันต์เป็เหตุให้ต้องถูกลบชื่อสกุลออกไปจากทุกหน้าประวัติศาสตร์ของแคว้นเหลียว หากพบว่ายังมีผู้ภักดีหรือคิดที่จะกอบกู้สกุลเย่ว์ลู่ขึ้นมา มีความผิดปะาเก้าชั่วโคตร
จิ้งเหอจ่างกงจู่สิ้นพระชนอย่างอนาถ ณ แคว้นเหลียว เดิมทีควรที่จะทำลายแคว้นเหลียวให้สิ้นซาก ทว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็น จึงทำเพียงแค่กวาดล้างราชวงค์เย่ว์ลู่เท่านั้น
ทว่าบ้านเมืองไม่อาจขาดผู้ปกครองได้แม้เพียงหนึ่งวัน เหล่าขุนนางและผู้แทนจากแคว้นซ่งได้ลงความเห็นว่า พระโอรสในจิ้งเหอจ่างกงจู่เหมาะสมที่จะครองบัลลังก์
ด้วยบัญชาจาก์ในวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนหนึ่ง ปีไท่จงที่หนึ่ง แคว้นเหลียวสถาปนาฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แซ่หลี่ นามซื่อหมิน เป็ฮ่องเต้ไท่จงแห่งราชวงศ์หลี่
เนื่องด้วยฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังเยาว์วัยจำเป็ต้องเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ด้านการปกครองให้มาก จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งเสบดีผู้ดูแลทั้งหกกรมขุนนางขั้นหนึ่ง เ้ากรมกลาโหมขุนนางขั้นสองและขุนนางกรมยุติธรรมขุนนางขั้นห้า ทั้งสามแต่งตั้งให้เป็ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนกว่าฮ่องเต้ไท่จงจะทรงสามารถดูแลราชกิจปกครองบ้านเมืองได้ด้วยพระองค์เอง
จบราชโองการ'
ซ่างกวนจือหลินรับราชโองการมาอ่านทบทวนเนื้อหาโดยละเอียด เมื่อเป็ที่แน่ใจแล้วว่าเนื้อหาถูกต้องครบถ้วนหญิงสาวก็ทำสัญญาณมือให้รองแม่ทัพกวนนำพระราชลัญจกรเข้ามา พระราชลัญจกรนี้ถูกสลักขึ้นมาใหม่โดยใช้ช่างแกะสลักหยกสิบสองคนสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกภายในระยะเวลากว่าสองวัน ไม่ผิดสองวันเท่านั้น ราชวงค์ใหม่ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ จะมาใช้ลัญจกรของราชวงค์เย่ว์ลู่ได้เช่นไร
หลี่ซื่อหมินอ่านข้อความในราชโองการอย่างจริงจัง ความทุกข์ ความเคียดแค้น ความอัปยศอดสูตลอดหลายปีที่ได้ประสบพบเจอ วันนี้ได้รับการปลดปล่อยทว่าในวันที่ตัวเขาได้รับอิสระจากนรกแห่งนี้มีเพียงพระมารดาที่ไม่มีวันหวนคืนกลับมาได้อีกตลอดกาล
ปึง!
