รอยยิ้มบนใบหน้าฉวนเถี่ยจู้พลันจางหาย จากนั้นใช้กระบองเขี้ยวหมาป่าฟาดไปที่ฝ่ามือั์นั่น ตามมาด้วยเสียงดังปัง ฝ่ามือั์นั่นแตกสลายด้วยพลังอันแกร่งกล้าของฉวนเถี่ยจู้ในทันที มิหนำซ้ำยังมีพลังแตกกระจายออกมาห้อมล้อมร่างฉวนเถี่ยจู้จนทำให้เขาตัวแข็งทื่อ
“เ้านะหรือคู่ต่อสู้ของข้า? ไปตายซะ!” ต้าเซิ่งจื่อกล่าวเสียงเย็น เขาฉวยโอกาสนี้ ปล่อยพลังฝ่ามือกระหน่ำซึ่งเป็กระบวนท่าปลิดชีวิตโจมตีฉวนเถี่ยจู้จนทั่วทั้งเวทีประลองถูกปกคลุมไปด้วยพลังชั่วร้าย ผู้คนรอบข้างล้วนพากันถอยหนีเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันบุกรุกร่างกายของตน
“ปัง ๆ!” พลันสองฝ่ามือไปเยือนฉวนเถี่ยจู้ทันที เขาส่งเสียงโอดครวญด้วยความเ็ปพร้อมกับเืไหลออกมุมปาก แม้พลังกายของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็มิอาจทนต่อการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ได้ อวัยวะภายในกายของฉวนเถี่ยจู้ได้รับความเสียหายจนาเ็สาหัสด้วยสองการโจมตีนี้
“ฉวนเถี่ยจู้จบเห่แล้ว!” ผู้คนต่างถอนหายใจเมื่อเห็นสถานการณ์บนเวทีประลอง ฉวนเถี่ยจู้ถือว่าเป็อัจฉริยะมากฝีมือคนหนึ่ง พลังกายกล้าแกร่ง พลังโจมตีก็โหดร้าย แต่บัดนี้ฉวนเถี่ยจู้ปะทะกับต้าเซิ่งจื่อแห่งนิก่ายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ ทุกความสามารถของเขาถูกกำราบจนมิอาจตอบโต้กลับได้
ทางฝั่งตระกูลฉวน เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลฉวนเผยสีหน้ากังวล หากยังเป็เช่นนี้ แม้ฉวนเถี่ยจู้จะไม่ตาย แต่อาการาเ็คงจะฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ และจะส่งผลต่อเส้นทางแห่งการบำเพ็ญในภายภาคหน้า
จากนั้นมีฝ่ามือโจมตีฉวนเถี่ยจู้อีกครั้ง ทำฉวนเถี่ยจู้อาเจียนออกมาเป็ลิ่มเื และร่างใหญ่โตต้องสั่นเทา
“ตาย!” จิตสังหารปะทุออกจากดวงตาของต้าเซิ่งจื่อ จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดไปที่ศีรษะของฉวนเถี่ยจู้ หากโดนหมัดนี้โจมตี ฉวนเถี่ยจู้ต้องถูกะเิศีรษะอย่างแน่นอน นี่ทำให้ฉวนเถี่ยจู้รู้สึกสิ้นหวัง ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ
“ครืน!” ตอนที่หมัดของต้าเซิ่งจื่อเข้าใกล้ศีรษะของฉวนเถี่ยจู้ จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังมาจากในกายฉวนเถี่ยจู้ ราวกับมีของเหลวเคลื่อนไหวภายในนั้น เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันร่างกายของฉวนเถี่ยจู้เปล่งแสงสีแดง พร้อมมีไอโลหิตแผ่ออกมาจาง ๆ และเมื่อหมัดของต้าเซิ่งจื่อโจมตีมา กลับถูกแสงสีแดงนั่นหยุดยั้งไว้ มิอาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีก
