ตระกูลซ่งเป็คนจากเมืองหลวงเก่า บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ลึกเข้าไปในซอยแคบๆ ซอยหนึ่ง ว่ากันว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่เรือนสี่ประสานแบบจีนโบราณ แต่เรือนหลักบวกกับเรือนตะวันออก และเรือนใต้รวมกันแล้วก็มีแค่สามหลังเท่านั้น ทว่าคนที่อยู่อาศัยกลับมีทั้งพ่อแม่สามี พี่ชายคนโต พี่สะใภ้และลูกของพวกเขาอีกสองคน ไหนจะน้องสามีอีก บวกกับครอบครัวเธออีกห้าชีวิต รวมทั้งหมดก็มีถึงสิบสองคน! ภายในตัวบ้านมีขนาดเล็กมาก แม้แต่ห้องปลดทุกข์ก็ยังไม่มี จึงทำได้เพียงเข้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะที่ด้านในสุดของซอยเท่านั้น
ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตู ซย่านีก็ได้ยินเสียงด่าทอด้วยความโกรธของหวังซิ่วอิงผู้เป็แม่สามีของเธอ
“ยัยสะใภ้รองไปตายที่ไหนแล้ว? นี่มันก็ดึกดื่นค่อนคืนยังไม่กลับบ้านอีก! เสื้อผ้าในบ้านกองพะเนินเป็ูเา หล่อนไม่เห็นหรือไง!”
“แม่คะ พี่สะใภ้รองไปดูหนังกับพี่เสวี่ยหรูค่ะ” ซ่งเหม่ยอวิ๋นเอ่ยฟ้องอย่างยินดีในความซวยของซย่านี
“อะไรนะ? ดูหนังงั้นหรือ?” หวังซิ่วอิงแค่ได้ยินก็ะเิโทสะทันที “นี่หล่อนยังมีหน้าไปดูหนังอีกงั้นหรือ? เงินไม่หาสักแดง รู้จักแต่ใช้เงิน! นังตัวแสบนี่นะวันๆ ทำแต่เื่เสียเงินทั้งนั้น! ตอนแรกฉันไม่น่ายอมให้ตารองพาสะใภ้แบบนี้เข้าบ้านมาเลย!”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นเบ้ปาก “พี่สะใภ้รองมาจากบ้านนอก คงอยากจะเห็นสักครั้งล่ะมั้งคะว่าโรงหนังหน้าตาเป็อย่างไร! แม่คงไม่รู้ล่ะสิท่า พี่เสวี่ยหรูน่ะ ยังแต่งหน้าให้หล่อนด้วยนะ แถมให้ยืมเสื้อผ้าใส่อีก! จนออกมาเหมือนพี่เสวี่ยหรูเป๊ะเลยล่ะค่ะ! พี่เสวี่ยหรูหน้าตาสวยปานนางฟ้า พี่สะใภ้รองของฉัน โถ่ ์เอ๋ย ตอนนี้ฉันเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ตงซีเลียนขมวดคิ้ว’ [1] แล้วล่ะ ถึงจะใส่เสื้อผ้าดูดีขนาดไหน ก็ปิดกลิ่นดินกลิ่นโคลนในตัวหล่อนไม่มิดเลยจริงๆ”
“หล่อนแต่งหน้าแต่งตัวด้วยงั้นหรือ? นี่หล่อนคิดจะทำอะไรกันแน่ฮะ?” หวังซิ่วอิงขมวดคิ้วมุ่น ยัยสะใภ้บ้านนอกคนนี้กระสันขนาดนี้เชียวหรือ?
“แม่คะ บอกพี่รองให้รีบทิ้งหล่อนเสียเถอะ พี่รองของหนูหน้าตาดีขนาดนั้น แถมยังเป็นักศึกษามหาลัยดังอีก อนาคตก็สดใส แต่ซย่านีทั้งขี้เหร่ทั้งไม่รู้หนังสือ หล่อนไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้พี่รองด้วยซ้ำ!” พูดถึงตรงนี้ซ่งเหม่ยอวิ๋นก็หงุดหงิดขึ้นมา “ถ้าให้หนูพูดล่ะก็นะ มีแต่พี่เสวี่ยหรูคนสวยเท่านั้นแหละที่คู่ควรกับพี่รอง!”
