เดือนที่สิบสองของเมืองฉางอัน ฤดูหนาวกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
เมืองฉางอันมีฝนตกโปรยปราย
ข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางอัน ทั้งขุนนาง ชนชั้นสูง หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปต่างก็รู้กันโดยทั่ว
“มั่วทิงอวี่ไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว”
ถูกต้อง มั่วทิงอวี่ออกเดินทางแล้ว เขาไม่ได้บอกกับใคร และไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวไปด้วย
เขาเดินทางไปที่แผ่นดินทางเหนือคนเดียว โดยพกเพียงแค่ดาบใหญ่ที่ไม่ได้นำออกจากฝักมานานนับสิบปีไปด้วยเท่านั้น
เื่ราวเริ่มขึ้นเมื่อสิบปีก่อน...
มันเป็เื่ของยอดอัจฉริยะแห่งเผ่ามนุษย์ และธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ
ราชสำนักเก็บเื่นี้เป็ความลับมาโดยตลอด แต่ในที่สุด ผู้คนก็กลับรู้เื่นี้กันเสียทั่ว
เมื่อสิบปีก่อน มั่วทิงอวี่รักกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจที่ปลอมเป็ศิษย์ของสำนักเทียนหลาน ทว่าเขากลับถูกเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หลอกใช้ จนทำให้อาจารย์เหยากวัง อาจารย์ของเขาถึงแก่ความตาย
นั่นเป็ถึงหนึ่งในนักรบแห่งดาราจักรที่เหลืออยู่เพียงแปดคนของเผ่ามนุษย์เชียวนะ
องค์จักรพรรดิทรงกริ้วเป็อย่างมาก ถึงขั้นจะปะามั่วทิงอวี่ให้ตายเสียในขณะนั้นเลย
“ขอให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อเถิด อีกสิบปีต่อจากนี้ ข้าจะเดินทางไปที่แผ่นดินทางเหนือ แล้วปลิดชีพนางด้วยตัวเอง” ในวันนั้น มั่วทิงอวี่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าองค์มหาจักรพรรดิ พร้อมกับอ้อนวอนขอชีวิตราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ทว่าแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตดุจดั่งหมาป่า
ในตอนนั้น มั่วทิงอวี่มีอายุได้เพียงสิบเก้าปีเท่านั้น เขาเป็ยอดอัจฉริยะที่เก่งที่สุดในรอบร้อยปีที่ได้รับการยอมรับเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เขาในตอนนั้นยังมีโอกาสที่จะได้เป็นักรบแห่งดาราจักรคนที่เก้าของเผ่ามนุษย์มากที่สุดอีกด้วย
แต่อย่างไรเสีย เขาก็มีอายุเพียงสิบเก้าปีเท่านั้น ผิดกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ก้าวขึ้นไปเป็นักรบแห่งดาราจักรนานถึงร้อยปีแล้ว สิบปีต่อจากนี้ มั่วทิงอวี่ในวัยเพียงยี่สิบเก้าปี จะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นักรบแห่งดาราจักรได้หรือไม่? ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำสำเร็จเลยสักคน ต่อให้เขาจะเป็มั่วทิงอวี่ ยอดอัจฉริยะที่เก่งที่สุดในรอบร้อยปีของเผ่ามนุษย์ก็ตาม
ในเมื่อเขาก้าวขึ้นไปเป็นักรบแห่งดาราจักรไม่ได้ ก็ทำลายชีพดาราของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เช่นกัน และเมื่อทำลายชีพดาราไม่ได้ นักรบแห่งดาราจักรย่อมไม่มีวันดับสูญ
นี่เป็กฎที่ได้รับการยอมรับจากทุกๆ คน
คนที่ไม่อาจก้าวขึ้นไปเป็นักรบแห่งดาราจักรได้ ต้องยอมรับในกฎข้อนี้
ดังนั้น ทุกคนจึงคิดว่า นั่นเป็เพียงข้ออ้างเพื่อขอชีวิตของมั่วทิงอวี่เท่านั้น และด้วยความปราดเปรื่องของมหาจักรพรรดิ มั่วทิงอวี่ไม่มีทางรอดไปได้เพราะข้ออ้างนี้แน่
ทว่าองค์มหาจักรพรรดิกลับทรงเชื่อเขา
ั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา มั่วทิงอวี่ก็ไปพักอาศัยอยู่ในที่พำนักเก่าของอาจารย์เหยากวง
เขาไม่ฝึกพลัง ทั้งยังไม่ฝึกกระบวนดาบอีกด้วย
ในแต่ละวัน เขาจะกินข้าว อาบน้ำ ทำความสะอาดสุสาน และแน่นอนว่าเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเหม่อลอย แต่กลับไม่ยอมฝึกวิชาและกระบวนดาบ
เหตุนี้ หลังผ่านไปสิบปี ยอดอัจฉริยะแห่งเผ่ามนุษย์ผู้นี้จึงไม่มีความก้าวหน้าด้านพลังเลยแม้แต่น้อย
เื่การสังหารนักรบแห่งดาราจักรของมั่วทิงอวี่ จึงกลายเป็เื่ที่น่าขันที่สุดของเมืองฉางอัน
ทว่าในแรกฤดูใบไม้ผลิของเมืองฉางอันนั้น...
