เหลือเวลาอีกสิบวันก็จะถึงวันแข่งขันแล้วสกุลเซียวก็ยังคงประพฤติตัวเรียบร้อย พยายามไม่ทำตัวโดดเด่นไม่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก และไม่ต้อนรับหรือพบปะกับผู้ใดที่มาเยี่ยมเยียน อีกทั้งยังไม่ทำการติดต่อกับขุนนางของราชสำนักแม้แต่คนเดียว
กระทั่งเซียวเหยียนและเซียวจู๋ยังประพฤติตัวถูกระเบียบและเรียบร้อยเป็อย่างมากใน่เวลานี้
และเซียวซู่ซู่ก็จะบรรเลงพิณหนึ่งเพลงทุกวัน
ตอนนี้ไม่ใช่ว่าการฝึกซ้อมจะช่วยพัฒนาฝีมือการเล่นพิณเพียงแต่ว่าเซียวซู่ซู่แค่้าหาความรู้สึกในขณะบรรเลงเพียงเท่านั้น
ความรู้สึกที่ว่านางสามารถควบคุมมันได้เพราะมีเพียงเช่นนั้นนางถึงจะสามารถบรรเลงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
อีกทั้งเวลาที่นางคุ้นเคยกับชิงเจี่ยวนั้นมีไม่มาก เพราะฉะนั้นนางจำเป็ต้องใช้เวลา่หนึ่งในการทำความคุ้นเคยและผูกพันกับพิณตัวนี้เซียวซู่ซู่คิดว่าพิณเหล่านี้มักมีจิติญญาอยู่ในตัวของมัน
นางจะต้องมีจิตใจหลอมรวมเป็หนึ่งกับพิณ
วันนี้สำนักเหลยเดินทางมารับคนแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนในสกุลเซียวจึงไปรออยู่ที่ด้านหน้าของห้องโถงใหญ่เพื่อเตรียมส่งคุณหนูเล็กของพวกเขา
ความปลอดภัยของสกุลเซียวล้วนขึ้นอยู่กับคุณหนูเล็กผู้นี้แล้ว
แม้ว่าเื่ทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นจากคุณหนูเล็กแต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้กล่าวโทษนาง
เพราะว่าฮูหยินเฒ่านั้นรักใคร่ในหลานสาวคนเล็กผู้นี้เป็อย่างมากและคนรับใช้ทั้งหลายก็รู้ดีเป็อย่างยิ่งว่าควรจะประพฤติตนเช่นไร
“ท่านยาย ท่านวางใจเถิดสกุลเซียวจะต้องผ่านเคราะห์นี้ไปได้อย่างแน่นอน” เซียวซู่ซู่กำลังคล้องมือเข้ากับแขนของเซียวมี่อยู่พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่หลายวันมานี้ไม่ว่าจะเป็ทางเชื้อพระวงศ์ของแคว้นป่ายฮวาหรือว่าป๋ายหลี่ม่อก็ล้วนไม่มารบกวนสกุลเซียวเหมือนกับว่าตอนนี้เป็ความสงบก่อนเกิดพายุขึ้นก็มิปาน
แน่นอนว่าความเงียบเช่นนี้ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
ทุกคนในสกุลเซียวนอกจากเซียวซู่ซู่แล้วก็ล้วนรู้สึกกระวนกระวายใจเป็อย่างมาก
ทุกคนล้วนมีสีหน้าหนักใจและเป็กังวล
เซียวมี่เองก็ไม่อยากให้เซียวซู่ซู่รู้สึกกดดันมากจนเกินไปจึงยิ้มออกมาบางๆ ด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยเมตตาดวงตาของนางมีประกายระยิบระยับปรากฏขึ้น “เด็กน้อยอย่าฝืนตนเองมากจนเกินไปล่ะ”
พลางยกมือขึ้นลูบเบาๆที่ผมยาวสลวยของเซียวซู่ซู่
วันนี้เซียวซู่ซู่สวมชุดกระโปรงสีมรกตผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง บนหน้าผากประดับด้วยโซ่พู่ร้อยด้วยไข่มุก ดูเรียบง่ายแต่ก็ยังคงความสง่างามเอาไว้อีกทั้งยังช่วยดึงเอาความงามของเซียวซู่ซู่ออกมาให้เด่นชัดมากขึ้น
มุมปากของเซียวซู่ซู่ก็กระดกขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆเช่นกัน “ท่านยาย ข้ารู้แล้ว”
และผู้ที่ติดตามเซียวซู่ซู่ไปสำนักเหลยก็ยังคงเป็เซียวเอินอย่างไม่มีข้อยกเว้น
เพราะว่าเขามีวรยุทธ์ไม่ด้อยอีกทั้งยังมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม
เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาเป็บุรุษ
