หลายวันมานี้ ซูฉางอันมีความสุขมาก ตอนนี้เขาลืมเื่กระบวนดาบไปเสียหมดสิ้นแล้ว อย่างไรเสีย นั่นก็เป็เพียงความสนใจชั่ววูบของเด็กอายุสิบสี่เท่านั้น
ที่ฉางเหมิน เขาไม่มีเพื่อนจริงๆ เลยสักคน แม้เขาจะมีอายุสิบสี่ปี ซึ่งเป็่อายุที่ไม่ถือว่าน้อยแล้ว แต่เพราะมีร่างกายซูบผอม แลดูอ่อนแอ ดังนั้น เขาจึงดูราวกับมีอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นักเรียนในสำนักจึงไม่ชอบข้องแวะกับเขาสักเท่าไรนัก แน่นอนว่าตัวซูฉางอันเองก็หาได้ชื่นชอบนักเรียนเ่าั้เช่นกัน
ทว่ามั่วทิงอวี่นั้นแตกต่างออกไป เพราะเขายอมพูดคุยกับซูฉางอันอย่างจริงจัง และสิ่งที่พวกเขาพูดกัน ก็ทำให้ซูฉางอันรู้สึกว่าตัวเองมีความเป็ผู้ใหญ่มากกว่าทุกคนในสำนักแล้วด้วย
แน่นอนอยู่แล้ว เด็กทุกคนล้วนวาดฝันอยากจะเป็ผู้ใหญ่ในเร็ววัน ต่างคิดว่าเมื่อโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว ตนจะหลุดพ้นจากสำนัก เช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพ่อแม่ที่เ้ากี้เ้าการอีก ได้พบโฉมสะคราญต้องใจ สตรีที่ราวกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งในอนาคต หากเพียงเดินทางไปถึงที่นั่น กางแขนออก แล้วกล่าวเพียงว่า ‘ข้ามาแล้ว’ เท่านี้ สตรีผู้นั้นก็จะยอมละทิ้งทุกอย่าง แล้วพุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของพวกเขาทันที
ทว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้น เ้าก็จะรู้เองว่าแท้จริงแล้ว สำนักช่างเป็สถานที่ที่ดีเหลือเกิน เพราะที่นั่นมีสตรีที่เ้าชอบ และนางก็จะอยู่ที่นั่นเสมอ ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยมองมาที่เ้าเลยแม้เพียงครั้งเดียว แต่อย่างน้อยนางก็อยู่ที่นั่นตลอด ไม่เคยแยกจากไปที่ไหน ทั้งยังไม่เคยแต่งงานและกลายเป็ภรรยาของผู้อื่นไปเสีย ถึงแม้พ่อกับแม่จะชอบจู้จี้จุกจิก แต่พวกท่านก็ยังคงอ่อนเยาว์และแข็งแรง สามารถต้านพายุลมฝนที่โหมกระหน่ำซัดใส่เ้าได้เสมอ แต่เมื่อเติบใหญ่ เ้าจำต้องเผชิญกับโลกทั้งใบด้วยตัวคนเดียวให้ได้ โลกที่ทั้งงดงามและอำมหิตไม่ต่างไปจากดอกกุหลาบที่แม้จะงดงามแต่ก็แฝงไปด้วยหนามแหลม
ทว่าซูฉางอันไม่เข้าใจในเื่นี้ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ
ดังนั้นเขาจึงปรารถนาที่จะเติบโต โดยเฉพาะในวินาทีนี้
เขายืนอยู่บนแท่นหน้าห้อง โดยมีอาจารย์เว่ยที่ถือไม้ฉือ[1]เอาไว้ในมือยืนมองด้วยสายตาดุดัน
จี้เต้าและหวังโหงที่นั่งอยู่ภายในห้องกำลังพูดวิพากษ์วิจารณ์เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