มั่วทิงอวี่เริ่มออกเดินทางในที่สุด เขาก้าวออกมาจากประตูที่ไม่ได้ก้าวข้ามมานานนับสิบปีแล้ว
ก่อนจะออกเดินทาง เขาเก็บกวาดที่พักจนสะอาดเอี่ยม จากนั้นก็จัดวางป้ายชื่อของของอาจารย์เหยากวังเอาไว้เป็อย่างดี ก่อนจะจุดธูปสามดอก แล้วรอให้ธูปไหม้จนหมดก่อน จึงได้หยิบดาบที่ถึงแม้จะไม่ได้ออกจากฝักมานานนับสิบปี แต่เขาก็พกติดตัวเอาไว้ตลอด และออกเดินทางในที่สุด
เขาออกจากเมืองฉางอันที่มีฝนตกโปรยปราย ท่ามกลางสายตาที่มองจ้องและแอบมองจากที่ต่างๆ มุ่งหน้าไปยังแผ่นดินทางเหนือด้วยตัวคนเดียว
ที่ชายแดนของแผ่นดินทางเหนือ เมืองฉางเหมินกำลังมีหิมะตก
หิมะจะตกเช่นนี้ไปจนถึงเดือนสามเลยทีเดียว
ซูฉางอันอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
เขามองดูชายซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงของตนด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
ซูฉางอันพบเขานอนอยู่ท่ามกลางหิมะ เขาในตอนนั้นมีสภาพเนื้อตัวมอมแมม หิมะทำให้ร่างกายของเขาเย็นจนแข็งทื่อไปหมด แต่ถึงกระนั้น มือซ้ายของเขาก็ยังคงจับดาบเล่มนี้เอาไว้แน่น
ซูฉางอันคิดว่าคนที่พกดาบติดตัวตลอดเวลาเช่นนี้ ต้องเป็ยอดฝีมือดั่งในนิทานแน่ๆ หากตนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขาต้องสอนวิชาแก่ตนเพื่อเป็การตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน เช่นนั้น ตนก็สามารถตั้งตัวเป็ใหญ่ เที่ยวทำตัวอันธพาลในเมือง และใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เป็แน่แล้ว
และด้วยความคิดอันเรียบง่ายเช่นนั้น เด็กชายวัยสิบสี่จึงลากร่างที่ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าของชายนิรนามท่ามกลางหิมะไปไกลถึงห้าลี้ เพื่อให้ชายผู้นี้แข็งแรงขึ้นเร็วๆ เขายังฆ่าไก่เพียงตัวเดียวในบ้าน แล้วสละที่นอนของตัวเองให้ด้วย
หลังเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดมานาน ในที่สุดชายคนนี้ก็ฟื้นเสียที
“เ้าฟื้นแล้วเหรอ?”
