“ถึงลูกศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมการฝึกในโลกเร้นลับนี้ เวลาในการเปิดโลกเร้นลับ ‘เมืองโบราณหลิงกุย’ ในครั้งนี้คือครึ่งปี สิ่งที่พวกเ้าสวมใส่อยู่ที่ข้อมือคือตราชั่งเวลา ซึ่งในเวลานี้จะมีอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดขีด และแต่ละขีดที่ลดไปจะเท่ากับหนึ่งวัน และเมื่อลดลงจนเหลือแค่สามขีด พวกเราจะทำการเปิดประตูโลกเร้นลับนี้ขึ้นอีกครั้ง และเวลาในการเปิดนั้นจะคงอยู่แค่สามวันเท่านั้น ดังนั้นทุกคนจะต้องรีบกลับออกมาก่อนที่ขีดจะกลายเป็ศูนย์”
“หลังจากที่ผู้าุโสูงสุดทั้งห้าสำนักใหญ่ได้ตกลงกัน ไม่ว่าทุกคนจะพบสมุนไพรหรือของวิเศษใดๆ ที่พบภายนอกเมือง ไม่ว่าจะเป็ระดับใดก็ตาม เมื่ออีกฝ่ายเก็บขึ้นมาแล้ว ห้ามแย่งชิงกันด้วยกำลังโดยเด็ดขาด ส่วนภายในเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งนี้ที่อาจจะเปิดเมืองชั้นด้วยแล้ว สิ่งของภายในนั้นจะตกเป็ของผู้ที่มีความสามารถถึงขั้นเท่านั้น”
“การฝึกในโลกเร้นลับครั้งนี้ ไม่ใช่สถานที่สำหรับล้างแค้นความขัดแย้งระหว่างสำนัก ภายในเมืองชั้นในอาจมีหุ่นเชิดิญญาที่เหนือกว่าหุ่นเชิดิญญาทองแดงที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเ้าทุกคนจะยอมวางความแค้นลงแล้วร่วมมือกันสู้ได้หรือไม่ หรือจะทิ้งร่างของตัวเองอยู่ในโลกเร้นลับนี้ก็ตามใจ พวกเราพูดได้เพียงเท่านี้ ตอนนี้ขอให้ทุกคนเตรียมตัวเข้าสู่โลกเร้นลับได้! ประตูซ้ายสำหรับผู้ใช้พลังิญญา และประตูขวาสำหรับปรมาจารย์ิญญา ทุกคนออกเดินทางตามลำดับที่กำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้ และไปเป็กลุ่มกลุ่มละสิบคน ออกเดินทางได้!”
สิ้นเสียง “ออกเดินทางได้!”
ยี่สิบคนแรกก็แบ่งออกไปเป็สองกลุ่ม และพุ่งตัวไปในทั้งประตูซ้ายและประตูขวา
ศิษย์กลุ่มละสิบคนหายวับไปในประตูแสงในทันที
หลังจากผ่านไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่นานนักก็ถึงกลุ่มของพวกเซียวหลิงอวิ๋น ซึ่งกลุ่มสิบคนนี้ นอกจากเจ็ดคนก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีอีกสามคนที่เปิดขดพลังิญญาได้เก้าขดและเป็ผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูง
เป็ชายสองหญิงหนึ่ง
ถานหย่าเป็เพื่อนสนิทของหม่าิฮุ่ย ส่วนโจวจวินกับถังเซียวก็มีความสัมพันธ์อันดีกับอูเสี่ยวหมิน
