ตอนที่จิ่งฝานกลับมาก็เห็นว่าอ๋าวหรานกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าห้องหนังสือของเขา ในมือถือคัมภีร์ยาหนาหนักแล้วอ่านอย่างตั้งใจไม่วอกแวก บางครั้งก็ทำปากงึมงำ ไม่รู้ว่าพึมพำอะไรอยู่ จิ่งฝานมองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขาที่ก้มอยู่ โครงร่างไม่คม ทั้งยังดูอ่อนโยน โหนกแก้มมีเนื้อเล็กน้อยแลดูนุ่มนิ่ม
ตอนที่บนหัวมีเงาทอดลงมา อ๋าวหรานก็เงยหน้าขึ้น “กลับมาเร็วถึงเพียงนี้เชียว? กินข้าวมาหรือยัง?”
จิ่งฝานส่ายศีรษะ “ยังไม่กิน”
ตอนนี้เป็เวลาอาหารกลางวันพอดี หญิงรับใช้ในเรือนของจิ่งฝานจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อ๋าวหรานปิดหนังสือแล้วใส่กลับไปในย่ามที่ทำขึ้นอย่างประณีตใบนั้น จิ่งฝานมองดูย่ามที่เขาพาดไว้บนบ่า จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เ้าชอบเด็กที่ชื่อชิงโย้วผู้นั้นมากหรือ?”
อ๋าวหรานยิ้ม “นางทั้งเชื่อฟังและน่ารักมาก เป็แม่นางน้อยที่ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูสงสาร”
จิ่งฝานดวงตาคล้ำลง “วันหน้าเ้าก็จะให้นางอยู่กับเ้าหรือ?”
อ๋าวหรานยักไหล่ “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าจะให้นางมาเป็หญิงรับใช้ของข้าไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก อย่างไรเสียก็ต้องมีสักวันที่นางต้องแต่งงานออกไป”
จิ่งฝานได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงดัง 'อ้อ' ออกมาทีหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก
ส่วนอ๋าวหรานนั้นเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่กลับชะงักไว้ อึกอักลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เปิดปากพูดขึ้น “พวกเ้าคุยอะไรกัน?”
จิ่งฝานคีบกับข้าวอย่างช้าๆ “ไม่มีอะไร ก็แค่พวกเื่ไร้สาระเท่านั้น”
อ๋าวหรานอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไม่ได้พูดถึงข้าหรือ?”
“เปล่า”
อ๋าวหรานยากจะเชื่อ “พวกเ้าตั้งใจจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”
จิ่งฝานจู่ๆ ก็ทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แสงในดวงตาทำให้เขาแสบตาเล็กน้อย “ทำไม? เ้ากังวลอันใด?”
อ๋าวหรานอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา รอยยิ้มของจิ่งฝานทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก รู้สึกทรมานอย่างยิ่ง จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ตระกูลจิ่งก็ยังต้องพบกับภัยพิบัตินี้อยู่ดีใช่หรือไม่ และไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำหน้าที่เป็ชนวนะเิอยู่ดีใช่หรือไม่?
ดูเหมือนจิ่งฝานจะหมดความอดทนกับความเงียบของเขาแล้ว ตะเกียบในมือจึงถูกเขาทิ้งอย่างไม่ใส่ใจลงบนโต๊ะ ทำให้เกิดเสียงกระทบกันดังกังวาน “ข้ากินอิ่มแล้ว” พูดจบก็ลุกขึ้นจากไป มือที่จับตะเกียบอยู่ของอ๋าวหรานชะงักไป เนิ่นนานจึงกินข้าวจนหมดถ้วย ส่ายศีรษะให้กับหญิงรับใช้ที่กำลังจะเข้ามาเติมข้าวให้เขา เมื่อพูดไปคำหนึ่งว่า 'ขอบใจ' แล้วจึงจากไปเช่นกัน
ตอนที่กลับไปที่ห้อง อ๋าวหรานในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย ไม่อาจไม่พูดว่าเขาค่อนข้างใส่ใจกับท่าทีของจิ่งฝาน แต่มากกว่านั้นคือรู้สึกปลงทำอะไรไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าเป็เพราะเขาทำไม่ถูกั้แ่แรกหรือว่านิยายเื่นี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องให้เขาเป็คนทำให้เกิดเื่ขึ้น คนตระกูลจิ่งปรึกษาอะไรกัน มากน้อยเขาก็พอจะเดาได้ เขาไม่รู้ว่าจิ่งฝานคิดอย่างไร ตัดสินใจอย่างไร ท่าทางเช่นนั้นเป็เพราะจิ่งฝานเองก็ไม่มีกำลังจะไปทำอะไรได้จึงได้กลายเป็ความโกรธเคืองใช่หรือไม่?