โม่โม่ยังคงไม่มองมาที่เขาดังเช่นทุกครั้ง กู่หนิงกำลังพูดเื่ขบขันบางอย่างกับนาง ซึ่งนั่นก็ทำให้นางแอบหัวเราะออกมา
อาจารย์เว่ยอายุมากแล้ว ริ้วรอยบนใบหน้าของเขามีมากและลึกไม่ต่างไปจากหุบเหวในภาพพู่กันเลย เส้นผมของเขาขาวโพลนไปทั้งหัว และแม้จะพยายามจัดทรงให้เป็ระเบียบแล้ว แต่เส้นผมของเขาก็ยังแลดูยุ่งเหยิงไม่ต่างไปจากต้นหญ้าที่ขึ้นรกรุงรังอยู่ดี แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเป็คนที่มีความรู้มากที่สุดในสำนัก และในเมืองฉางเหมินอยู่ดี ว่ากันว่าในตอนที่ยังเป็หนุ่ม อาจารย์เว่ยเคยสอบติดจวี่เหริน[2]มาก่อน ซึ่งในเมืองเล็กๆ เช่นเมืองฉางเหมินนั้น นั่นนับเป็เื่ที่น่ายกย่องมากทีเดียว
“ซูฉางอัน อธิบายมาหน่อยได้ไหม ว่าทำไมเ้าถึงไม่ส่งการบ้านติดต่อกันถึงสามวัน?” อาจารย์เว่ยฟาดไม้ฉือลงบนโต๊ะเรียน และทุกครั้งที่ไม้ฟาดลงไปบนนั้น ซูฉางอันก็จะสะดุ้งใไปด้วยทุกครั้ง
“หากข้าบอกว่ากำลังยุ่งอยู่กับการช่วยชีวิตคน ท่านอาจารย์จะเชื่อไหมขอรับ?” ซูฉางอันพยายามแสดงท่าทางจริงใจออกมาให้ได้มากที่สุด ทว่าสิ่งที่ได้กลับมากลับมีเพียงเสียงหัวเราะของนักเรียนคนอื่นๆ เท่านั้น
ในโลกใบนี้มีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็งานราชการ หรือแม้แต่ในสำนักของเมืองฉางเหมินก็ตาม
ในเมืองฉางเหมิน หาใช่เด็กทุกคนที่จะได้ไปเรียนในสำนัก เพราะมันเป็สถานที่ที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็จำนวนเงินที่มากจนไม่อาจมองข้ามไปได้ของครอบครัวที่มีฐานะธรรมดาเลยทีเดียว
บิดาของซูฉางอันมีตำแหน่งเป็ ไป่ฟูจ่าง[3]ในกรมทหาร จึงถือเป็บุคคลที่พอจะมีหน้ามีตาในเมืองฉางเหมินอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อคนในหมู่บ้านพบเจอบิดาของซูฉางอัน ก็จะเรียกเขาว่า ‘ท่านนายทหาร’ ด้วยท่าทางเคารพ และเรียกซูฉางอันว่าคุณชายซูด้วยเช่นกัน
แต่นั่นไม่ใช่ในสำนัก เดิมทีเด็กย่อมไม่มียศหรือตำแหน่งชนชั้นอะไรทั้งนั้น แต่เพราะบิดาของพวกเขามียศตำแหน่ง ดังนั้นเด็กๆ ในนี้จึงมีการแบ่งระดับชั้นกันไปด้วย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การที่ซูฉางอันเผอิญอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดนั่นเอง ดังนั้นคนในสำนักจึงไม่ได้เรียกเขาว่าคุณชายซู แต่เรียกว่าคุณชายสุนัขแทน
ผิดกับศัตรูหัวใจของเขา ซึ่งก็คือกู่หนิงที่กำลังพูดคุยหยอกล้ออยู่กับโม่โม่นั่นเอง เขาเป็คนที่อยู่ในจุดสูงสุดของพีระมิดแห่งอำนาจในสำนักเลยก็ว่าได้ เพราะพ่อของเขาเป็ไท่โส่ว[4]ของเมืองฉางเหมินนั่นเอง และในเมืองเล็กๆ เช่นเมืองฉางเหมินก็ไม่มีการแบ่งขุนนางฝ่ายปกครองและฝ่ายทหารออกจากกัน ดังนั้นบิดาของกู่หนิงจึงถือเป็ผู้บัญชาการสูงสุดของบิดาของซูฉางอันด้วยนั่นเอง