เมื่อตัวพุ่งเข้าไปในประตูแสงสีขาว ก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเบาลงอย่างกะทันหัน และในชั่วพริบตาต่อมาก็มืดสนิทลง ในชั่วขณะนั้นทั้งเวลาและอากาศราวกับหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนไม่มีตัวตนอยู่ การรับรู้ทั้งหมดก็หายไปจนสิ้น
จนเมื่อการรู้สึกกลับคืนมาอีกครั้ง เซียวหลิงอวิ๋นถึงกับใเมื่อพบว่าตนเองยืนอยู่บนทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอันกว้างใหญ่ ห่างไกลออกไปเล็กน้อยก็คือเพื่อนร่วมคณะทั้งเก้าคนของเขา ไม่ไกลนักก็มีอีกสิบกลุ่มที่จับเป็กลุ่มสิบคนเช่นกัน ซึ่งเป็เหล่าศิษย์จากสำนักใหญ่ทั้งห้าที่เข้ามาก่อน
เซียวหลิงอวิ๋นรีบรีบยกข้อมือขึ้นดูตราชั่งเวลา ซึ่งยังคงเป็หนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดขีดที่เข็มกำลังขยับอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าเวลาที่ใช้ในการผ่านประตูโลกเร้นลับนี้ใช้เวลาไม่นานนัก
แม้ว่าโลกเร้นลับนี้จะใช้ชื่อว่าเมืองโบราณหลิงกุย แต่จริงๆ แล้วมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก มีทั้งยอดเขาที่สลับซับซ้อน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และทะเลสาบอยู่อย่างครบครัน แต่สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ในโลกเร้นลับอันกว้างใหญ่นี้มีเพียงแห่งเดียว นั่นคือเมืองโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหุ่นเชิดิญญาที่มีความแข็งแกร่งและวัสดุที่ใช้ที่แตกต่างกันคอยปกป้องอยู่มากมาย ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองโบราณหลิงกุย ที่แปลว่าหุ่นเชิดิญญา
สิ่งที่พิเศษของโลกเร้นลับนี้คือ ไม่ว่าจะเดินไปทางใด สุดท้ายก็จะมุ่งไปสู่เมืองโบราณนี้อยู่ดี
ไม่นานนัก เหล่าศิษย์ทั้งสองร้อยห้าสิบคนจากสำนักทั้งห้าก็เข้ามาในโลกเร้นลับเรียบร้อยแล้ว
ราวกับว่าได้ปรึกษากันไว้ล่วงหน้า สำนักทั้งห้าแยกก็พากันแยกออกไปเป็ห้าทิศทาง แน่นอนว่ามีความต่างกันอยู่บ้าง โดยสำนักภูตผีน้ำแข็งลี้ลับกับสำนักแม่มดเพลิงร้อนที่เลือกไปด้านหน้าและทางขวา
ในขณะที่สำนักิญญาเมฆาและสำนักอื่นๆ อีกสองสำนักเลือกทางด้านหลังและด้านซ้าย
หลังจากที่เดินแยกกันไปได้สักระยะหนึ่ง สำนักต่างๆ ก็แบ่งออกเป็กลุ่มละสิบคน และกระจายตัวกันออกไปเป็รูปพัด หากไม่มีสถานการณ์พิเศษ ก็จะคงรูปแบบสิบคนนี้เพื่อออกสำรวจและค้นหาต่อไป
...