หรือว่า...จิ่งฝานก็มีความประสงค์ร้ายต่อตนเองด้วย
พวกเขาถือเป็เพื่อนในต่างโลกนี้ของเขา ที่นี่เขาเป็เพียงแค่คนนอกที่โดดเดี่ยว ไร้ญาติพี่น้องสายเืเดียวกัน ทั้งยังไม่มีร่องรอยการใช้ชีวิตที่นี่ในสมัยเด็ก เขารู้อะไรมากมายแต่ก็โดดเดี่ยวเพราะความรู้มากนี้ ได้มีโอกาสสนิทชิดเชื้อกับพวกเขานานถึงเพียงนี้...เขารู้สึกดีใจจริงๆ ชาติที่แล้วเขามีชีวิตอยู่จนถึงอายุยี่สิบแปดเกือบจะสามสิบ คิดว่าตัวเองค่อนข้างมีความหนักแน่นเป็ผู้ใหญ่พอ แต่อย่างน้อยก็ยังมีความเป็ชายหนุ่มเืร้อนอยู่บ้าง และให้ความสำคัญกับมิตรภาพยิ่ง
“อ๋าวหราน!”
จู่ๆ ก็ถูกเรียก อ๋าวหรานใจึงรีบหันศีรษะไปทันที
จิ่งเซียงเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “เ้าคิดอันใดอยู่ เดินต่อไปอีกสองก้าวก็จะตกลงไปในบ่อน้ำแล้ว”
ในเรือนของจิ่งฝานมีบ่อน้ำตื้นๆ อยู่หลายบ่อซึ่งอยู่ติดกับูเาจำลองที่ปลูกต้นสนเล็กๆ ไว้ น้ำใสสะอาด แล้วยังมีปลาคาร์พสีแดงสลับขาวอยู่ด้วย อ๋าวหรานมองบ่อน้ำที่อยู่ห่างไปแค่ก้าวเดียวแล้วจึงถอยหลังออกมาอย่างเงียบๆ
จิ่งเซียงจับแขนเขาแล้วลากไปนั่งบนเก้าอี้หิน “คิดอันใดอยู่?”
อ๋าวหรานสูดลมหายใจ “ก็แค่ใจลอยเฉยๆ ไม่ได้คิดอันใด”
ดวงตาที่มีสีดำขาวตัดกันอย่างชัดเจนของจิ่งเซียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยหาเชื่อไม่ “ใจลอยก็หมายความว่ากำลังคิดอะไรอยู่มิใช่หรือ?”
“ใจลอยก็คือการปล่อยให้สมองขาวโพลนว่างเปล่า” อ๋าวหรานหยิกแก้มนาง ไม่ได้ใช้แรงอะไร แม่นางน้อยผู้นี้ถึงจะไม่อ้วน แต่ใบหน้ากลับมีเนื้อนุ่มนิ่ม
จิ่งเซียงหยิกกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นมิสู้คิดอะไรเสียหน่อยยังดีกว่า ล่องลอยปล่อยว่างเช่นนี้จะทำให้ผู้อื่นเป็ห่วงได้”
อ๋าวหรานยิ้ม “อายุยังน้อยก็เริ่มห่วงกังวลเป็แม่เฒ่าแล้วหรือ ระวังจะมีริ้วรอยล่ะ”
จิ่งเซียงปากยื่น หาได้สนใจคำว่าของเขาไม่ คิดจะพูดอะไรแล้วก็หยุดอยู่เช่นนี้เป็นาน แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่อย่างยิ่งสายตาแวววาว “อ๋าวหราน เ้าเป็คนที่ข้าช่วยกลับมา จะต้องปกป้องเ้าให้อายุยืนยาวเป็ร้อยปีให้ได้ ไม่...ไม่เช่นนั้นข้าก็คงรู้สึกผิดต่อความเหนื่อยยากของตนเองที่ช่วยเ้าไว้”
อ๋าวหรานอึ้งไปนาน มือที่อยากจะวางลงบนศีรษะของจิ่งเซียงก็เริ่มสั่นน้อยๆ แล้วนิ่งค้างไว้กลางคัน จิ่งเซียงพูดขึ้นอย่างเป็กังวล “ลุง...ลุงใหญ่ข้าผู้นั้นข้ารู้จักดี เขาค่อนข้างเืเย็นไม่เลือกวิธีการ งานประลองยุทธ์เป็เขาที่จัดขึ้น ความรับผิดชอบส่วนใหญ่อยู่ที่เขา เขาต้องผลักความรับผิดชอบมาให้แน่ ท่านทวดเองก็คงจะเห็นด้วย”
จู่ๆ อ๋าวหรานก็รู้สึกอบอุ่นราวกับดวงตะวันฉายแสงจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ดวงตาโค้งมน ฟันขาวส่องประกายสะท้อนเข้าตาจิ่งเซียงจนไม่อาจละสายตา แล้วพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เ้าหัวเราะอันใด?”