นี่ไม่ใช่เื่ที่น่ายินดีเลย
แต่เื่ที่ไม่น่ายินดียิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าจะเป็กู่หนิงหรือบิดากู่เซียงถิง ต่างก็มีท่าทีสุภาพและอบอุ่นด้วยกันทั้งคู่ ทำให้ใครๆต่างก็ชื่นชอบในตัวพวกเขากันทั้งนั้น
พวกเขามักจะน่าชื่นชมเสมอ ราวกับดวงตะวันที่ส่องประกายเจิดจรัสจนเขาไม่กล้าแหงนหน้าขึ้นมอง
ซูฉางอันหาเหตุผลที่จะเกลียดพวกเขาไม่ได้เลย
ลำพังแค่เื่นี้ก็ทำให้ซูฉางอันรู้สึกสลดใจมากแล้ว
“ยื่นมือมา!” อาจารย์เว่ยกล่าวขึ้น
ซูฉางอันยื่นมือออกไปโดยสัญชาติญาณ ก่อนไม้ฉือของอาจารย์เว่ยจะเหวี่ยงฟาดลงบนมือของซูฉางอันสามที แม้จะรู้สึกเจ็บมาก แต่ซูฉางอันต้องแกล้งทำเหมือนไม่เจ็บเลยสักนิด เพราะโม่โม่อาจกำลังมองเขาอยู่
ด้วยเหตุนี้ เหตุผลในการไม่ส่งการบ้านของซูฉางอันในสำนักฉางเหมินจึงเพิ่มขึ้นมาอีกข้อ
แต่เขาพูดเื่จริง แม้เหตุผลมากมายที่เคยใช้ก่อนหน้านี้จะเป็เื่เท็จ แต่ในครั้งนี้เป็เื่จริงแท้แน่นอน
ซูฉางอันไม่ได้รู้สึกผิดกับเื่นี้เลยสักนิด ทว่าการติฉินนินทาจากเพื่อนๆ ก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่ดีอยู่ดี
ในที่สุดวิชาในคาบบ่ายก็สิ้นสุดลง ซูฉางอันก็ได้หลุดพ้นจาก่บ่ายที่น่าอึดอัดนี้เสียที เขาจึงรีบหนีออกจากสำนักด้วยความรวดเร็วทันที
ซูฉางอันเดินทางมาที่ร้านของน้าหวัง ร้านนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไร ทว่าอาหารของที่นี่กลับมีรสชาติเลิศล้ำ
ซูฉางอันไม่ได้มาที่นี่บ่อย เพราะเขาไม่ค่อยจะมีเงินสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังมาที่นี่บ้างเป็บางครั้ง
มั่วทิงอวี่ยังมีร่างกายที่อ่อนแอมาก แต่เขากลับจะไปฆ่าคน ด้วยร่างกายที่อ่อนแอขนาดนั้น เขาไม่มีทางฆ่าใครได้แน่ แต่มั่วทิงอวี่เป็เพื่อนของเขา ดังนั้นซูฉางอันจึงรู้สึกว่าตนสมควรที่จะให้ความช่วยเหลือเขา ในนิทานก็เขียนเอาไว้แบบนั้นไม่ใช่เหรอ เพื่อนย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอ
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของอาหารค่ำ ร้านของน้าหวังจึงยังไม่มีคนมา โดยปกติแล้ว ร้านของน้าหวังจะขายดีใน่ที่ทหารลาดตระเวนเปลี่ยนกะกันเท่านั้น
น้าหวังเป็แม่บ้านที่ธรรมดามากคนหนึ่ง นางมีอายุมากกว่าสี่สิบปี เครื่องสำอางบนใบหน้าจึงแทบจะไม่สามารถปกปิดรอยตีนกาที่หางตาได้อีกต่อไป
“น้าหวัง ขอเป็ดย่างตัวหนึ่ง” ซูฉางอันเคาะประตู แล้วกล่าวกับน้าหวังที่กำลังหาวหวอดอยู่
