เซี่ยเสี่ยวหลานสังเกตเวลา ประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงกว่ายาแก้ปวดจะออกฤทธิ์
เมื่อลองเขียนหนังสืออีกครั้งหลังรับประทานยาแก้ปวด แม้ไม่เจ็บมือแล้ว ทว่ายังคงไม่ชินกับการใส่เฝือก และเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ได้เขียนอย่างคล่องแคล่วว่องไวในทันที เหมือนที่หมอตักเตือน เธอต้องระมัดระวังการลุกลามของอาการาเ็ ยาแก้ปวดหนึ่งเม็ดออกฤทธิ์เพียงราว 2 ชั่วโมง ถ้าคำนวณแบบแม่นยำ ั้แ่ไม่เจ็บมือจนกระทั่งเริ่มรู้สึกถึงความเ็ปอีกรอบ ฤทธิ์ยาคงอยู่ 1 ชั่วโมง 40 นาที
แค่ฝืนทนผ่านการสอบหนึ่งวิชาได้ นี่มันก็เหลือเฟือแล้ว!
“ยาแก้ปวดไม่ควรกินเยอะ ฉันจะจ่ายปริมาณยาที่พอสำหรับสอบสามวันให้เธอ”
หมอคนนี้รับผิดชอบมาก อธิบายตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซี่ยเสี่ยวหลานทราบดีว่าไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดในปริมาณมากเกินไป นอกจากการเสพติด มันยังทำลายไตอีกด้วย แต่เธอรับประทานปริมาณสำหรับแค่สามวัน น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่ใดๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจแน่วแน่ อาจารย์ใหญ่ซุนรวมถึงคนอื่นๆ ล้วนไม่สามารถโน้มน้าวเธอได้เลย
มองเธอพลางพะว้าพะวังจะมีประโยชน์อะไร เธอใส่เฝือกรับยาแล้ว!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากพัวพันเกี่ยวกับปัญหาว่าด้วยเธอจะสอบทั้งที่มือได้รับาเ็อีกต่อไป ทำให้ทุกคนลำบากใจโดยใช่เหตุ
“หนูสอบที่สนามไหนหรือคะ?”
แม้การสอบเกาเข่าจะสุ่มกระจาย ไม่ว่าจัดสรรอย่างไร ก็ไม่มีทางเกินขอบเขตของเมืองเฟิ่งเสียน โดยหลักการคือพื้นที่ใกล้เคียง ยกตัวอย่างเช่นนักเรียนมัธยมปลายจากชุมชนในปกครองเขตอันชิ่งจะเข้ามาสอบในตัวเมือง เพราะชุมชนชนบทไม่จัดสนามสอบ กฎเกณฑ์เพื่อความยุติธรรมของเกาเข่านั้นเคร่งครัดมาก... สิ่งที่สามารถเล่นตุกติกได้คือขั้นตอนแจกจ่ายหนังสือประกาศ บางคนอาจแอบยึดหนังสือประกาศไว้ ให้ลูกหลานของตนเองมีชื่อไปเข้ามหาวิทยาลัยแทน
แน่นอนว่าต่อให้มีเื่ประเภทนี้อยู่ ก็ไม่มีใครเลือกลงมือกับเซี่ยเสี่ยวหลานผู้คว้าอันดับหนึ่งประจำเมือง
ผลคะแนนของเธอคือสิ่งที่ผู้คนกำลังจับตามอง การทำเช่นนี้มีความเสี่ยงมากเกินไป อาจถูกเปิดโปงได้ทุกเมื่อ
อาจารย์ใหญ่ซุนถอนหายใจ “ที่เขตเหอตง”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดในใจ นี่มันบังเอิญทีเดียว เื่ราวย่ำแย่ทั้งหลายเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้วสินะ ก่อนหน้านี้ทุกอย่างราบรื่นเหลือเกิน ที่แท้กำลังรออยู่ตรงนี้นี่เอง
ผู้เข้าสอบจากเขตอันชิ่ง ไปยังเขตเหอตงได้อย่างไร?
หากเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้รู้อยู่แล้วว่า ต่อให้ฝานเจิ้นชวนไม่ถูกจับ ก็ไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่งกับกำหนดการเกาเข่า เธอคงสงสัยว่าเื่นี้มีกลลวง
อาจารย์ใหญ่ซุนทำหน้าราวกับท้องผูก แสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดการข้างต้นเช่นกัน
“สอบคัดเลือกรอบแรกในปีนี้ทำให้แผนของผู้เข้าสอบเละเทะหมด สำนักงานศึกษาธิการมณฑลเชื่อว่าเป็วิธีที่ดี นักเรียนจากอันชิ่งไปสอบที่เหอตง ส่วนนักเรียนจากเหอตงก็มายังอันชิ่ง แต่ละเขตสลับสับเปลี่ยนกัน”
สำนักงานศึกษาธิการมณฑลไม่ตระหนักรู้ถึงความยากลำบากของมนุษย์เลยรึ
จริงอยู่ที่วิธีนี้ป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมทุจริตได้ดีกว่า แต่การสอบที่เขตของตนเอง นักเรียนสามารถพักในหอพักโรงเรียนได้ สามารถกลับบ้านได้ ค่าใช้จ่ายของการสอบเกาเข่าสามวันจะไม่เยอะมากนัก
อยู่ในบ้านขัดสน อยู่บนถนนมั่งมี [1] พอออกเดินทาง ค่าใช้จ่ายที่จำเป็ย่อมเกินกำหนด
สำหรับโรงเรียนแล้วถือว่าเป็รายจ่ายหนึ่งก้อนเช่นกัน ทั้งจัดหารถรับส่ง และกังวลเื่ค้างแรมของนักเรียน!
การจัดบ้านพักให้นั้นไม่สามารถปฏิบัติได้จริง แต่ผู้ที่ไปสอบยังต่างถิ่นพอจะเจรจาขอยืมหอพักของโรงเรียนสนามสอบได้
เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบของตนเอง สนามสอบคือ ‘เหอตงอีจง’... ชิ โรงเรียนของเหลียงฮวนสินะ และเป็โรงเรียนที่ลูกชายของฝานเจิ้นชวนเรียนอยู่ด้วย สองคนนี้ไม่ร่วมการสอบเกาเข่าทั้งคู่ ตอนนี้น่าจะปิดภาคเรียนฤดูร้อนเรียบร้อย
เซี่ยเสี่ยวหลานประมาทพลาดพลั้งไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่อยากให้เรือคว่ำในร่องน้ำ [2] อีกหน จึงตัดสินใจเรียกหลี่ต้งเหลียงซึ่งอยู่ในเผิงเฉิงให้รีบกลับมาทันที
ยังไม่สายเกินไป ตอนนี้เพิ่งวันที่ 5
อาจารย์ใหญ่ซุนถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าวันที่ 7 จะไปสอบอย่างไร พอเซี่ยเสี่ยวหลานนึกถึงเขตเหอตงอันเป็สถานที่ที่ไม่น่าไว้ใจนั่น เธอไม่สบายใจจะพักในบ้านพักจริงๆ จึงบอกว่าขึ้นอยู่กับการจัดการของโรงเรียน
“คนอื่นเขาค้างคืนอย่างไร หนูก็เอาด้วย ไม่ต้องให้สิทธิพิเศษหรอกค่ะ”
เป็ไปได้ที่ไหนเล่า!
แม้ค้างในหอพักเหมือนกัน คนอื่นจะพักห้องรวม เซี่ยเสี่ยวหลานจะต้องพักห้องเดี่ยว
หรือว่าขอให้โรงเรียนพี่น้องจัดห้องพักสักห้องจากหอพักอาจารย์ให้ดี?
อาจารย์ใหญ่ซุนเห็นมือที่ใส่เฝือกของเซี่ยเสี่ยวหลานก็กังวล อยากให้ตนเองได้รับาเ็แทนเซี่ยเสี่ยวหลานใจจะขาด
“เอ้อนี่ คนที่ชนเธอล่ะ? พวกเขาขี่รถชนคนอื่นมั่วซั่วบนถนนหนทาง จะปล่อยเลยตามเลยแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดเชียว!”
