จากการเปิดกล่องไม้จันทน์ แสงทองเข้มลึกลับค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ แสงจ้าเปล่งประกายบดบังการมองเห็น
ในชั่วพริบตา แสงทองลึกลับก็ฉายแสงส่องเป็ชั้นๆ แผดเผาบนร่างที่สมบูรณ์แบบของหลงเซี่ยวอวี่
แสงนุ่มนวลพร่างพราย เปล่งประกายสุกใส ราวกับชั้นแสงสีทองอร่ามปกคลุมใบหน้าอันหล่อเหลางดงามของเขาให้ยิ่งน่าเกรงกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ยามนี้ ด้วยดวงตาสีเข้มแสนเ็าเฉยเมยของเขา ผ่านดวงตาที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้คู่นั้น สามารถเห็นได้ถึงร่องรอยความสับสนงุนงง
...กล่องไม้นี้ถูกส่งมอบโดยมู่เจิ้นกั๋วเมื่อไม่นานมานี้
พูดให้กระจ่างก็คือ นี่คือสิ่งที่หลี่เอินมารดามู่มู่ของเขาซึ่งหมดสติมานานกว่าสิบปี เตรียมไว้ให้เขาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
นอกจากกล่องไม้นี้ ยังมีจดหมายที่ดูเหมือนจะเก่ามากอีกฉบับ
ยามมู่เจิ้นกั๋วนำสองสิ่งนี้มามอบให้เขา มู่เจิ้นกั๋วไม่ได้พูดอะไรมาก
มู่เจิ้นกั๋วกล่าวเพียงว่านี่คือคำเตือนของหลี่เอินก่อนที่นางจะหลับไป ให้เขารอส่งมอบให้ตนในเวลาที่เหมาะสม
ในใต้หล้านี้นอกจากหลี่เอินแล้ว ไม่มีใครอื่นที่รู้เนื้อหาในจดหมายและสิ่งที่ซ่อนอยู่ในกล่องไม้นี้
แต่หลงเซี่ยวอวี่ไม่เข้าใจ หลี่เอินหลับไปนานกว่าสิบปีแล้ว ทั้งยังไม่เคยตื่นขึ้นมา เหตุใดนางถึงเตรียมสิ่งนี้ไว้ั้แ่เมื่อสิบกว่าปีก่อน? ทั้งยังมอบให้เขา? ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
ยามหลงเซี่ยวอวี่ได้รับของชิ้นนี้ เดิมทีเขาคิดว่านี่เป็สิ่งที่หลี่เอินเตรียมไว้ล่วงหน้าสำหรับลูกเขยในอนาคต ก่อนที่นางจะหลับไปในปีนั้น
ใครจะคิดว่าในความจริงแล้วมันกลับไม่ใช่
เนื่องจากก่อนหน้านี้ หลังจากหลงเซี่ยวอวี่อ่านจดหมายเก่าฉบับนั้นแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าของสองอย่างที่หลี่เอินเตรียมไว้นั้นเพื่อส่งมอบให้ลูกเขยในอนาคตของนางนั้น เป็สิ่งที่เจาะจงมอบให้กับตน
เขาทั้งใและประหลาดใจที่หลี่เอินสามารถรู้ได้ั้แ่เมื่อสิบปีก่อนว่าเขาคือลูกเขยของนางในอนาคต ไม่เพียงแค่นั้น ‘ผู้ยุยง’ ที่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ยังเป็เสด็จแม่ของเขาอีกด้วย
เขาจำได้ว่ายามเสด็จแม่อยู่ในวังหลัง เนื่องจากนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสด็จพ่อ จึงถูกหญิงสาวทุกคนในวังมองว่าเป็ศัตรู แต่เสด็จแม่กลับมีสหายสนิทราวพี่น้องอยู่นอกวัง คนผู้นั้นคือหลี่เอินฮูหยินของแม่ทัพมู่
ดังนั้น พวกนางทั้งสองติดต่อกัน ก่อนตัดสินใจเื่นี้ร่วมกันเมื่อครั้งที่ลูกยังเล็กด้วยความคิดที่กว้างไกล เมื่อใช้เวลาอีกพักหนึ่งก็สามารถเข้าใจเื่นี้ได้ไม่ยาก
แต่ไม่มีใครรู้เื่นี้ เพราะทั้งสองคนตัดสินใจไม่บอกให้บุคคลที่สามรู้
ด้วยเหตุนี้ หลังจากอ่านจดหมายแล้ว หลงเซี่ยวอวี่จึงตรวจสอบอีกเล็กน้อย ก่อนพบว่า
เขาพบว่า...เมื่อสิบสี่ปีก่อน ยามตระกูลมู่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ วันที่หลี่เอินป่วยหนักจนหลับไปเป็วันเดียวกับวันที่เสด็จแม่ของเขาประสบเหตุร้าย
และวันนั้นยังเป็วันที่มู่มู่คนโง่เริ่มหวาดกลัวต่อชีวิต เงียบขรึม นอกจากนี้ยังเป็วันที่เขากลายเป็คนเ็า โหดร้ายไร้ความปรานี
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็เื่บังเอิญหรือไม่? หรือจะมีบางอย่างเชื่อมโยงกัน?