อ๋าวหรานยังคงยิ้มอย่างสว่างไสว “ข้ามีความสุข มีความสุขมาก”
จิ่งเซียงก็ตบหัวเขาอย่างร่าเริง “เ้านี่ช่างโง่งมเสียจริง”
ในต่างโลกนี้เขาอยากจะใช้ใจแลกใจ ร้องขอความจริงใจและมิตรภาพอันแท้จริงเสียจริง
คนทั้งสองพูดไปเื่นู้นเื่นี้ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันไปบ้าง วุ่นวายไม่ได้สาระ แต่กลับเต็มไปด้วยความจริงใจและเชื่อใจซึ่งกันและกัน
เมื่อจิ่งเซียงไปแล้ว อ๋าวหรานก็เอนหลังพิงโต๊ะหินแล้วหลับตา ใบหน้าหันไปทางดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างแต่ไม่ได้ทิ่มแทงคน รู้สึกอบอุ่นสบายเป็อย่างยิ่ง
ได้ยินเสียงชัดเจนที่ข้างหู เสียงฝีเท้าที่ทั้งเร็วและเบาค่อยๆ เข้ามาใกล้ อ๋าวหรานไม่ได้ลืมตาแล้วเปิดปากพูดว่า “จิ่งจื่อ”
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าที่ข้างหูก็ชะงักไป แล้วจึงเดินเข้ามาอย่างมั่นคง
จิ่งจื่อคลั่งการฝึกวรยุทธ์มาก ไม่ว่าเวลาใดล้วนไม่เคยผ่อนคลาย วิชาตัวเบาของเขายอดเยี่ยมมาก ตอนที่เขาเดิน...หากไม่ตั้งใจฟังให้ดีก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเลยด้วยซ้ำ “เ้านี่หูดีจริง”
อ๋าวหรานยิ้ม “เพราะเงียบมาก เสียงฝีเท้าของเ้าจึงชัดเจนขึ้นมา”
แล้วจิ่งจื่อก็ตอบอย่างเข้มงวดว่า “ข้าต้องพยายามฝึกให้มากกว่านี้”
อ๋าวหรานมองดูจิ่งจื่อที่นั่งลงบนที่นั่งที่จิ่งเซียงนั่งอยู่เมื่อสักครู่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
จิ่งจื่อเองก็เอนกายพิงโต๊ะหินน้อยๆ เลียนแบบอ๋าวหราน แล้วทำเป็พูดว่า “วันนี้อากาศไม่เลวเลย”
อ๋าวหราน “...”
“มีเื่อะไรก็พูดมา ถ้าไม่มีก็ไสหัวไป”
จิ่งจื่อ “...”
“เหตุใดเ้าถึงพูดจารุนแรงถึงเพียงนี้?”