“อืม” เขารู้ดี ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็คนช่วยชีวิตตนเอาไว้
“ดีจริงๆ งั้นเ้าสอนกระบวนดาบแก่ข้าเถอะ!” ซูฉางอันกล่าวอย่างจริงจัง
“ไม่ได้” ชายนิรนามตอบกลับมาอย่างจริงจังเช่นเดียวกัน
“ข้าเป็คนช่วยชีวิตเ้าเอาไว้นะ!” ซูฉางอันกล่าวเน้นเสียง
“ข้ารู้” ชายนิรนามมีท่าทางจริงจังเป็อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็แลดูเ็าและพูดน้อยมากด้วย
“เ้าน่าจะซาบซึ้งในบุญคุณของข้าสิ ที่เขาเรียกว่าการตอบแทนพระคุณน่ะ” ซูฉางอันคิดว่าต้องพูดเื่เหตุผลกับชายผู้นี้เสียหน่อย
“แต่ข้าไม่ได้พกเงินติดตัวมาด้วย”
“งั้นเ้าก็สอนวิชาดาบข้าสิ!” ใช้วิชาดาบมาทดแทนเงิน ซูฉางอันคิดว่าสิ่งที่ตนขอ สมเหตุสมผลมากยิ่งนัก
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ!?”
“เพราะข้าลืมไปแล้ว” ชายนิรนามพูดด้วยท่าทางสัตย์จริง
“เ้าความจำเสื่อมเหรอ?” ซูฉางอันคิดว่านี่ถือเป็เื่ปกติ เพราะในนิทาน ยอดฝีมือที่ได้รับาเ็ มีความเป็ไปได้มากว่าจะความจำเสื่อม
“เปล่า” ชายนิรนามยกแขนซ้ายขึ้น พร้อมกับดาบใหญ่ที่ราวถูกติดเอาไว้กับมือซ้ายขึ้นมาเหนืออก แล้วลูบจับมันอย่างแ่เบา
“แล้วทำไมเ้าถึงบอกว่าตัวเองลืมล่ะ!” ซูฉางอันเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาบ้างแล้ว หากเ้านี่ไม่ใช่คนปัญญาอ่อน ก็ย่อมกำลังหลอกตนอยู่เป็แน่!
“ข้าลืมกระบวนดาบไปสิ้นแล้ว แต่ข้าไม่ได้ความจำเสื่อม” ชายนิรนามอธิบายอย่างใจเย็น แววตาของเขาแลดูจริงใจเป็อย่างมาก
“ลืมกระบวนดาบงั้นเหรอ แล้วทำไมเ้าต้องพกดาบมาด้วยล่ะ!” ซูฉางอันไม่อยากละทิ้งโอกาสในการตั้งตนเป็ใหญ่ และใช้ชีวิตอย่างสุขสบายลงง่ายๆ
“เพราะข้าจำได้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น และกระบวนท่านี้ ข้าก็สอนให้เ้าไม่ได้ด้วย”
“ทำไมล่ะ ข้าเป็คนช่วยชีวิตเ้านะ”
“เพราะข้าใช้กระบวนดาบนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และข้าก็ต้องใช้โอกาสเพียงครั้งเดียวที่มีในการฆ่าใครคนหนึ่ง ใครคนหนึ่งที่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น” ชายนิรนามมีสีหน้าราบเรียบเป็อย่างมาก การฆ่าคน หรือจะบอกให้ถูกก็คือฆ่าคนที่เขาบอกว่าต้องตายสถานเดียวคนนั้น ดูเหมือนจะเป็เื่ที่สมเหตุสมผลมากในสายตาของเขา
จู่ๆ ซูฉางอันก็มีท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เพราะท่านพ่อเคยบอกกับเขาเอาไว้ว่า การฆ่าคนเป็เื่ที่ร้ายแรงมาก ในสายตาของซูฉางอัน การที่ชีวิตหนึ่งไปบังคับให้อีกชีวิตต้องยุติลง นับเป็เื่ที่ไม่ดีเอาเสียเลย เพราะซูฉางอันคิดว่าการมีชีวิตอยู่เป็เื่ที่ดี เหตุนี้ ความตายที่เป็สิ่งตรงกันข้าม ย่อมเป็เื่ที่ไม่ดีอยู่แล้ว
แต่ซูฉางอันจะไม่ห้ามผู้ชายคนนี้ เพราะเขารู้ดี ว่าการที่คนคนหนึ่ง คิดอยากจะฆ่าใครอีกคน ต้องมีเหตุผลเป็แน่ ไม่ว่าเหตุผลข้อนั้นจะเป็สิ่งที่ถูกต้องหรือผิดก็ตาม แต่ในเมื่อตัดสินใจว่าจะฆ่าไปแล้ว เขาย่อมไม่ยอมเปลี่ยนใจเพราะคำห้ามปรามของคนอื่นอย่างแน่นอน