การสืบสวนเพิ่มเติมไร้ผลเช่นเดียวกับการคาดเดาในยามนี้
เพราะดูเหมือนจะมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งคอยบงการสิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหนสักแห่งในความมืด ดูเหมือนเื่ทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่์จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า
เพราะ...
ยามกลับมาอ่านจดหมายอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้หลงเซี่ยวอวี่ใยิ่งกว่าก็คือดูเหมือนเขากับมู่จื่อหลิงจะอยู่ด้วยกันที่ไหนสักแห่ง
ไม่ ไม่ใช่แค่ดูเหมือน แต่มันคือโชคชะตาที่ทำให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน
เนื่องจากเมื่อครั้งที่มู่จื่อหลิงก้าวเข้าสู่โลกของหลงเซี่ยวอวี่ ชะตากรรมในชีวิตนี้ก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว...นางไม่สามารถหลบหนีได้
โลกของเขาเป็โลกที่ไม่มีใครสามารถเหยียบย่างเข้ามาได้ แต่นางมู่จื่อหลิงเป็ผู้ที่สามารถก้าวเข้ามาได้อย่างมั่นคง และยามนี้เมื่อนางก้าวเข้ามาแล้ว ย่อมไม่มีทางถอยกลับได้อีก
ดังนั้น ไม่ว่าจะมีการจับคู่ของมารดาพวกเขาที่ทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือไม่ ไม่ว่าจะมีสมรสพระราชทานจากไทเฮาผู้มีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่ พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันอย่างไม่อาจเลี่ยง
อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต!
......
เนื่องจากเป็โชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว นอกจากนี้ยังเป็เพราะ...
ดวงตาสงบนิ่งของหลงเซี่ยวอวี่ จ้องมองแสงพร่างพรายในมือโดยไม่กะพริบ ประกายอารมณ์ซับซ้อนวาบเข้ามาในดวงตาของเขา
หลังจากมองเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง...
หลงเซี่ยวอวี่กางแขนเรียวออกช้าๆ วาดฝ่ามือข้างหนึ่งโค้งเป็ครึ่งวงกลม เกิดเป็ลำแสงสีม่วงจางๆ ซึ่งส่องออกมาผ่านการวาดปลายนิ้ว
ยามฝ่ามือของหลงเซี่ยวอวี่หยุดลง ทันใดนั้นลำแสงสีม่วงก็รวมตัวกันเป็วงกลมภายในฝ่ามือกว้างของเขา ประกายสว่างไสวเต็มไปด้วยความงามเจิดจรัส
หลังจากนั้นจู่ๆ ฝ่ามือที่มีประกายแสงสีม่วงของหลงเซี่ยวอวี่ก็พุ่งเข้าปกคลุมกล่องไม้ที่ส่องแสงสีทองลึกลับออกมาโดยไม่มีการหยุดชะงักแม้เพียงครู่...