“ได้ยินมาว่าภายในโลกเร้นลับนี้ มีหุ่นเชิดิญญาระดับผู้ใช้พลังิญญา สมุนไพร วัตถุดิบิญญา แม้แต่สัตว์อสูรหายากมากมาย!” ถังเซียวกล่าว
ที่มุมปากของเซียวหลิงอวิ๋นปรากฏรอยยิ้มจางๆ โลกเร้นลับแห่งนี้ แม้ว่าพลังิญญา์จะเบาบางกว่าทีู่เาเจี้ยนหลิงซาน แต่ก็ยังเข้มข้นกว่าหลายๆ แห่งในอาณาจักรซินโยว โลกเร้นลับที่มีพลังิญญาในอากาศเข้มข้นเช่นนี้ จะขาดสมุนไพร วัตถุดิบิญญา และสัตว์อสูรหายากได้อย่างไร เพียงแต่ว่าสองครั้งแรกที่เข้ามาสำรวจยังหาไม่พบเท่านั้น
ตามแผนที่ที่ได้รับมาจากมือของิ่ชางไห่ที่มีสภาพเหมือนกับอุจจาระแพะ ทำให้ทราบได้ว่ายังมีอีกหลายจุดในโลกเร้นลับที่ยังไม่ได้สำรวจ หากไม่พบสถานที่ที่เหมาะสม ก็ย่อมไม่สามารถพบสมุนไพรและวัตถุดิบิญญาที่ดี และก็จะไม่พบสัตว์อสูรที่เฝ้าสมบัติเ่าั้ด้วย
เวลาผ่านไปไวโดยที่ไม่รู้ตัว ขีดตราชั่งเวลาบนข้อมือลดลงไปสามขีด หมายความว่าทุกคนเข้ามาในโลกเร้นลับเป็เวลาสี่วันแล้ว! ใน่เวลาเกือบสี่วันที่ผ่านมานี้ แม้แต่เงาของสัตว์อสูรระดับหนึ่งขั้นล่างก็ยังไม่เห็น แต่ก็ได้พบกับหุ่นเชิดไม้สามตัวที่ร่อนเร่ไปมาอยู่บ้าง
หยวนอิ่งที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่อ่อนแอที่สุดพุ่งตัวออกไป มีดสั้นสีดำในมือฟาดฟันไปมาไม่กี่ครั้งก็สามารถแยกส่วนหุ่นเชิดไม้ทั้งสามตัวออกจากกันได้
นอกจากหุ่นเชิดไม้สามตัวที่ร่อนเร่แล้ว ก็เก็บเกี่ยวได้แค่ดอกกล้วยไม้จันทร์ดาราระดับหนึ่งขั้นกลางห้าดอกและเห็ดบัวเมฆาระดับหนึ่งขั้นล่างสามดอกเท่านั้น ส่วนสมุนไพรระดับนักยุทธ์นั้นพบเห็นได้มากมาย แต่ทุกคนเป็ถึงผู้ใช้พลังิญญาแล้ว สมุนไพรระดับนักยุทธ์นี้จึงไม่มีประโยชน์นัก มีเพียงเซียวหลิงอวิ๋น หม่าิฮุ่ย และเฉียนหม่านควงเท่านั้นที่เก็บเกี่ยวมาคนละนิดละหน่อย
เซียวหลิงอวิ๋นสำรวจบริเวณโดยรอบโดยละเอียด
แล้วหันไปพูดกับฉินหรูเยียน “ศิษย์พี่หญิง ขอยืมของวิเศษบินได้ของท่านหน่อย”
ก่อนจะเข้ามา เซียวหลิงอวิ๋นรู้ว่าเฉพาะกลุ่มเขาเอง มีผู้ของวิเศษบินได้ขนาดเล็กสามคน ได้แก่ ฉินหรูเยียน หม่าิฮุ่ย และอูเสี่ยวหมิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘กระสวยแสงสายัณห์’ ที่เสิ่นเยาเยวี่ยให้กับฉินหรูเยียนนั้นเป็ของวิเศษิญญาระดับสูง! บรรทุกได้สูงสุดสามคน บินได้สูงถึงสามพันจั้ง และความเร็วสูงถึงสามพันหกร้อยลี้ต่อชั่วยามซึ่งน่าทึ่งมาก ความเร็วนี้เหนือกว่าของวิเศษิญญาระดับสูงขนาดใหญ่ที่สามารถใช้บรรทุกคนได้หลายร้อยคนที่สำนักใหญ่ทั้งห้าใช้เดินทางมา
ส่วนของวิเศษบินได้ของหม่าิฮุ่ยและอูเสี่ยวหมินทั้งสองคนเป็เรือเหาะทองพิสุทธิ์ ซึ่งเป็ของวิเศษิญญาระดับกลาง ความเร็วสูงสุดเพียงหนึ่งพันสองร้อยลี้ต่อชั่วยาม บินได้สูงสุดสามร้อยจั้ง แต่รูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างเท่ สามารถบรรทุกได้สูงสุดแปดคน