นี่เป็สิ่งที่ท่านพ่อเคยสอนเอาไว้ และซูฉางอันก็เห็นว่าเป็จริงดังนั้น เขาจึงเชื่อเช่นนั้นไปด้วย
“ถ้างั้น เมื่อเ้าสังหารคนๆ นั้นสำเร็จ และจำกระบวนดาบได้เมื่อไร ค่อยสอนข้าก็ได้” ซูฉางอันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้พิเศษมาก เขาจึงหาข้ออ้าง เพื่อที่จะรั้งตัวชายผู้นี้เอาไว้นั่นเอง
“ขอบคุณ” ชายนิรนามมองดูซูฉางอันด้วยสายตาซาบซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนใบหน้าที่ซีดเผือดจะประกายรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย เพียงเท่านั้น เขาก็ลงไปนอนสลบอีกครั้งแล้ว
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็เวลาเที่ยงของอีกวัน
มั่วทิงอวี่ลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างยากลำบาก บนหัวเตียงมีหมั่นโถวางอยู่สองลูก และที่ใต้เตียงก็มีรองเท้าบูทใหม่เอี่ยมคู่หนึ่งวางอยู่
เขาหยิบหมั่นโถที่หัวเตียงขึ้นมากินอย่างไม่คิดอะไรมาก เมื่อกัดคำแรกแล้วพบว่ารสชาติดีไม่หยอก จึงเริ่มกินอย่างจริงจังในที่สุด
มั่วทิงอวี่เป็เช่นนี้มาโดยตลอด เขาจริงจังกับทุกเื่ ไม่ว่าจะเป็กับการกระทำ หรือกับคนก็ตาม
แต่ไม่ว่าจะจริงจังมากขนาดไหน อย่างไรเสีย มนุษย์ก็ละจากความผิดพลาดไม่ได้อยู่ดี มั่วทิงอวี่เคยทำผิดพลาดมาครั้งหนึ่ง จนทำให้อาจารย์ถึงแก่ความตาย ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจว่าจะทำพลาดอีกไม่ได้โดยเด็ดขาด
สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตอนนี้ เขากำลังจะฆ่านักรบแห่งดาราจักรนั่นเอง
เมื่อสิบปีก่อน วินาทีที่ท่านอาจารย์เหยากวังต้องหลับใหลไปตลอดกาล เขาก็ตัดสินใจไว้ว่าจะต้องฆ่านางให้จงได้...
นี่เป็เื่ที่ยากมากเหลือเกิน อย่างน้อย มั่วทิงอวี่ก็ยังไม่เคยทำเื่ที่ยากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ดังนั้น เขาจึงเตรียมตัวเพื่อการนี้มานานถึงสิบปี
เขาจริงจังในทุกๆ วัน จริงจังกว่าแต่ก่อนมาก
กินข้าวอย่างจริงจัง อาบน้ำอย่างจริงจัง ทำความสะอาดสุสานของท่านอาจารย์เหยากวังอย่างจริงจัง และพกดาบที่ไม่เคยออกจากฝักนานนับสิบปีติดตัวอย่างจริงจังด้วย
เขาใช้เวลาสามสิบอึดใจในการกินหมั่นโถสองลูก จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว จึงลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วสวมรองเท้าบูทที่ซูฉางอันเตรียมเอาไว้ให้ รองเท้าผ้าที่เขานำมาจากเมืองฉางอันบางเกินไป ความหนาวในดินแดนทางเหนืออันแสนหนาวเย็น อาจทำให้เท้าของเขาได้รับาเ็ระหว่างเดินทางได้
มั่วทิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้น แล้วลองเดินไปมาเล็กน้อย รองเท้าบูทสวมพอดี เพียงแต่ร่างกายของเขายังคงอ่อนแรงอยู่ เขานอนอยู่บนเตียงนานเกินไป และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