ทางเซียวเอินก็มีเซียวเหยียนกำลังพูดกำชับเขาถึงสิ่งที่ควรระวังอยู่นางเองก็ไม่อาจทำใจทนเห็นบุตรชายของตนต้องเดินทางไกลเช่นกัน
แม้ว่าการเดินทางไปสำนักเหลยทางเหลยอวี๊เฟิงก็ได้ส่งองครักษ์กว่าสิบนายมาคุ้มครองความปลอดภัยของเซียวซู่ซู่แต่อย่างไรเสียที่นั่นก็อยู่นอกเขตของหนานเจียงอีกทั้งสำนักเหลยสำหรับพวกเขาเป็เพียงตำนานไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้าไปในที่แห่งนั้นมาก่อน จึงทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็กังวล
จนกระทั่งคนของสำนักเหลยเอ่ยเร่งถึงสามครั้งเซียวซู่ซู่และเซียวเอินจึงยอมเดินขึ้นรถม้าไปในที่สุด
ทว่าเซียวซู่ซู่นั้นมิได้ร้องไห้นางเพียงแค่ยกมือหนึ่งขึ้นกอดชิงเจี่ยวเอาไว้ด้วยสีหน้าราบเรียบ อีกทั้งแววตายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
นางบอกกับตนเองว่าทุกอย่างได้ผ่านพ้นไปแล้ว
นางที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก
คนทั้งกลุ่มได้เดินผ่ากลางหุบเขาเข้าไป โดยคนที่นำทางอยู่บนม้าด้านหน้าคือพ่อบ้านใหญ่ของสำนักเหลยเหลยเผิง อีกทั้งในขบวนยังมีธงเขียนอักษรว่าเหลยโบกไปมาอยู่กลางอากาศอย่างโดดเด่นอีกด้วย
เป็การเดินทางที่เอิกเกริกเป็อย่างมาก
และเหมือนว่าเป็เพราะคำว่าเหลยนี้ ทำให้ระหว่างทางพวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างราบรื่นโจรูเาทั้งหลายก็เกรงกลัวในอิทธิพลของสกุลเหลยเช่นกันจึงไม่ได้บุกเข้ามาปล้นชิงทรัพย์ใดๆอีกทั้งยังทำการหลีกทางให้ทันทีอีกด้วย
ระหว่างทางสะดวกสบาย ไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย
ทำให้เซียวซู่ซู่และเซียวเอินรับรู้ถึงอิทธิพลอันแข็งแกร่งของสกุลเหลย
ดูเหมือนว่าเซียวซู่ซู่จำเป็ต้องเปลี่ยนความคิดของตนที่มีต่อเหลยอวี๊เฟิงแล้วคนที่มีอำนาจแข็งแกร่งถึงเพียงนี้กลับยินยอมพร้อมใจที่จะติดตามอยู่ข้างกายม่อเวิ่นเฉิน
ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริงๆ
นางรู้สึกเหมือนว่าเื่นี้ดูเหลือเชื่อเกินไปอยู่บ้างต่อให้ม่อเวิ่นเฉินเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้เขาก็ไม่จำเป็ต้องตอบแทนถึงเพียงนี้กระมัง
“เหลยอวี๊เฟิงช่างเป็คนที่ดื้อดึงจริงๆ”
รถม้าโยกเยกไปมาด้วยแรงเหวี่ยงที่พยายามให้น้อยที่สุดทุกคนล้วนประพฤติตนอย่างมีมารยาทต่อเซียวซู่ซู่ด้วยกันทั้งนั้นทุกคนล้วนไม่กล้ามีท่าทีเมินเฉยต่อนางแม้กระทั่งพ่อบ้านใหญ่เหลยเผิงเองก็มีมารยาทกับนางเป็อย่างมาก
แต่ว่าเซียวซู่ซู่ได้รู้จักพ่อบ้านผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มาตั้งนานแล้วเพียงแต่ว่าไม่เคยพูดคุยหรือใกล้ชิดกับเขามาก่อน
ตอนนี้ นางกลับเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาเฉยๆเสียอย่างนั้น
ทำให้เซียวเอินที่อยู่ด้านข้างก็เกิดอาการตกตะลึงเขาหันไปมองที่น้องสาวของตนโดยที่แววตากำลังถามเซียวซู่ซู่ว่านางกำลังพูดถึงอะไรอยู่
“ท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวผู้นั้นเพียงแค่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้เขาจำเป็ต้องทำตัวเป็ลูกน้องของคนผู้นั้นด้วยหรือ? ด้วยอำนาจของเขาแล้วอ๋องผู้นั้นไม่มีทางเป็คู่แข่งของเขาได้แน่”เซียวซู่ซู่ทำเพียงแค่พูดไปตามสิ่งที่เห็นเท่านั้นมิได้ลำเอียงไปที่ฝ่ายใด
“อ๋องติ้งเป่ยโหว?” เซียวเอินตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม “เป็ใคร?”