อ๋าวหรานหมดคำจะพูด “คำพูดเปิดไร้สาระของเ้าทำให้ข้าจำเป็ต้องรุนแรง”
จิ่งจื่อสูดลมหายใจ อึกอักอยู่นานจึงพูดอ้อมแอ้มว่า “ก็นะ เ้าคงรู้แล้วว่าข้าไม่ใช่สายตระกูลหลักของตระกูลจิ่งใช่หรือไม่”
อ๋าวหรานพยักหน้า ส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง
“อันที่จริงพวกเราพอถึงรุ่นข้านี้ก็ควรจะย้ายออกจากหมู่บ้านได้แล้ว ถ้าไม่ไปซื้อที่ดิน...เปิดร้านยาอยู่ตรงส่วนอื่นบนแผ่นดินใหญ่ก็ต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านล่างเขาแทน”
อ๋าวหรานหันศีรษะไปมองเขา
“แต่ข้ามีพร์ ดังนั้นตระกูลจึงรั้งข้าไว้จนถึงตอนนี้” จิ่งจื่อยกริมฝีปากยิ้ม ท่าทางได้ใจอย่างที่สุด “แต่ว่าแม่ข้าจัดเตรียมบ้านไว้ให้ข้าที่หมู่บ้านด้านล่างนานแล้ว วันหน้าหากข้าไม่สามารถรั้งอยู่ในตระกูลต่อได้จะได้มีที่อยู่”
อ๋าวหรานแววตาสะท้อนแสงเป็ประกาย
จิ่งจื่อดูเหมือนจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เมื่อก่อนตอนที่ข้าได้ยินเื่ของเ้าก็ค่อนข้างรังเกียจเ้ามากทีเดียว ละทิ้งวงศ์ตระกูล รอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว ขี้ขลาดจนเกินไปแล้ว”
“เช่นนั้นตอนนี้เล่า?” อ๋าวหรานถาม
จิ่งจื่อแยกเขี้ยวอีกรอบ “ตอนนี้ก็...ถือว่าใช้ได้ ดีมากเลย”
ในตาของอ๋าวหรานปรากฏรอยยิ้ม
“เ้าหลบไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นของข้าก่อนเถิด อย่างไรเสียก็ประลองยุทธ์ไม่ได้แล้ว แถมเ้าก็ยังว่างอยู่”
อ๋าวหรานเงียบไปนาน ไม่พูดแม้สักคำ
จิ่งจื่อรู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหวจึงอดหันศีรษะไปมองเขาไม่ได้ “เ้าพูดอะไรบ้างสิ”
อ๋าวหรานมองเ้าเด็กผู้นี้ที่ยังเป็เด็กไม่โตเต็มที่ ทั้งโอหังและหัวแข็ง ในหัวมีแต่เื่จอมยุทธ์และมิตรภาพ แล้วตบศีรษะเขาเบาๆใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสว่างไสวโดดเด่นเป็ครั้งที่สองของวันนี้ “เด็กน้อยเอ๋ย กังวลอะไรไร้สาระ”
จิ่งจื่อปัดมือของเขาออก จากเขินอายก็กลายเป็โกรธ “นี่! ผู้ใดเป็เด็กน้อยกัน? เ้าแก่กว่าข้ากี่วันกัน หา?”
อ๋าวหรานส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง พูดอย่างเรียบเฉยไม่ใส่ใจ “ข้าเองก็ยังเด็ก”
จิ่งจื่อโกรธจนอดกัดฟันไม่ได้
อ๋าวหรานลูบหัวเขาอีก แล้วยิ้มราวกับบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ “เอาละ วางใจเถิด หืม?”
จิ่งจื่อยังไม่วางใจ “แต่...”
“ข้ารู้ว่าเ้ากังวลเื่อะไร ไม่เป็ไรหรอก” อ๋าวหรานถอนหายใจ “พวกเ้าแต่ละคนเอาแต่เป็ห่วงข้า เหตุใดถึงไม่ไปห่วงกังวลตระกูลจิ่งบ้างเล่า? อย่างไรเสียนี่ก็เป็ปัญหาใหญ่ พวกเ้าไม่โทษข้าว่าเป็ตัวปัญหาใหญ่หรอกหรือ?”
จิ่งจื่อถลึงตาใส่เขา “พูดอะไรเช่นนั้น? คิดว่าพวกเราจะไม่รู้จักแยกแยะถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ตระกูลจิ่งใหญ่โตถึงเพียงนี้ พวกเขาเฉินหวางสองตระกูลอยากมาก็มา! ผู้ใดกลัวกัน!”
“ไม่คิดอะไรเลยจริงๆ เ้าเด็กไม่เกรงฟ้าไม่เกรงดินนี่”
“เหตุใดเ้าถึงชอบทำท่าทางเหมือนพ่อข้าอยู่เรื่อย”
“มิได้ ข้าไม่กล้าเป็หรอก”
จิ่งจื่อโกรธ “ข้าก็ไม่ได้คิดจะให้เ้าเป็เสียหน่อย!”
——
กลางดึก
เฉินเป่ามองชายที่ร่างกว่าครึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ตาเบิกกว้างเท่าตาวัว “เ้า...เ้า...เ้าคือ...”
เงาร่างสูงใหญ่นั้นไล่บี้เฉินเป่าเข้ามาช้าๆ ทั้งร่างแผ่จิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง
“เ้า...เ้าจะทำอะไร? อ๊า! ออกไป! ไป!”
คนผู้นั้นราวกับจะแสยะยิ้ม เย้ายวนน่าหวาดกลัวราวกับผีร้ายที่คลานออกมาจากนรก
เฉินเป่าตกตะลึงจนคลานหนีไปด้านหลัง เสียงสั่นจนพูดไม่ชัด “เ้า...เ้าอย่าเข้ามา! เ้า...เ้าจะทำอะไร?!!”
“อ๊า!”
...