“เอ๋ ฉางอัน เ้ามาแล้วเหรอ มาซื้อกับแกล้มให้พ่ออีกแล้วล่ะสิท่า?” น้าหวังลุกยืนขึ้น แล้วหยิบเป็ดย่างที่วางอยู่บนชั้นมาวางเอาไว้บนเขียงอย่างคล่องแคล่ว
“ไม่ใช่เสียหน่อย พ่อข้ายังไม่กลับเลย” ซูฉางอันส่ายหน้า
“อ้อ ครั้งนี้เขาไปนานเกือบเดือนแล้วสินะ” น้าหวังใช้มีดสับครึ่งที่กลางตัวเป็ดอย่างแม่นยำ
“ขอรับ รู้สึกว่า่นี้เผ่าปีศาจที่ดินแดนทางเหนือจะไม่ค่อยสงบสักเท่าไหร่ ไม่แน่อาจเกิดเื่ใหญ่ขึ้นก็ได้” ซูฉางอันกล่าว
“งั้นเ้าก็เตือนให้พ่อระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน” มีดทำครัวของน้าหวังเริงระบำอยู่กลางเขียง ขณะสนทนากันอยู่ เป็ดย่างก็ถูกแบ่งออกเป็หลายท่อนแล้ว
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้า ทว่าในใจกลับคิดว่ามีหรือที่บิดาจะฟังคำเขา
“อา นี่ของเ้า จับให้ดีล่ะ ทั้งหมดหกสิบอีแปะ” น้าหวังห่อเป็ดย่างด้วยกระดาษ แล้วส่งมันไปให้ซูฉางอัน
ซูฉางอันจ่ายเงิน จากนั้นก็บอกขอบคุณน้าหวัง แล้วออกไปจากร้านพร้อมกับเป็ดย่างในที่สุด
ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำแล้ว หิมะสีขาวก็เริ่มโปรยปรายลงมาในเมืองฉางเหมินด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนกะของทหารลาดตระเวน น้าหวังจึงเริ่มเตรียมของอย่างที่เคย
นางเทน้ำสะอาดลงไปในหม้อ แล้วต้มมันจนเดือด
เช่นนี้ เมื่อลูกค้าเข้ามาในร้าน นางจะได้เสิร์ฟบะหมี่ร้อนๆ ให้ได้เร็วๆ เพราะในคืนที่มีหิมะโปรยปรายเช่นนี้ บะหมี่ร้านนางนับเป็เมนูยอดนิยมเลยทีเดียว
ฉึก ฉึก...
มันเป็เสียงของบูทที่ย่ำลงบนพื้นหิมะนั่นเอง
ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนกะกันเร็วจัง? น้าหวังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ท่านนายทหาร ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนกะกันเร็วจัง? อยากกินอะไรล่ะ?” น้าหวังเร่งเดินออกมาจากครัว แล้วเริ่มต้อนรับลูกค้าทันที
แต่ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือ คนที่มาหาใช่ทหารที่เปลี่ยนกะไม่ ทั้งยังไม่ได้เป็ลูกค้าประจำด้วย
ทว่าคนที่มากลับเป็หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะไม่ใช่คนในเมืองฉางเหมิน
นางน่าจะมีอายุเพียงสิบแปด เก้าปีเท่านั้น หญิงผู้นี้อยู่ในชุดสีเขียว ที่ใบหน้ามีผ้าบางๆ สีขาวปิดอยู่ ั์ตาสะอาดใสประดุจธารน้ำ ที่เอวมีขลุ่ยหยกแนบมาด้วย และแม้นางจะฝ่าหิมะในยามวิกาลเข้ามา ทว่าเสื้อผ้าในร่างกลับไม่มีหิมะติดอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ร่างของนางเปี่ยมไปด้วยไอแห่งความเย็นะเื ราวกับบงกชทิพย์บนสรวง์เช่นนั้น แลดูสูงส่งจนไม่อาจเอื้อม
“มีบะหมี่หรือเปล่า?” หญิงสาวหาที่นั่งภายในร้าน