เด็กน้อยใช้สองมือประคองพระราชลัญจกรขึ้นมาแล้วประทับตราลงไปบนแผ่นกระดาษอย่างแรง
โองการ์ ฮ่องเต้ไท่จง ราชวงศ์หลี่ แห่งแคว้นเหลียว
สี่ประโยคที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ไปอีกหลายร้อย หลายพันปี
หลังจากสะสางเื่ราวให้เข้าที่เข้าทางก็กินเวลามาเกือบหนึ่งเดือน ล่วงเข้าเดือนที่สองของปีใหม่ก็ได้เวลาเดินทางกลับบ้านเสียที เหล่าทหารที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็อยากกลับไปหาครอบครัวเต็มแก่ คำสั่งเคลื่อนพลงกลับต้าซ่งถูกถ่ายทอดลงไปั้แ่เมื่อวาน วันนี้ทุกคนต่างเตรียมพร้อมออกเดินทาง
“เ้าหนูไปพาแม่เ้ามา ข้าจะพาพวกเ้าสองแม่ลูกกลับต้าซ่ง” ซ่างกวนจือหลินยืนเท้าเอวมองกองทัพอันเป็ระเบียบที่ตั้งแถวยาวไปหลายลี้ นางหันมาบอกเ้าเปี๊ยกในชุดัสีทองที่ยืนอยู่ข้างกายนางอย่างเชื่อฟัง
“ต้าซ่ง?ที่ที่เป็บ้านเกิดของพระมารดาใช่หรือไม่ขอรับ” ฮ่องเต้น้อยเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวแม่ทัพที่เขาให้ความเคารพ
“ใช่สิ” ซ่างกวนจือหลินเลิกคิ้วตอบคำถามแบบกวนๆ เห็นเ้าเปี๊ยกนี่ก็ชักจะคิดถึงเ้าสองแสบขึ้นมาหน่อยๆ แฮะ
ผู้สำเร็จราชกาลทั้งสามเมื่อได้ฟังเช่นนั้นต่างก็มองหน้าปรึกษากันทางสายตาอย่างว้าวุ่นใจ สุดท้ายก็เป็ผู้ที่อายุมากสุดจำต้องเสียงตายออกมาทูลทัดทาน
“ฝ่าา ท่านแม่ทัพ ได้โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบต้าเหลียวจะขาดฮ่องเต้ได้เช่นไร อีกทั้งฮ่องเต้น้อยยังจำเป็ต้องเรียนรู้การจัดการราชกิจ จะจากไปเช่นนี้ได้เช่นไร”
เด็กชายตัวน้อยชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปเล็กน้อยเมื่อไตร่ตรองดูให้ดีเ้าตัวก็ก้าวเท้าออกเดินต่อไปโดยที่ไม่หันกลับมามองแม้สักเสี้ยว ซ่างกวนจือหลินที่เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มีความคิดเป็ของตนเองเช่นนี้ก็ดี
“พวกเ้านี่ยังไงกัน ที่ต้าซ่งมีอะไรที่ฮ่องเต้ของพวกเ้าจะเรียนรู้ไม่ได้บ้าง เสด็จตาของเขาเป็ถึงฮ่องเต้ เสด็จน้าดำรงตำแหน่งหวงไท่จื่อ ยังมีตระกูลเฉินและซ่างกวนที่เป็ตระกูลแม่ทัพเลื่องชื่อ ต่อให้มีฮ่องเต้ของเ้าอีกสิบคนจะยังเรียนรู้สิ่งที่พวกข้าจะถ่ายทอดให้ได้หมดงั้นรึ” ตาแก่พวกนี้นี่ หญิงสาวแค่นเสียงอย่างหงุดหงิดที่ต้องพูดจาเสียยืดยาว
ส่วนทางด้านเหล่าผู้สำเร็จราชการหมาดๆ ได้แต่ก้มหน้าอย่างอับอายในที เป็พวกเขาที่ร้อนรนแล้วลืมนึกถึงปัจจัยข้อนี้ไปเสียสนิท เมื่อเป็เช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่ก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม รอจนกระทั่งฮ่องเต้น้องเสด็จกลับมาพร้อมกับโหลอัฐิสีขาวใบหนึ่งที่ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปทำให้เด็กชายสามารถโอบอุ้มไว้ในอ้อมกอดได้อย่างมั่นคง
“รองแม่ทัพกวน”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“ข่าวสารถูกส่งออกไปแล้วใช่หรือไม่” ซ่างกวนจือหลินทอดสายตาออกไปมองยังคลื่นมนุษย์เบื้องล่างอย่างใช้ความคิด
“เรียนท่านแม่ทัพ ใช้ม้าเร็วที่ดีที่สุดห้าสิบตัว สารด่วนแปดร้อยลี้คาดว่าจะถึงเปี้ยนจิงในสิบวันและไปถึงหัวเมืองต่างๆในเวลาไล่เลี่ยกัน” รองแม่ทัพกวนกล่าวรายงานด้วยความละเอียดรอบคอบ
สิบวัน?
เท่านี้ก็เพียงพอต่อการเดินทัพกลับหุบเขาิญญาพยัคฆ์
หลักการที่ดีของกองทัพคือไม่อาจปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้ถึงพลังอำนาจของกองทัพตัวเองอย่างชัดแจ้ง
ในกรณีนี้แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
เช่นนั้นแล้วตัวนางจะเหลือไพ่ตายอะไรอีก
ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