“แกคิดว่าฉันไม่ได้พูดหรือไง! ฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะไปตั้งเท่าไหร่แล้ว! พี่รองของแกก็เอาแต่หูทวนลม พูดไปก็ไม่ได้เื่!” พอพูดถึงเื่นี้ขึ้นมา หวังซิ่วอิงโกรธจนเจ็บหัวใจ
ซย่านีทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงผลักประตูใหญ่ให้เปิดออก ด่าเธอไปเธอไม่ว่า แต่เธอไม่อาจทนฟังคนอื่นมาด่าซ่งหานเจียงแบบนี้ได้ ในชาติก่อน หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คนอื่นๆ พยายามหว่านล้อมให้ซ่งหานเจียงหย่ากับเธอ แต่ซ่งหานเจียงกลับไม่ยินยอม เขาบอกว่าเื่ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเธอ เขาไม่โทษเธอ ต่อให้คนอื่นจะแอบหัวเราะลับหลังว่าเขาโดนภรรยาสวมหมวกเขียว [2] เขาก็ไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง แถมยังปลอบเธออีกว่า แค่ใช้ชีวิตตนเองให้ดีก็พอแล้ว อย่าเก็บคำพูดคนอื่นมาใส่ใจเลย
“แม่คะ” ซย่านีมองไปทางแม่สามีของตน
“หล่อนก็ยังรู้จักทางกลับบ้านเหมือนกันนี่!” หวังซิ่วอิงหันหน้าไปทางต้นเสียง สายตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของซย่านี ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับโวยวายชี้หน้า “ดูสิดู ว่าหล่อนกำลังแต่งตัวอะไรของหล่อนฮึ! แต่งตัวยั่วยวนอะไรอย่างนี้! ซย่านีฉันจะบอกอะไรให้หล่อนฟัง ถ้าหล่อนกล้าทำผิดต่อลูกชายฉันตอนอยู่นอกบ้านล่ะก็ ฉันจะตีหล่อนให้ขาหักเลยคอยดู!”
ขณะนั้นซย่านีกลับมองไปทางซ่งเหม่ยอวิ๋นที่กำลังเฝ้าดูเื่สนุกอยู่ข้างๆ หวังซิ่วอิง “ฉันว่า เหม่ยอวิ๋นเองก็แต่งตัวแบบฉันเหมือนกันนะคะ”
หวังซิ่วอิงสำลักไปหนึ่งที เธอเหลือบตามองลูกสาวของตนเอง พบว่าซ่งเหม่ยอวิ๋นแต่งหน้าจัดซะยิ่งกว่าซย่านีอีก เธอสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยขึ้น “ลูกฉันยังเป็สาวน้อยที่ไม่มีคู่ครอง หล่อนกับเหม่ยอวิ๋นน่ะ เหมือนกันเสียที่ไหน! ตัวหล่อนมันลูกสามแล้วนะยะ!” กล่าวจบก็ชี้มือไปทางห้องครัว “ถ้วยชามที่บ้านยังไม่ได้ล้าง เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ซัก รีบไปทำเดี๋ยวนี้เลย!”