เขาเปิดประตูในบ้านซอมซ่อของซูฉางอันออก ลมเย็นและหิมะที่พัดโชยเข้ามา เกือบทำให้เขาหงายหลังลงไปกองกับพื้นแล้ว
ฤดูหนาวของแผ่นดินทางเหนือ จะมีหิมะตกอยู่ตลอด
นางเคยบอกกับเขาเช่นนี้ อย่างน้อย นางก็ไม่ได้โกหกเขาในเื่นี้
แม้เมืองติดชายแดนที่มีชื่อว่าเมืองฉางเหมินนี่ จะไม่ได้เจริญและคับคั่งไปด้วยผู้คนเหมือนเมืองฉางอัน แต่ที่นี่ก็มีชีวิตชีวาไม่เบาเลย
บ้านของซูฉางอันมีทำเลที่ดี แค่ยืนอยู่ที่ตรงลานบ้าน ก็สามารถมองเห็นถนนภายในเมืองได้แล้ว มีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ทั้งยังมีทหารเดินลาดตระเวนอยู่เป็ระยะๆ อีก เพราะที่นี่เป็เมืองติดชายแดน ดังนั้น ทุกเมืองในแถบนี้จึงมีทหารเฝ้าอยู่ไม่มากก็น้อยเป็เื่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเข้าฤดูหนาว เผ่าปีศาจที่อยู่ทางเหนือก็จะมีความเป็อยู่ที่ยากลำบากด้วยเช่นกัน จึงมักจะเข้ามาปล้นเมืองเล็กๆ เช่นนี้เป็ประจำ เหล่าทหารจึงต้องระมัดระวังเป็พิเศษนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันว่าปีนี้ โหราจารย์ของเผ่าปีศาจทำนายเอาไว้ว่า จะมีดาวกาลกิณีมาจุติ ดังนั้น การรังควานของเผ่าปีศาจในปีนี้ จะไม่ใช่แค่การวิวาทเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป ตอนที่มั่วทิงอวี่ออกมาจากเมืองฉางอัน เมืองฉางอันก็ส่งคำสั่งทางการทหารไปยังจวนจิ้นอ๋องที่แผ่นดินทางเหนือฉบับแล้วฉบับเล่า
ตอนนี้ มั่วทิงอวี่รู้สึกจิตใจว้าวุ่นเล็กน้อย ในที่สุดก็ได้เวลายุติสิ่งที่เตรียมการมานานนับสิบปีเสียที เพียงแต่น่าเสียดายที่กระบวนดาบของตระกูลเหยากวังต้องมลายไปจากโลกในรุ่นของเขา มั่วทิงอวี่รู้สึกเสียดายเป็อย่างมาก ทั้งยังรู้สึกผิดต่อท่านอาจารย์ด้วย แต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ
ในตอนนั้นเอง ที่ซูฉางอันกลับมาจากสำนักพอดี
เขาเปิดประตูรั้วเข้ามา ก่อนจะพบกับมั่วทิงอวี่ที่กำลังยืนเหม่ออยู่ที่หน้าประตู
“เ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” ซูฉางอันกล่าวถาม
มั่วทิงอวี่ไม่ได้หน้าซีดเท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าของเขาก็ยังขาวมากอยู่ดี อาจเป็เพราะเขามีผิวที่ขาวเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีรูปโฉมที่งามสง่าเหลือเกิน คิ้วคม ดวงตาสุกใส ใบหน้าคมคาย แต่แน่นอนว่าซูฉางอันหาได้คิดว่าเขาหล่อไปกว่าตนไม่
“เ้าจำกระบวนดาบของตัวเองได้หรือยัง?” ซูฉางอันยังคงพะวงถึงแต่กระบวนดาบ
“ไม่” มั่วทิงอวี่คิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวแล้วกล่าวขึ้นในที่สุด
ซูฉางอันรู้สึกว่าท่าทีของเขาในตอนนี้ ไม่เหมือนคนที่กำลังพูดโกหก
“เช่นนั้น ถ้าเ้าฆ่าคนที่อยากจะฆ่าแล้ว เ้าจะนึกขึ้นมาได้หรือเปล่า?”