มีเพียงเสียงดัง ‘หึ่ง’ ออกมาให้ได้ยิน
เพียงไม่นาน แสงสีทองในกล่องไม้ที่อยู่ท่ามกลางความเจิดจ้าก็ถูกแสงสีม่วงโอบล้อมอย่างแ่า ควบแน่นเป็ก้อนกลมในชั่วพริบตา
ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ลูกบอลประกายแสงทองลูกเล็ก จู่ๆ ก็กลายเป็กลุ่มลูกบอลที่เปล่งประกายแสงสีม่วงกระจายออกไปโดยรอบ ราวกับแฝงกลิ่นอายแห่งฟ้าดิน งดงามแพรวพราวใสกระจ่าง
ลูกบอลแสงสีม่วงสว่างไสวภายในกล่องไม้ ก่อนจะกระเด้งกระดอนไปมารัวเร็วซุกซนราวเด็กน้อยที่อยู่ไม่สุขพร้อมเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา
แต่เพียงครู่เดียว ดูเหมือนว่ามันไม่สามารถอดกลั้นอยู่ภายในกล่องไม้แคบๆ นี้ได้อีกต่อไป มันจึงเริ่มเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระในกล่องไม้ ทำราวกับเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทันใดนั้น...
ลูกบอลแสงสีม่วงขนาดเล็กก็พุ่งกระโจนหายหลบไปในกลุ่มเมฆหมอกที่ม้วนตัวอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วดุจสายฟ้าในทันที
แต่แม้มันจะรวดเร็วเพียงใด หลงเซี่ยวอวี่ก็ยังเร็วยิ่งกว่า
ยามลูกบอลแสงสีม่วงพุ่งออกมา หลงเซี่ยวอวี่ก็กระโจนตามติดไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
ยามเขาวาดมือขึ้น ช่างงดงามตระการตาแลดูไร้เทียมทาน เขาปล่อยไหมทองตัดวายุออกจากข้อมือด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้
แต่เพียงไม่นาน ไหมทองตัดวายุในมือของหลงเซี่ยวอวี่ได้กลายร่างเป็ัลวงตา พุ่งเข้าหาลูกบอลแสงสีม่วงด้วยความเร็วราวกับดาวตก
ภายใต้แสงแปลบราวฟ้าแลบ เกลียวสีทองของไหมทองตัดวายุที่แหลมคมราวน้ำแข็ง หัวัโปร่งใสอ้าปากออกกว้างพุ่งเข้าโอบล้อมลูกบอลแสงสีม่วง เขมือบลูกบอลขนาดเล็กที่พยายามหลบหนีอย่างแม่นยำ
ในชั่วพริบตา ภาพลวงตารูปร่างคล้ายั ที่เปรียบดั่งัร่ายรำเหนือน้ำ ดั่งห่านฟ้าโบยบิน [1] หมุนวนเหนือกลุ่มเมฆา ให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจที่สามารถเขย่าฟ้าดินได้
หลงเซี่ยวอวี่ส่ายแขนเล็กน้อย การสั่นไหวนี้ ดูมีพละกำลังมหาศาล
ทันใดนั้น
‘ตูม!!!'