“เป็ไปได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดหมัดของข้าถึงเคลื่อนไปข้างหน้าไม่ได้?” ต้าเซิ่งจื่อชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะพยายามผลักดันหมัดไปข้างหน้าต่อ ทว่าแสงสีแดงนั่นทรงพลังมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกว่าตัวหดเล็กลง แต่ทันใดนั้นฉวนเถี่ยจู้ลืมตาขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับแสงสีแดงเปล่งประกาย ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปเป็สีแดง ประหนึ่งดวงตาโลหิตก็ไม่ปาน เพียงปราดเดียวก็ทำให้ต้าเซิ่งจื่อรู้สึกหวาดกลัว
“อ้าก!” พลันเสียงคำรามดังออกจากปากฉวนเถี่ยจู้ จู่ ๆ พลังโลหิตเข้าปกคลุมร่างกาย จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดโจมตี ซึ่งพลังที่ปะทุออกจากร่างฉวนเถี่ยจู้ถือว่าก้าวข้ามตบะของเขาไปมาก
“ปัง!” หมัดของฉวนเถี่ยจู้ทะลายทุกอย่างจนสามารถโจมตีไปยังท้องน้อยของต้าเซิ่งจื่อ ทำให้ต้าเซิ่งจื่อกรีดร้องด้วยความเ็ป ก่อนร่างจะกระเด็นออกไป
“นี่...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องตื่นใ มิกล้าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็ความจริง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพลังที่น่ากลัวจึงะเิออกมาตอนฉวนเถี่ยจู้ตกอยู่ในวิกฤต
“พลังสายเื ไม่นึกว่าใน่วิกฤตฉวนเถี่ยจู้จะปลุกพลังสายเืได้ ทำให้พลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นในเวลาสั้น ๆ จนถึงจุดที่น่าใเช่นนี้” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่ชมอยู่บนอัฒจันทร์หลักพูดขึ้นมา เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ต่างก็นิ่งอึ้ง พวกเขาย่อมรู้ว่าพลังสายเืคืออะไร
พลังสายเืนั้นเป็พลังชนิดหนึ่งที่หลับใหลอยู่ในกายของผู้ฝึกยุทธ์ หากเจอวิกฤตและเืเดือดพล่าน พลังของตัวผู้ฝึกยุทธ์จะะเิออกมาจนถึงจุดที่น่าใในเวลาสั้น ๆ
ดังนั้นพลังสายเืจึงปะทุออกมาใน่ที่ฉวนเถี่ยจู้ตกอยู่ในวิกฤตเมื่อครู่นี้ ทุกอย่างภายในร่างกายพลันเปลี่ยนแปลงไปในเวลาอันสั้น เพราะเหตุนี้จึงทำให้ต้าเซิ่งจื่อรู้สึกหวาดผวาและมองฉวนเถี่ยจู้ด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“สวบ!” ฉวนเถี่ยจู้เดินไปหาต้าเซิ่งจื่อ พร้อมกับร่างกายที่ลุกโชนไปด้วยปราณโลหิต
“ตาย!” ทว่าต้าเซิ่งจื่อไม่ยอมแพ้ เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะวาดฝ่ามือโจมตีอีกครั้ง เพื่อพยายามสู้กับฉวนเถี่ยจู้ในศึกสุดท้าย
ดวงตาคู่นั้นของฉวนเถี่ยจู้ส่องประกายเยือกเย็น จากนั้นเหยียดมือไปจับแขนต้าเซิ่งจื่อ ทำให้ต้าเซิ่งจื่อหน้าถอดสีและอยากชักแขนกลับ แต่ก็ไร้ความหมาย
“กร๊อบ!” เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น ฉวนเถี่ยจู้ออกแรงที่มือ แขนข้างนั้นของต้าเซิ่งจื่อจึงบิดเบี้ยวผิดรูป ต้าเซิ่งจื่อกรีดร้องออกมาด้วยความเ็ป จากนั้นฉวนเถี่ยจู้เหวี่ยงหมัดโจมตีไปที่หน้าอกของต้าเซิ่งจื่อ ทำให้ต้าเซิ่งจื่อส่งเสียงร้องอีกครั้ง ก่อนร่างจะกระเด็นตกเวทีประลอง กระดูกบริเวณหน้าอกต้องแตกหัก และกลายเป็คนไร้ค่า