หลังจากนั้นไม่นาน เซียวหลิงอวิ๋นก็ขี่กระสวยแสงสายัณห์ขึ้นไปที่ระดับความสูงหนึ่งพันหมี่ จากนั้นก็มองไปรอบๆ อีกครั้งพลางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะไต่ความสูงขึ้นไปอีกห้าร้อยหมี่ แล้วก็หันไปมองในทิศทางหนึ่งอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เป็อย่างไรบ้าง?” ทันทีที่เซียวหลิงอวิ๋นลงจอด ดวงตาหลายคู่ที่เต็มไปด้วยความหวังก็มองมาที่เขาพร้อมกัน
“โลกเร้นลับนี้ไกลจากความธรรมดาอย่างที่เราคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้นัก นอกจากจะมีกำแพงขนาดใหญ่ที่ด้านนอกแล้ว ยังมีการวางอาคมขนาดใหญ่ไว้ภายในอีกด้วย ดูเหมือนสองครั้งแรกที่ประตูเปิด น่าจะยังไม่มีใครสามารถทำลายอาคมขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างในนี้ได้ ดังนั้นทางที่พวกเราเดินมาจนถึงตอนนี้จึงเป็สถานที่ที่ไม่ค่อยสำคัญนักซึ่งเ้าของโลกเร้นลับแห่งนี้จงใจปล่อยทิ้งเอาไว้” เซียวหลิงอวิ๋นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“อาคมขนาดใหญ่? ภายในนี้ก็มีการวางอาคมขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย? แบบนี้แสดงว่าเ้าของโลกเร้นลับแห่งนี้ได้ใช้อาคมขนาดใหญ่เพื่อปิดกั้นบริเวณที่สำคัญบางจุดเอาไว้อย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของหม่าิฮุ่ยก็สว่างขึ้นมาทันที
“ประเด็นสำคัญคือ ไม่มีใครในหมู่พวกเราที่ฝึกเื่อาคมมาเลย และจากการที่โลกเร้นลับเปิดออกสองครั้งก่อนหน้านี้ เหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายกลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลย แสดงว่าอาคมขนาดใหญ่นี้ต้องมีความแยบยลเป็อย่างมาก ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถทำลายมันได้ง่ายๆ ถ้าหากแม้แต่เ้ายังทำลายอาคมนี้ไม่ได้ ก็คง...” ถานหย่าพูดพลางกางมือทั้งสองข้าง
“ใครบอกว่าทำลายไม่ได้ หลิงอวิ๋นน้อย เ้าจงทำลายอาคมบ้านี่เดี๋ยวนี้!” เสียงที่ใสกังวาน ไพเราะ และน่าเกรงขามของฉินหรูเยียนพลันดังขึ้นเป็เชิงสั่ง
ผู้หญิงคนนี้นี่!
เซียวหลิงอวิ๋นรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เธอคิดว่าตัวเขาจะเก่งไปเสียทุกอย่างหรืออย่างไร?
เมื่อเผชิญกับดวงตาที่เปล่งแสงเป็ประกายแล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็กล่าวออก “อะแฮ่ม ข้าพอจะรู้เื่อาคมอยู่บ้าง จากที่มองดู้าก็พอจะมองเห็นทางบางอย่างอยู่ แต่หาก้าจะทำลายอาคมนี้จำเป็ต้องได้รับการช่วยเหลือจากทุกคนด้วย!”
เมื่อได้ยินว่าสามารถทำลายอาคมได้ ทุกคนต่างก็พากันตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที “บอกมาสิ บอกมา พวกเราต้องช่วยอะไรบ้าง?”
ภายใต้การแนะนำของเซียวหลิงอวิ๋น นอกจากหยวนอิ่งแล้ว คนอื่นๆ ทั้งแปดคนก็ถูกใช้ให้ไปประจำยังตำแหน่งต่างๆ