“เมื่อถึงตอนนั้น เป็ไปได้อย่างมากว่าข้าคงจะตายไปแล้ว”
“เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเหรอ?” ซูฉางอันประหลาดใจเป็อย่างมาก ในเมื่อสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แล้วทำไมต้องไปรนหาที่ตายด้วย? มีชีวิตอยู่ต่อไปดีกว่าไม่ใช่เหรอ?
“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ข้าสามารถฆ่าเขาได้” มั่วทิงอวี่มีท่าทีจริงจังมาก จริงจังจนไม่อาจตั้งข้อกังขาได้เลย
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่หากเ้าตาย ก็จะไม่มีใครสอนกระบวนดาบให้ข้า” ซูฉางอันเอง ก็มองไปยังมั่วทิงอวี่ด้วยท่าทางจริงจังเช่นกัน “ดังนั้น ข้าจึงไม่อยากให้เ้าตาย”
สายตาของเด็กหนุ่มทำให้มั่วทิงอวี่ชะงักนิ่งไป จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าช่างละม้ายคล้ายกับตนเหลือเกิน อย่างน้อย เขาก็เหมือนกับตนเมื่อสิบปีก่อน
“ทำไมเ้าถึงอยากเรียนกระบวนดาบนักล่ะ?” มั่วทิงอวี่กล่าวถามขึ้น
ซูฉางอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไป “ก็ไม่จำเป็ต้องเป็กระบวนดาบหรอก ขอให้เป็วิชาการต่อสู้ก็พอ”
“ทำไม? เ้ามีคนที่ต้องฆ่าให้ได้งั้นเหรอ?” มั่วทิงอวี่คิดคำนวณอยู่คู่หนึ่งจึงพบว่ายังเหลือเวลาอีกไม่น้อย หากเด็กหนุ่มอยากจะฆ่าใครจริงๆ ล่ะก็ เขาก็สามารถช่วยได้ ถือเป็การตอบแทนบุญคุณที่เด็กหนุ่มช่วยชีวิตเขาเอาไว้ก็แล้วกัน
“เปล่า เปล่าหรอก” เด็กหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธ “แม้ข้าจะไม่ชอบกู่หนิงเพราะโม่โม่ชอบเขาก็เถอะ แต่ข้าก็ไม่อยากฆ่าเขา เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดี และข้าก็ไม่ชอบหวังโหงกับจี้เต้าด้วย พ่อของพวกเขามีตำแหน่งสูงกว่าพ่อของข้า พวกเขาก็เลยชอบมารังแกข้า ข้าเกลียดพวกเขา แต่ก็ไม่อยากจะฆ่าพวกเขาเหมือนกัน”
“ข้าก็แค่อยากจะฝึกวิชาการต่อสู้เท่านั้น แต่ท่านพ่อไม่ยอม เอาแต่บังคับให้ข้าเรียนหนังสือ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบอ่านหนังสือหรอกนะ ข้าก็แค่ไม่ชอบหนังสือในสำนักก็เท่านั้น เพราะมันทั้งน่าเบื่อและมีเนื้อหาที่เก่าคร่ำครึ ท่านพ่อยังคิดอยากจะฝากข้าเข้าไปเรียนที่ฉางอันด้วย แต่ฉางอันอยู่ไกลเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้น หากไปที่เมืองฉางอัน ข้าก็จะไม่ได้เจอกับโม่โม่อีก ข้าชอบโม่โม่มาก แม้นางจะชอบกู่หนิงก็ตาม” ซูฉางอันบ่นยาวเหยียด ไม่รู้เพราะอะไร แต่เขารู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าเชื่อใจได้
“แล้วเ้าชอบอ่านหนังสืออะไรล่ะ?” มั่วทิงอวี่เริ่มสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดคุยกับใครมานานเกือบสิบปีแล้ว
“อืม... เช่นหนังสือ ‘นักรบพเนจร’ ‘จรรยาบรรณแห่งนักรบ’ ‘เทพนักรบแห่งเขาหลีซาน’‘นักสยบปีศาจ’หนังสือพวกนี้อ่านสนุกมากเลย” ซูฉางอันชอบที่จะแบ่งปันหนังสือเล่มโปรดของตนกับคนอื่นๆ เป็อย่างมาก
“ฟังดูน่าสนใจไม่เบา” มั่วทิงอวี่หัวเราะขึ้นเล็กน้อย พลางแอบบันทึกชื่อหนังสือเหล่านี้ลงไปในสมอง เขาคิดจะหาหนังสือเหล่านี้มาอ่านบ้างเมื่อได้กลับไป หมายถึงหากเขายังมีโอกาสได้กลับไป...