“แข็งแกร่งมาก ฉวนเถี่ยจู้ปลุกพลังสายเืแล้วทรงพลังขึ้นมาทันตาเห็น!” ผู้คนต่างใจเต้นโครมครามและหายใจถี่
ทางฝั่งตระกูลฉวน ทุกคนในตระกูลฉวนต่างกู่ร้องด้วยความยินดี
ไม่มีผู้ใดคิดว่าฉวนเถี่ยจู้จะมีพลังสายเืที่แข็งแกร่งมากเพียงนี้ แม้แต่ผู้าุโเฉียนยังตาลุกวาว เห็นชัดว่าเขาเริ่มสนใจฉวนเถี่ยจู้แล้ว แม้จะอยู่ในสำนักของเจ็ดอาณาจักรแห่งแดนชิงอวิ๋นที่อยู่ภายใต้การปกครองของสำนักชิงอวิ๋น แต่ก็มีผู้ปลุกพลังสายเืที่แข็งแกร่ง ดังนั้นฉวนเถี่ยจู้จึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับความสนใจจากผู้าุโเฉียน
ฉวนเถี่ยจู้เอาชนะต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ โดยเอาชนะได้ทั้งสองศึก นี่หมายความว่าเขาคือหนึ่งในสามคนที่เข้ารอบต่อไป ดังนั้นสี่ผู้แข็งแกร่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่งจึงถือกำเนิดขึ้น นั่นก็คือโอวหยางเจิน เย่เฟิง ฉวนเถี่ยจู้ จ้าวซิง ซึ่งฉวนเถี่ยจู้และเย่เฟิงกลายเป็สองม้ามืดที่ได้รับความสนใจจากเหล่าผู้คน ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นกับงานชุมนุมหวงปั่งในครั้งนี้
ก่อนงานชุมนุมหวงปั่งจะเริ่มขึ้น ไม่มีผู้ใดคิดว่าสี่อันดับแรกในตอนสุดท้ายจะมีผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นเพียงสองคนที่เข้ารอบ
“เขาเข้าสี่อันดับแรกได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าอันดับของเขาจะไต่ขึ้นไปอีกได้หรือไม่?” บนเจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่เก้า หลิงเอ๋อร์กล่าวพลางกะพริบตาปริบ ๆ
“อะไรกัน เ้าเริ่มเป็ห่วงเด็กนั่นแล้วหรือ?” พลันเสียงชายชราดังมาจากข้าง ๆ
“เปล่าสักหน่อย?” หลิงเอ๋อร์หน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าแค่สงสัย เขาอยู่ขั้นรวมชี่แต่ก็เฉิดฉายท่ามกลางฝูงอัจฉริยะบนเวทีนี้ได้”
“วางใจเถอะ เขาไม่ทำให้เ้าผิดหวังแน่นอน” ชายชรากล่าวพลางยิ้มราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขา
สี่ผู้แข็งแกร่งได้ถือกำเนิดขึ้น ลำดับต่อไปเป็การจับสลากอีกครั้ง สองคนที่จับสลากได้เหมือนกันจะต้องต่อสู้กัน ผู้ชนะเข้ารอบ ส่วนผู้แพ้ตกรอบ ถือได้ว่ากฎเช่นนี้เรียบง่ายและยุติธรรม ไม่นานการจับสลากก็สิ้นสุดลง ผลลัพธ์คือโอวหยางเจินปะทะฉวนเถี่ยจู้ เย่เฟิงปะทะจ้าวซิง
“งานชุมนุมหวงปั่งรอบนี้มีแต่อัจฉริยะมากฝีมือ น่าตื่นเต้นกว่าปีที่แล้วมาก ทั้งยังมีม้ามืดอย่างฉวนเถี่ยจู้กับเย่เฟิง ฉวนเถี่ยจู้มีสายเืแกร่งกล้า พอพลังสายเืตื่นขึ้น พลังก็ไร้เทียมทาน ส่วนเย่เฟิงก็เก่งไม่แพ้กัน เขาไม่เพียงแต่ทำลายสถิติที่องค์ชายใหญ่ทำไว้ถึงสองครา แต่ยังเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นจนเข้ารอบสี่อันดับแรก แข็งแกร่งมาก!”