ภายในม่านหมอก ลูกบอลแสงสีม่วงขนาดเล็กและัลวงตาะเิขึ้นพร้อมกัน เกิดเสียงรุนแรงดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขาเหนือเมฆ
ในชั่วพริบตา ภายใต้เมฆหมอกเกิดแสงสีม่วงะเิออก
ลำแสงสีม่วงพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าอย่างทรงพลัง ตัดผ่านกลุ่มเมฆหมอกจนกระจัดกระจายในทันที ท้องฟ้าเต็มไปด้วยประกายแสงราวดวงดาวร่วงหล่นลงมาทีละดวง
แต่ในเวลาไม่ถึงวินาที เศษเสี้ยวดวงดาวสีม่วงที่แตกสลายกลางอากาศก็กลับมาสว่างไสวมีชีวิตอีกครั้ง ในยามนี้ดวงดาวทั่วท้องฟ้าเรียงแถวอย่างเป็ระเบียบ
ในเวลาไม่ถึงอึดใจ เศษเสี้ยวดาวทั้งห้าดวงส่องแสงสีม่วงเรียงกันเป็ระเบียบ แต่กลับคดเคี้ยวไม่มั่นคง ก่อตัวเป็ดวงดาวที่หมุนวนไปมา
จนกระทั่งเชื่อมต่อกันด้วยเส้นบางๆ ได้สำเร็จ ดาวห้าแฉกจึงกลายเป็ดาวเด่นค้างฟ้า
เหนือยอดเมฆาก็เต็มไปด้วยแสงส่องสว่างสุกใสทันที
แต่ในยามนี้ดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังสิ่งนี้ ดวงตาสงบของเขาหรี่ลงเล็กน้อย มองไปยังทิศทางของเมืองหลวง...
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เชื่อเนื้อหาที่ดูเกินจริงภายในแผ่นกระดาษนี้ จึงทำได้เพียงตรวจสอบด้วยตาตนเองเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน
ณ จวนฉีอ๋อง ตำหนักอวี่หานบนเตียงหยกเหมันต์
มู่จื่อหลิงซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลที่ยาวนานติดต่อกันหลายครั้ง
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่นางกลับมาถึงจวนฉีอ๋อง นางจึงตรงไปยังตำหนักอวี่หานโดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือเหตุผล
จากนั้นจึงทิ้งร่างนอนหงายเหยียดแขนขาบนเตียงหยกเหมันต์ ก่อนหลับสนิทลงในทันที
เพราะนางหลับสนิททั้งยังหลับลึกยิ่งนัก ทำให้แม้ท้องฟ้าจะเกิดสิ่งผิดปกติ ก็ไม่อาจสั่นคลอนนางได้
ดังนั้น มู่จื่อหลิงจึงไม่รู้ว่าในยามนี้ มีแสงสีม่วงรูปดาวห้าแฉกกลวงพุ่งออกมาจากแขนซ้ายของนาง ซึ่งนางไม่รับรู้ถึงความเ็ปหรือแสบคันแต่อย่างใด
แสงสีม่วงนั้นทะลุผ่านแขนเสื้อเนื้อบาง ส่งผลให้ภายในตำหนักอวี่หานแสนยิ่งใหญ่ส่องแสงสว่าง กระทบคานหลังคา ลำแสงผ่านหลังคา ก่อนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
แสงสีม่วงกระจายออกมาเพียงครู่เดียวแล้วจืดจางลงทันที
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เตียงหยกเหมันต์ที่ปูด้วยผ้าปูผืนหนาก็เปล่งแสงสีขาวจางๆ
ทันใดนั้นควันสีขาวเย็นะเืก็ลอยออกมาจากเตียงหยกเหมันต์อย่างเงียบงัน ค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็ภาพคนคนหนึ่ง
ในพริบตา ในตำหนักอวี่หานปรากฏร่างคนชราผมขาวที่ค่อนข้างพร่ามัว ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาได้อย่างชัดเจน
ในยามนี้ ดูเหมือนนางจะสามารถมองทะลุผ่านอุปสรรคหลายชั้นได้ นางััได้ถึงความโกลาหลที่เกิดจากสถานที่แห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ได้อย่างชัดเจน
เหมือนพบสิ่งที่หามานาน
ในที่สุด ดวงตาก็กระจ่างใสขึ้น นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างแ่เบา “จากจุดเริ่มต้นของโชคชะตา บางสิ่งที่เกิดขึ้นกำลังถึงจุดจบ เมื่อทำการเสร็จสิ้นก็ควรถึงเวลาถอนตัวแล้ว”
แต่เมื่อเสียงนั้นจางหายไป ควันสีขาวก็พวยพุ่งออกมาอย่างช้าๆ ล่องลอยไปบนเตียงหยกเหมันต์ ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แสงสีขาวริบหรี่ค่อยๆ จางลง ย้อนกลับไปยังสภาพก่อนหน้าอีกครั้ง
ภายในห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงกรนเล็กๆ ของใครบางคนเท่านั้น
ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็ความว่างเปล่าไร้ตัวตน
ราวกับั้แ่ต้นจนจบไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย......