อาจารย์ใหญ่ซุนเพิ่งรู้สึกตัว ถึงนึกขึ้นได้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานถูกคนชนมา คนพวกนั้นรู้หรือไม่ว่าพวกเขาชนใคร มีอะไรให้อวดดีกับแค่ขี่จักรยานผุพัง ในใจของอาจารย์ใหญ่ซุน จับหลายคนมัดรวมกันยังล้ำค่าเทียบเท่าหนึ่งนิ้วมือของนักเรียนเสี่ยวหลานไม่ได้!
ซุนเถียนเห็นว่าเกิด ‘อุบัติเหตุ’ และเห็นว่าเก่อเจี้ยนทำร้ายคน เธอรู้ว่า ‘อุบัติเหตุ’ ครั้งนี้มีเจตนาอื่นแฝง มิเช่นนั้นเก่อเจี้ยนคงไม่ทำถึงขนาดนี้
เธอหายใจแรงจนหน้าอกพองขึ้นยุบลงด้วยความโมโห อยากจะบอกอาจารย์ใหญ่ซุน แต่เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกะพริบตาส่งสัญญาณให้เธอ—บอกไม่ได้? ทำไมกันเล่า!
ซุนเถียนกลืนคำพูดกลับลงไป และได้ยินเซี่ยเสี่ยวหลานหลอกลวงอาจารย์ใหญ่ซุนโดยไม่ลงรายละเอียดใดๆ
“ไม่อยากชนก็ชนแล้วน่ะค่ะ ต่อให้ครูใหญ่ตีมือพวกเขาจนหัก ก็ทำให้าแของหนูกลับมาเป็ปกติไม่ได้อยู่ดี ... ช่างเถอะค่ะ ไม่เอาความแล้ว”
----------------------------------------
ไม่เอาความจริงหรือ?
หาเป็อุบัติเหตุจริงๆ เซี่ยเสี่ยวหลานคงทำได้เพียงฝืนใจยอมรับแล้ว ใครให้ให้เธอโชคไม่ดีล่ะ
แต่ในเมื่อเป็การกระทำโดยเจตนา ถ้าไม่เอาความให้เรียกว่าพระแม่เซี่ย ไม่ใช่เซี่ยเสี่ยวหลาน! ไฟแห่งความโกรธจากก้นบึ้งของจิตใจเธอกำลังเผาไหม้ พอนึกถึงเหตุการณ์ที่คนพวกนั้นจะหักมือของเธอง่ายๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็อยากเอากระบองมาทุบมือเท้าของอีกฝ่ายให้แหลกสิ้นด้วยตัวเอง แก้แค้นอย่างสาสม!
ที่เธอไม่บอกอาจารย์ใหญ่ซุน เป็เพราะว่าส่งพวกเขาให้สถานีตำรวจไปก็ยากที่จะรวบรวมหลักฐาน
อีกฝ่ายสามารถยืนกรานได้ว่าเป็อุบัติเหตุ สามารถพูดได้ว่ากระดูกข้อมือร้าวเพราะเธอหกล้มเอง สถานการณ์ที่จักรยานชนกันในตอนนั้นโกลาหลมาก มีคนกดบ่าของเธอ มีคนกระทืบมือ มีคนแสร้งท้เป็จะพยุงเธอ ทว่ากำลังบดบังวิสัยทัศน์—กระทั่งซุนเถียนยังมองเห็นไม่ชัด เก่อเจี้ยนเองก็ได้ยินเธอร้องอย่างเ็ปก่อนถึงเข้าไปช่วย
คนพวกนี้มีประสบการณ์โชกโชนในการทำเื่อุบาทว์เช่นนี้แน่นอน จะเล่นสำบัดสำนวนอย่างไรก็ย่อมมีประสบการณ์เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เชื่อมั่นในความยุติธรรมของสถานีตำรวจ ทว่าเื่จ้าวกังก็เป็ตัวอย่างให้เห็นแล้ว การส่งจ้าวกังเข้าคุกไม่มีความหมายแม้แต่น้อย คนที่บงการจ้าวกังหลังม่านยังคงไม่ได้รับบทลงโทษ
คราวนี้ เธอเตรียมพร้อมจะจัดการเอง!
ขณะอยู่ในโรงพยาบาลเดี๋ยวเอกซเรย์ เดี๋ยวทำแผล เดี๋ยวหล่อเฝือก อีกทั้งกินยาแก้ปวดเพื่อทดลองฤทธิ์ยา เสียเวลาอยู่เกือบวัน กว่าจะกลับมาถึงหน้าอีจงก็เย็นมากแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าว แม่สามีน้าหวงกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ให้เธอไปรับประทานอาหารในร้านใหม่
อาจารย์ใหญ่ซุนและคณะแยกกันแล้ว จะไม่ไปเพื่ออยู่รอให้เซี่ยเสี่ยวหลานเลี้ยงข้าวอีกหรือ?
เฉินชิ่งเหมือนอยากพูดอะไร เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นสีหน้าเปี่ยมความห่วงใยของเขา ลึกๆ แล้วก็รู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย และตัดสินใจบางอย่างในท้ายที่สุด
“เมื่อวานซืนฉันเจอโจทย์ยากหลายข้อตอนทบทวน แถมชนิดโจทย์ค่อนข้างเป็ตัวอย่างได้ดีทีเดียว วันนี้ไม่สะดวก พรุ่งนี้ฉันค่อยบอกเธอแล้วกัน อย่างไรเสียเธอก็สอบในเขตเหอตงเหมือนฉัน”
เฉินชิ่งยังสนใจข้อสอบที่ไหนเล่า “ไม่รีบไม่รีบ ตอนนี้เธอเขียนหนังสือน้อยๆ เถอะ ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าไปก่อนแล้วนะ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า ในที่สุดก็ส่งแขกครบทุกคนแล้ว จากนั้นเธอถึงเดินตามแม่สามีน้าหวงเข้าร้านใหม่ ร้านใหม่แห่งนี้ก็คือหน้าร้านเดิมของ ‘จางจี้’ นั่นเอง โครงสร้างไม่เปลี่ยนแปลงสักเท่าไร ภายในร้านถูกเก็บกวาดคร่าวๆ และแทนที่ด้วยโต๊ะเก้าอี้ชุดใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะให้บรรยากาศแบบใหม่ไม่น้อย
ชื่อร้านก็ถูกเปลี่ยนแล้วเช่นกัน ใช้ชื่อว่า ‘ซินซินอาหารว่าง’
ซินซินคือชื่อของลูกสาวน้าหวง เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ติดใจนัก เก่อเจี้ยนพาเธอไปยังลานด้านหลัง พอเปิดประตูก็พบคนจำนวนหนึ่งโดนมัดไพล่หลังรั้งคอนอนอยู่บนพื้น ถูกแสงอาทิตย์เดือนกรกฎาคมแผดเผาเป็เวลาหลายชั่วโมง และลมหายใจของคนพวกนี้กำลังรวยริน
เซี่ยเสี่ยวหลานมองมือที่ใส่เฝือกของตนเอง “เก็บไว้หนึ่งคนก่อน ส่วนคนอื่นก็ตีมือให้หักเสีย ตีตรงจุดเดียวกันกับที่ฉันเจ็บ!”
เชิงอรรถ
[1]穷家富路 อยู่ในบ้านขัดสน อยู่บนถนนมั่งมี หมายถึง เวลาอยู่บ้านจะขัดสนหน่อยก็ได้ แต่เมื่อเดินทางต้องเตรียมเงินทองให้พร้อมสำหรับใช้จ่ายเสมอ
[2]阴沟里翻船 เรือคว่ำในร่องน้ำ หมายถึง เกิดปัญหาหรือพลั้งพลาดในสิ่งที่มั่นใจ