นับั้แ่ที่ซย่านีมาเหยียบที่บ้านหลังนี้ เธอก็เป็คนรับผิดชอบงานบ้านทั้งหมด ผลสุดท้ายกลับไม่เคยได้รับคำชมสักคำ
ย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ครั้งนี้ เธอไม่มีทางโง่แบบเดิมแน่ๆ
ซย่านีถกแขนเสื้อของตนขึ้น เผยให้เห็นข้อมือบวมแดง “ฉันข้อมือแพลง แค่ขยับนิดเดียวก็เจ็บมากแล้วค่ะ”
ข้อมือของเธอแพลงระหว่างที่ต่อสู้ขัดขืนจางหวาเฟิง ยามนี้ข้อมือของเธอทั้งบวมทั้งแดง หวังซิ่วอิงถลึงตามอง “เกิดอะไรขึ้นกันฮะ?” หวังซิ่วอิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าซย่านีไม่เพียงแต่ได้รับาเ็ที่ข้อมือเท่านั้น แต่หล่อนยังผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แถมเสื้อผ้ากับกระดุมก็หลุดลุ่ยอีกด้วย เห็นชัดว่ามีเื่อะไรเกิดขึ้นกับหล่อนแน่
ซย่านีแสดงท่าทีลังเลที่จะพูด
ซ่งเหม่ยอวิ๋นกลอกตาเล็กน้อย ก่อนดวงตาจะเป็ประกายขึ้นทันควัน เธอมองซย่านีด้วยเจตนาไม่ค่อยจะดีนัก “พี่สะใภ้รอง พี่คงไม่ได้บังเอิญไปเจอกับพวกอันธพาลมาหรอกนะ? ดึกดื่นขนาดนี้ บนถนนหนทางที่คนน้อยแบบนี้...”
หวังซิ่วอิงบันดาลโทสะทันที พอลองมองสภาพของซย่านีในตอนนี้ซ้ำอีกครั้ง คงไม่ใช่ว่าหล่อนถูกคนล่วงเกินมาหรอกกระมัง เธอปรี่เข้าไปยกฝ่ามือหมายจะตบหน้าซย่านีหนึ่งฉาด “ไร้ยางอาย! หล่อนทำให้บ้านตระกูลซ่งต้องขายหน้ากันหมดแล้ว!”
ซย่านีเบี่ยงตัวหลบไปด้านหลัง แล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “ฉันบังเอิญพบกับพวกอันธพาลจริงๆ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลยค่ะ เ้าอันธพาลนั่นกำลังตามหาตัวหลี่เสวี่ยหรูอยู่ เขาเห็นว่าฉันไม่ใช่เสวี่ยหรูก็เลยปล่อยตัวฉันมา”
“อะไรนะ? พี่เสวี่ยหรูงั้นหรือ?” ซ่งเหม่ยอวิ๋นและหลี่เสวี่ยหรูนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พอได้ยินคำพูดของซย่านีเธอก็เกิดร้อนใจขึ้นมา เธอถลาตัวเข้ามาดึงคอเสื้อของซย่านีทันที “แล้วพี่ก็วิ่งหนีกลับมาแบบนี้เนี่ยนะ? ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้พวกอันธพาลนั่นกำลังตามหาตัวพี่เสวี่ยหรูอยู่!”
ซย่านีปัดมือของซ่งเหม่ยอวิ๋นออกแล้วะโตอกกลับด้วยสีหน้ารังเกียจ “แล้วทำไมฉันจะต้องไม่หนีมาด้วยล่ะ เ้าอันธพาลนั่นยอมปล่อยตัวฉันมาเอง ฉันก็ต้องรีบหนีสิ! ถ้าไม่หนีจะให้ฉันอยู่สู้กับมันหรือไง? ฉันคงสู้ชนะมันได้หรอก!”
“แล้วพี่เสวี่ยหรูล่ะ!”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง!” ซย่านีดวงตาเปล่งประกาย ยิ่งซ่งเหม่ยอวิ๋นร้อนใจเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ยัยน้องสามีคนนี้เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาอยากให้หลี่เสวี่ยหรูมาเป็พี่สะใภ้ของตัวเองมาตลอด ไม่รู้ว่าตอนที่เห็นหลี่เสวี่ยหรูถูกกระทำย่ำยีด้วยสายตาตัวเองแล้ว ยัยเด็กนี่จะยังคิดแบบเดิมอยู่หรือเปล่านะ
“พอดูหนังจบเสวี่ยหรูก็แยกกับฉันแล้ว เธอบอกว่ามีธุระกับเพื่อนร่วมรุ่น ฉันก็เลยกลับบ้านมาก่อน...บางทีตอนที่เสวี่ยหรูกำลังกลับบ้าน ไอ้อันธพาลคนนั้นอาจจะกลับไปแล้วก็ได้”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นไม่วางใจ “ไม่ได้ ฉันต้องตามคนไปช่วย! แม่คะ!!”