“แน่นอน แต่ท่านพ่อไม่ชอบ มีครั้งหนึ่ง ท่านพ่อดื่มจนเมามาจากค่ายทหาร พอกลับมาก็เผาพวกมันเสียเกลี้ยงเลย ไม่เช่นนั้น ตอนนี้ข้าคงนำออกมาให้เ้าอ่านได้แล้ว” ซูฉางอันดูจะเสียดายมาก เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเขาเสียดายหนังสือพวกนั้น หรือเสียดายที่ไม่มีโอกาสนำหนังสือพวกนั้นออกมาแบ่งให้มั่วทิงอวี่อ่านกันแน่
“พ่อของเ้าชอบดื่มเหล้ารึ?” มั่วทิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกไม่ดีกับคุณพ่อตระกูลซูที่ยังไม่เคยพบหน้าคนนี้เอาเสียเลย “การดื่มเหล้า ไม่ใช่เื่ที่ดีนัก”
“นั่นน่ะสิ แต่เขาไม่ฟังข้าเลย เพราะข้าสู้เขาไม่ไหวยังไงล่ะ ดังนั้น หากเ้าสอนวิชาการต่อสู้กับข้าล่ะก็ ข้าก็จะสู้เขาได้ แล้วเขาก็จะเลิกดื่มเหล้า หวังโหงกับจี้เต้าก็จะไม่กล้ารังแกข้าอีก ไม่แน่ โม่โม่ก็อาจจะหันมาชอบข้าด้วยก็ได้” ซูฉางอันแสดงท่าทางจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง “ดังนั้น เ้าจะตายไม่ได้เด็ดขาด เ้าต้องอยู่เพื่อนึกกระบวนดาบให้ออก แล้วกลับมาสอนมันกับข้า อย่าลืมเสียล่ะ ว่าข้าช่วยชีวิตเ้าเอาไว้ นักดาบในหนังสือเื่นักสยบปีศาจ ต่างก็รู้จักสำนึกบุญคุณและตอบแทนบุญคุณคนกันทั้งนั้น”
“งั้นหรือ? เช่นนั้น นักดาบคนนั้นคงจะเป็นักดาบที่น่ายกย่องมากล่ะสิ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ซูฉางอันดีใจมาก เขารู้สึกว่าตนได้พบกับเพื่อนที่รู้ใจเข้าแล้ว
“แต่ข้ารับปากเ้าไม่ได้หรอก” มั่วทิงอวี่หุบยิ้ม แล้วมองไปยังซูฉางอันด้วยท่าทีจริงจัง เดิมที เขาสามารถปลอบเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยการบอกว่าตนต้องรอดกลับมา และสอนกระบวนดาบกับเขา เพื่อให้เขากลับไปสั่งสอนเพื่อนที่คอยกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน ทว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น เขาเป็คนที่จริงจังกับทุกสิ่ง แม้ว่านั่นจะทำให้ซูฉางอันรู้สึกเสียใจ แต่เขาก็ยังต้องพูดความจริงออกไปอยู่ดี “ข้าไม่มีทางรอดกลับมาแน่ หากฆ่านาง ข้าเองก็ต้องตายไปด้วย”
“แล้วทำไมต้องฆ่านางด้วยล่ะ?” ในที่สุด ซูฉางอันก็ถามคำถามที่อัดอั้นอยู่ในใจมานานออกไป
“เพราะข้ารับปากกับคนอื่นเอาไว้แล้ว ว่าต้องฆ่านาง”
“รับปากใครกัน?”
“คนในใต้หล้า!”