-
บนยอดเขาชูอวิ๋น ดวงดาวเคลื่อนคล้อยเป็ประกายงดงามน่าตื่นตา
ดวงดาวที่ส่องแสงดวงนี้ ไม่ต่างจากรอยประทับดวงดาวบนแขนซ้ายของมู่จื่อหลิง แต่มันกลับไม่เหมือนกัน ด้วยดาวดวงนี้เชื่อมต่อกันจนตรงกลางไม่ว่างเปล่า ดูสดใสยิ่งกว่า
หลังจากยืนยันเื่หนึ่งได้แล้ว...
หลงเซี่ยวอวี่จึงจ้องดาวสีม่วงที่ก่อตัวขึ้นจากเส้นห้าเส้นเหนือท้องฟ้าอย่างตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าดาวที่ส่องแสงพร่างพรายนั้นมีผลกระทบเป็ความอ่อนโยน
แสงนุ่มนวลทำให้ดวงตาเ็าของเขาค่อยๆ อบอุ่นขึ้น แม้แต่ลมหายใจรอบตัวเขาก็เบาลงอย่างน่าเหลือเชื่อ
มู่มู่ของเขา...มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้านี้
ไม่ว่านางจะมีความลึกลับมากมายเพียงใด ไม่ว่าภูมิหลังของนางจะเป็บุตรสาวแม่ทัพธรรมดาๆ หรือยังมีอีกโลกหนึ่งอยู่ด้วยก็ตาม
เนื่องจาก์ส่งนางมาหาเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เนื่องจากเื่นี้ถูกกำหนดไว้แล้ว
จากนี้นางต้องอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต ไม่อาจเลี่ยง ไม่อาจหลีกหนีไปได้
ดังนั้นเหตุผลที่เขาต้องจากนางไปชั่วระยะเวลาหนึ่งในครั้งนี้จึงเป็ทางเลือกสุดท้ายเช่นกัน
เนื้อหาในจดหมายของหลี่เอินมีไม่มากนัก ทั้งกระชับและตรงประเด็น ได้กล่าวถึงสิ่งสำคัญที่ควรกล่าวไว้ทั้งหมด แต่ดูเหมือนยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งล้วนเป็สิ่งลี้ลับมากมายที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ต้องทำให้สำเร็จ!
หากเป็ไปได้ ในครั้งนี้เขาอยากพานางเคียงข้างไปด้วยกัน แต่นางในยามนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ เป็ดั่งลูกนกที่ขนยังไม่เต็ม [2] การเดินทางครั้งนี้อันตราย ทั้งยังคาดเดาไม่ได้ เขาไม่อาจปล่อยให้นางได้รับความทุกข์ยากใดๆ ได้
นางอยากเล่นสนุก ชอบเล่นสนุก การอยู่ในเมืองหลวงย่อมเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
การแยกจากเพียงครู่ จับมือกันตลอดกาล [3] ย่อมคุ้มค่า!
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เปรียบดั่งัร่ายรำเหนือน้ำ ดั่งห่านฟ้าโบยบิน (似若游龙,宛若飞凤) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า สง่างาม น่าเกรงขาม
[2] ลูกนกที่ขนยังไม่เต็ม (羽翼未丰) เป็สำนวน มีความหมายว่า เด็กเล็กที่ยังไม่มีประสบการณ์ หรือคนที่ยังไม่แข็งแรงมากพอ
[3] แยกจากเพียงครู่ จับมือกันตลอดกาล (离开一时,携手一生) เป็วลี มีความหมายว่า คู่รักที่จำต้องแยกจากกัน ทำสิ่งสำคัญ เพียงเพื่อรอวันได้เคียงคู่กันยาวนาน