หวังซิ่วอิงรีบเอ่ยขึ้น “รีบไปเรียกพี่ใหญ่ของลูกให้ไปช่วยหา จากนั้นค่อยไปที่บ้านเสวี่ยหรูเรียกให้คนที่บ้านเธอไปด้วย ลูกอย่าไปคนเดียว มันอันตรายเกินไป!”
เพียงไม่นาน ซ่งซุนซานก็คลานออกมาจากใต้ผ้าห่ม แล้วรีบออกไปข้างนอกพร้อมกับน้องสาว ส่วนหวังซิ่วอิงก็ไปเคาะประตูบ้านของหลี่เสวี่ยหรู คนอื่นๆ ในตรอกพอได้ยินเสียงดังก็พากันยื่นหน้าออกมาดู จากนั้นก็รวมกลุ่มกันได้สิบกว่าคน
พอคิดถึงสภาพของหลี่เสวี่ยหรูก่อนหน้านั้นที่กำลังจะถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ซย่านีก็แสยะยิ้มมุมปากอย่างอดใจไม่ไหว
หลี่เสวี่ยหรูเอ๋ยหลี่เสวี่ยหรู อนาคตยังอีกยาวไกล เธอต้องอดทนไว้ล่ะ ฉันยังรอดูจุดจบของเธออยู่นะ
ชั่วเวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งดังออกมาจากห้องทางปีกตะวันตก ซย่านีไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก พลันหันหลังแล้วแหวกม่านประตูเดินเข้าไปด้านในห้อง
ห้องนี้ตกแต่งเรียบง่ายเป็อย่างยิ่ง ตรงประตูมีที่เก็บของ ซึ่ง้ามีกระติกน้ำร้อนวางอยู่ มีแท่นนอนวางติดกับผนังทางด้านทิศใต้ ครอบครัวของพวกเขาทั้งห้าคนต่างก็นอนบนเตียงนี้ ข้างเตียงมีหนังสือพิมพ์ม้วนหนึ่ง ้าหนังสือพิมพ์เขียนพาดหัวข่าวใหญ่ๆ เช่น ‘จงสนับสนุนเครื่องจักรกลด้านการเกษตร’ ‘สืบสานวัฒนธรรมขบวนการ 4 พฤษภาคม’ เป็ต้น ถัดมาข้างเตียงมีโต๊ะที่เริ่มแตกลอก แม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ยังไม่มี เวลาปกติเด็กๆ มักนั่งบนแท่นนอนแล้วนั่งทำการบ้านกันบนนั้น
เด็กที่ร้องไห้อยู่ก็คือซ่งซิงเหอ ลูกชายคนเล็กผู้มีอายุยังไม่ถึงหกเดือนดีของซย่านี อีกด้านหนึ่งเป็ซ่งตงซวี่ลูกชายคนโตวัยหกขวบที่กำลังเปิดผ้าห่มออก แล้วยกเท้าเล็กๆ ของซ่งซิงเหอขึ้น เพื่อดูผ้าอ้อมใต้ก้นของเด็กน้อย ครั้นเห็นซย่านีเดินเข้ามา เขาก็เอ่ยขึ้น “แม่ ซิงซิงชิ้งฉ่องแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] ตงซือเลียนแบบขมวดคิ้ว 东施效颦 คือ คนเขลาเบาปัญญาที่หลับหูหลับตาเลียนแบบผู้อื่น
[2] สวมหมวกเขียว 戴绿帽子 คือ สำนวนแปลว่า ทำความอัปยศให้แก่สามีด้วยการมีชู้ โดยสามีไม่รู้ระแคะระคาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้