“มีสิ!แม่นางอยากจะกินบะหมี่แบบไหนล่ะ?” น้าหวังถามกลับ
“เอาบะหมี่เปล่าๆ ก็พอ ไม่ต้องใส่กระเทียม” รสชาติที่นางชอบทั้งบริสุทธิ์และเรียบง่าย ไม่ต่างไปจากตัวนางเลยสักนิด
“ได้เลย เ้านั่งรอก่อนนะ ข้าจะทำให้เดี๋ยวนี้แหละ”
เพียงไม่นาน บะหมี่ร้อนๆ ก็ถูกยกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ
“เชิญทานให้อร่อย”
“ขอบคุณ” หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงแกะผ้าขาวที่ปิดบังใบหน้าออก
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดน้าหวังก็ได้เห็นโฉมหน้าของหญิงสาวนางนี้ นางงดงามมาก งามกว่าที่นางเคยคิดเอาไว้มากโขเลยทีเดียว โฉมสะคราญประดุจดอกท้อ ริมฝีปากแดงสวยตัดกับฟันที่ขาวสะอาด คล้ายกับหิมะบนเทือกเขาสูง ราวเป็ธารน้ำใต้บาดาลลึก ช่างงามจนไร้ที่ติจริงๆ
น้าหวังนึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้
“แม่นาง เ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ใช่ไหม?” อีกนานพอควรเลยกว่าทหารลาดตระเวนจะมาที่ร้าน น้าหวังที่ไม่มีอะไรต้องทำจึงพยายามจะพูดคุยกับหญิงสาวคนนี้แทน
“อืม” หญิงงามตอบกลับ
“่นี้เมืองฉางเหมินไม่สงบสักเท่าไหร่! เ้าตัวคนเดียว ทั้งยังมาจากต่างแดน ไม่คุ้นชินกับสถานที่ ต้องระวังตัวให้มากนะ” น้าหวังเตือนด้วยความหวังดี เดิมทีเมืองติดชายแดนก็มีคนมากหน้าหลายตาต่างที่ต่างแดนเดินทางไปๆ มาๆ อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ่นี้ยังมีเผ่าปีศาจที่ชอบสร้างความวุ่นวายอีก
“อืม ขอบคุณที่เตือนนะพี่สาว” หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย นางกินบะหมี่ในชามอย่างใจเย็น “ข้าจะระวัง”
“เ้ามาที่ฉางเหมินเพราะมีธุระอะไรหรือเปล่า? หรือมาหาญาติ? หรือมาหางานทำที่นี่ล่ะ?” น้าหวังคิดว่าการที่หญิงตัวคนเดียวเดินทางมาไกลถึงที่ฉางเหมิน แสดงว่านางต้องมีเื่ลำบากใจอะไรแน่
“ข้ามาส่งคนน่ะ” หญิงสาวซดน้ำแกงคำสุดท้ายเข้าปาก
“คนที่รู้จักกันเมื่อนานมาแล้ว”
-------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] ไม้ฉือ เป็ไม้แบนๆ มีลักษณะคล้ายกับไม้บรรทัด เป็ไม้ที่อาจารย์ในสมัยก่อนใช้ในการลงโทษนักเรียน คล้ายกับไม้เรียวในสมัยนี้นั่นเอง
[2] จวี่เหริน เป็การสอบระดับมณฑล คือต้องสองระดับท้องถิ่น(ระดับซิ่วไฉ) ให้ได้ก่อน จึงจะสอบระดับนี้ได้ และหากสอบระดับนี้ผ่าน ก็จะได้ไปสอบระดับจิ้นซื่อ ซึ่งเป็การสอบระดับสูงสุด และผู้ที่สอบผ่านระดับนี้จะได้เข้ารับราชการนั่นเอง
[3] ไป่ฟูจ่าง เป็หัวหน้ากองทหารที่มีสมาชิกหนึ่งร้อยคน
[4] ไท่โส่ว เป็ผู้ดูแลสูงสุดของเขต คล้ายกับนายอำเภอ