เซียวซู่ซู่ในตอนนี้ถึงจะรู้สึกว่าตนเองครุ่นคิดถึงเื่อื่นอีกแล้วอีกทั้งยังเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรออกไปด้วย
เหลยเผิงที่อยู่ด้านนอกรถม้าเองก็ได้ยินที่เซียวซู่ซู่เอ่ยขึ้นคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆสตรีผู้ที่เลื่องลือว่าสติปัญญาไม่สมประกอบมาถึงสิบห้าปีผู้นี้และภายในค่ำคืนเดียวก็กลายเป็สาวน้อยที่โด่งดังไปทั่วแผ่นดินรู้เื่ราวไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อเห็นเซียวเอินเป็เช่นนี้เซียวซู่ซู่ก็รีบฉีกยิ้มกลบเกลื่อนทันที “ข้าเพียงแต่ได้ยินคนเขาพูดกันก็เท่านั้นเื่ราวจริงๆ แล้วเป็เช่นไร ข้าเองก็ไม่รู้”
ทว่า ความไม่ปกติบนสีหน้าของเซียวซู่ซู่ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนและมันกลับทำให้เซียวเอินรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้างน้องสาวผู้นี้ของเขามักจะมีความพิเศษอะไรบางอย่างทำให้คนไม่อาจคาดเดาอะไรเกี่ยวกับนางได้เลย
เวลานี้ เขากลับไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไรเพียงแต่รู้สึกว่าเซียวซู่ซู่อยู่ห่างไกลจากเขาเหลือเกิน
ทั้งที่จริงๆ แล้วนางอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแต่กลับทำให้เขารู้สึกอยู่ห่างไกลถึงสุดขอบฟ้า
เซียวซู่ซู่รู้ว่าเซียวเอินเริ่มสงสัยในตัวนางแล้วคิดได้ดังนั้นนางก็หลับตาลงพลางกล่าวโทษตัวเองในใจ ขอเพียงเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับม่อเวิ่นเฉินก็ทำให้ความคิดของนางว้าวุ่นไปหมด
นางเองก็จนปัญญา
ความรู้สึกที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของนางก็คือความเ็ปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนางนั้นเกลียดม่อเวิ่นเฉิน เกลียดจริงๆ
เกลียดที่เขาประพฤติต่อนางไม่ดีในชาติก่อนเกลียดที่เขาหลอกลวง และยิ่งเกลียดดาบนั้นของเขาที่แทงทะลุหัวใจของตน
แต่ว่าเซียวเอินนั้นเป็คนฉลาดเขารู้ว่าอะไรควรถาม อะไรไม่ควรเอ่ยออกมา เพราะฉะนั้น เวลานี้รถม้าจึงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง
เหลือไว้เพียงเสียงย่ำเท้าของม้าเท่านั้น
เหลยอวี๊เฟิงถือว่าให้ความสำคัญกับเซียวซู่ซู่เป็อย่างมากนอกสำนักเหลยในระยะหนึ่งร้อยลี้ เขาก็ได้ออกมาต้อนรับนางด้วยตนเองแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงขี่ม้าตัวใหญ่สีพุทราแดงขณะจับจ้องไปที่กลุ่มคนและรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้มุมปากของเขาก็กระดกขึ้นเป็รอยยิ้ม ปีนั้นเขาเคยได้ยินเสียงพิณของซูฉีฉีอีกทั้งนางยังใช้เพียงเพลงเดียวก็เอาชนะเฝินเหวินและมีชื่อเสียงเลื่องลือได้
และเซียวซู่ซู่ผู้นี้เขามีความรู้สึกว่าฝีมือการดีดพิณของนางยังเหนือกว่าซูฉีฉีในปีนั้นถึงสามส่วน
เช่นนั้นครั้งนี้จะต้องคว้าชัยชนะมาได้อย่างแน่นอน
เขาอยากที่จะเจียวเหว่ยมาโดยตลอดครั้งนี้ เขาจะต้องไม่พลาดอีก
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับแววตาที่กำลังเหม่อลอย “เวิ่นเฉินใจของเ้าคิดอะไรอยู่กันแน่...”