หลังจากจับสลากเสร็จสิ้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา
“มีพร์ยอดเยี่ยมแล้วอย่างไร ข้าว่าจ้าวซิงอ๋องเล็กที่เผชิญหน้ากับเย่เฟิงต้องชนะแน่” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ซึ่งระหว่างเย่เฟิงที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 8 และจ้าวซิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 มีช่องว่างที่ห่างกันมาก แม้เย่เฟิงจะเอาชนะมู่เยี่ยนได้ แต่ก็ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของจ้าวซิง
“ใช่ ก่อนหน้านี้จ้าวซิงอ๋องเล็กคือผู้ฝึกยุทธ์สามอันดับแรกในรายนามเฟิงอวิ๋น พลังย่อมไม่ใช่สิ่งที่พร์จะชดเชยได้ เย่เฟิงผู้นั้นต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!” คนผู้หนึ่งกล่าวเสริมผู้ฝึกยุทธ์ที่พูดเมื่อครู่นี้ ซึ่งผู้คนรอบข้างต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสองคนนั้น
“ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะจับได้ข้า เห็นที์คงไม่อยากให้เขารอด เช่นนั้นข้าก็จะให้เขาชดใช้กับสิ่งที่ทำกับท่านพ่อเมื่อครู่นี้!” จ้าวซิงเหยียดยิ้มขณะมองเย่เฟิงที่อยู่ไม่ไกล ในความคิดเขา เขาจะสามารถเอาชนะเย่เฟิงในการต่อสู้ถัดไปได้อย่างแน่นอน
บนอัฒจันทร์หลัก เซิ่งอ๋องปรายตามองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก พลางวาบประกายความได้ใจแวบหนึ่ง มีองค์ชายรองจ้าวเยี่ยคุ้มกะลาหัว เซิ่งอ๋องจึงทำอะไรเย่เฟิงไม่ได้ แต่บัดนี้บุตรชายเขาได้สู้กับเย่เฟิง หากกำจัดเย่เฟิงได้สำเร็จ องค์ชายรองก็ไม่มีทางพูดอะไรได้
เมื่อผู้คนของสำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลง สำนักอี่เทียน และตระกูลมู่เห็นเย่เฟิงจับได้คู่กับจ้าวซิงต่างก็แสยะยิ้ม คิดในใจว่าการต่อสู้ต่อไปก็คือจุดจบของเย่เฟิง
“จ้าวซิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 พลังย่อมแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ที่เ้าเคยเจอมาก่อนหน้านี้ อีกอย่างเมื่ออยู่บนเวทีประลอง หากจ้าวซิงคว้าโอกาสได้ เขาก็จะกำจัดเ้าทันที เพราะงั้นเ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม” ฉินเจิ้นถิงเดินมาหาเย่เฟิง ก่อนจะกำชับเย่เฟิงเช่นนั้น
“ขอรับ ข้าจะพยายาม” เย่เฟิงพยักหน้าให้ฉินเจิ้นถิง จ้าวซิงถือเป็คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง แม้ฉินเจิ้นถิงจะไม่เตือน เย่เฟิงก็ไม่มีทางประมาท
ขณะที่ผู้คนทั่วทั้งลานประลองให้ความสนใจ ไม่นานนักทั้งสี่คนเดินขึ้นเวทีประลองพร้อมกัน โดยสองศึกจะดำเนินไปพร้อมกัน
เย่เฟิงยืนตัวตรง เสื้อคลุมปลิวสะบัดตามแรงลม ส่วนจ้าวซิงยืนประจันอยู่ที่ด้านหน้าเขา จากนั้นจ้าวซิงพูดขึ้นว่า “เ้าดูิ่พ่อข้าอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เคารพพ่อข้า แต่พ่อข้ามีมโนธรรมจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับการกระทำของเ้า แม้พ่อข้าจะไม่สนใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกอย่างข้าจะไม่สนใจ!”
จ้าวซิงเผยสีหน้าดูถูก ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ตามหลักแล้ว หากดูิ่พ่อข้า จักต้องถูกลงโทษ แต่ถ้าเ้ากลับใจตอนนี้ ทำลายตบะของตนและคุกเข่าขอโทษพ่อข้า บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเ้า เ้าจงตรึกตรองให้ดี ๆ!”
จ้าวซิงนั้นอยากกำจัดเย่เฟิงมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสก็เท่านั้น
“ทำลายตบะ คุกเข่าขอโทษพ่อเ้า?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ เ้าจะทำอย่างไร?”