เขาส่ายหน้าออกมาอย่างจนปัญญา
แค่เพียงเพราะว่านางเคยใช้เจียวเหว่ยก็ทำให้เขาผนึกมันไว้ในจวนและไม่ให้ผู้ใดแตะต้องแม้แต่คนเดียว
แต่ว่า ฮวาเชียนจือนั้นเป็ถึงใครกันนางจะยอมให้ทุกอย่างผ่านไปได้ราบรื่นเช่นนั้นหรือ? ก่อนที่นางจะจากไปเจียวเหว่ยที่แท้จริงก็ได้ตกอยู่ในมือของนางแล้ว
และที่ถูกผนึกไว้ในจวนอ๋องนั้นเป็เพียงแค่ของปลอมเท่านั้น
และเพราะว่าม่อเวิ่นเฉินไม่ให้ใครแตะต้องแม้กระทั่งเขาเองก็ไม่เคยแตะมันแม้แต่ครั้งเดียวทำให้เขาไม่รู้ว่าเจียวเหว่ยที่แท้จริงได้ตกอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว
ถ้าหากมิใช่เพราะเขาชอบท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพและบังเอิญได้พบกับเจียวเหว่ยที่แท้จริงเข้า เขาเองก็คงถูกหลอกจนถึงทุกวันนี้
และคนที่เจียวเหว่ยนั้นกลับเป็ฮวาฉือหัวหน้าพรรคเด็ดบุปผาไปได้
แม้ว่าฮวาฉือจะเป็โจรแต่กลับเป็คนที่เห็นความสำคัญของมิตรภาพและความสัมพันธ์
ดูจากบุคลิกราวบัณฑิตของเขาก็รู้ได้แล้ว
และสำหรับคำถามที่ว่าฮวาเชียนจือทำอย่างไรถึงนำเจียวเหว่ยไปส่งให้ถึงมือของฮวาฉือได้นั้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
อีกทั้งฮวาเชียนจือในตอนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับจวนอ๋องติ้งเป่ยโหวอีก และยิ่งไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับม่อเวิ่นเฉินแล้วเพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่สะดวกที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง
ทำได้เพียงแค่หาวิธีนำเจียวเหว่ยมาให้ได้เท่านั้น
และฮวาฉือเองก็เป็คนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยจึงตกลงเื่การแข่งขันในทันที
ขอเพียงเขาสามารถเชิญยอดฝีมือมาได้เจียวเหว่ยนี้ก็จะมอบให้เขาอย่างเต็มใจ
ตอนแรก ม่อเวิ่นเฉิน ซูฉีฉีและคนอื่นๆได้ทำการต่อสู้กับฮวาฉืออย่างเอาเป็เอาตายในระหว่างทางไปเมืองหลวงแต่กลับไม่ได้สร้างความโกรธแค้นขึ้นในทางกลับกันก็ทำให้ฮวาฉือเกิดความสนใจต่อสำนักเหลยขึ้นมา
แน่นอนว่า ต่อม่อเวิ่นเฉินเขาก็ยังคงไม่เป็มิตรด้วย
เพราะอย่างไรเสียพี่น้องของเขาก็ได้ตายด้วยน้ำมือของม่อเวิ่นเฉิน
แค้นนี้ ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้
เมื่อลงจากรถม้าเซียวซู่ซู่ก็เห็นเหลยอวี๊เฟิงที่นั่งอยู่บนหลังม้าในทันทีนางก็ยังคงมีท่าทีนิ่งเกร็งอยู่บ้างขณะยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นเป็เวลานานไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ที่นี่ นางคุ้นเคยดีอีกทั้งยังเกือบสิ้นชีพลงที่นี่อีกด้วย
แต่ว่า ตอนนั้นในใจของนางยังคงรู้สึกว่ามันหอมหวานรู้สึกว่ามันเป็ความสุข
คนผู้นั้นพยายามเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยนางทุกคำพูดและการกระทำของคนผู้นั้น นางล้วนไม่อาจลืมไปได้นางคิดว่าจากนี้ไปสองสามีภรรยาจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจนแก่เฒ่าเพียงแต่สุดท้ายแล้วความหวังกลับกลายเป็ความผิดหวัง...
หัวใจเสมือนว่ามีมือหนึ่งกำลังออกแรงบีบมันเอาไว้ทำให้มันไม่อาจเต้นต่อไปได้อีก ดึงให้ตัวนางจมดิ่งอยู่ในความมืด
ระหว่างทางนางบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องสงบสติอารมณ์ของตนให้ดีนางคือเซียวซู่ซู่ ไม่ใช่ซูฉีฉีในอดีตผู้นั้น
เพียงแต่ว่า เมื่อมาถึงที่นี่นางก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีก