ตามที่คาดคิดไว้ทันทีที่ซูเต๋อเหยียนได้ยินว่าพระสนมหวินทรงคิดเสด็จไปเยือนสถานที่ซึ่งซูจิ้งโหยวได้อาศัยก่อนเข้าวังคิ้วก็ขมวดขึ้นมาทันที “ข้าก็รู้ว่าจุดประสงค์การมาของนางไม่ง่ายแบบนั้นเ้าทำได้ดีมาก ไม่เสียทีเป็ลูกสาวที่น่ารักของพ่อ”
“ท่านพ่อชมเกินไปแล้วการพิทักษ์จวนอัครมหาเสนาบดีเดิมก็เป็สิ่งที่ลูกต้องทำ เพียงแต่...ท่านพ่อเื่นี้ไม่ค่อยปกติ ท่านจะส่งคนเข้าวังไปเตือนพี่ใหญ่คราหนึ่ง ให้นางระวังตัวหรือไม่เ้าคะ?” ซูเฟยซื่อเสนออย่างชาญฉลาด
ซูเต๋อเหยียนพยักหน้าแล้วราวกับรู้สึกซูเฟยซื่อพูดมีเหตุผล “ข้าจะจัดการเื่นี้เอง เ้ากลับไปก่อนเถิด”
“เ้าค่ะ”ซูเฟยซื่อหันหลังไป แววเ้าเล่ห์ที่มุมปากวาบผ่านไปแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าซูเต๋อเหยียนเชื่อสิ่งที่นางกล่าวหรือไม่ว่าพระสนมหวิน ผู้มาไม่ปรารถนาดีก็เป็ความจริงทั้งหมด
แม้ว่าซูเต๋อเหยียนไม่ได้หาใครไปเตือนซูจิ้งโหยวซูจิ้งโหยวนั้นต้องได้รับข่าวบ้างแน่นอน
พระสนมหวินบุกโจมตีมาถึงรังเก่าแล้วนางไม่เชื่อว่าซูจิ้งโหยวยังคงนิ่งสงบไว้ได้ เมื่อเวลามาถึง...
ในเมื่อพระสนมหวินคิดหลอกใช้นางถ้าเช่นนั้นนางก็ผลักเรือตามน้ำทำตามสถานการณ์ให้ซูจิ้งโหยวลงไปเป็เพื่อนกับนางแซ่หลี่ในปรภพ
ดั่งที่นางคาดไว้นางเพิ่งจากไปไม่นาน ซูเต๋อเหยียนก็หาใครบางคนลักลอบเข้าไปในพระตำหนักแล้ว
“คุณหนูทำไมท่านจึงให้ซูเต๋อเหยียนไปเตือนซูจิ้งโหยวให้ระวังพระสนมหวิน? ให้พวกนางเป็นกปากซ่อมกับหอยกาบทะเลาะกันไม่ยิ่งดีกว่าหรือ?” ซางจื่อถามด้วยความสงสัย
“ต่อให้ซูเต๋อเหยียนไม่ได้เตือนเื่ที่พระสนมหวินเสด็จมาจวนอัครมหาเสนาบดีก็มิอาจปิดบังซูจิ้งโหยวไปได้แน่นอนในเมื่อเป็เช่นนี้ ให้ซูเต๋อเหยียนช่วยข้าส่งข่าวเท็จเื่หนึ่งเข้าไปมิดีกว่าหรือซูจิ้งโหยวมีความรู้สึกเผชิญวิกฤติ ก็จะได้มีการเคลื่อนไหวมีการเคลื่อนไหวก็ต้องมีช่องโหว่ นั่นจึงเป็โอกาสที่ดีให้เราลงมือ”ซูเฟยซื่ออธิบายด้วยรอยยิ้มบาง
“ถ้าเช่นนั้นพระสนมหวิน...” ั้แ่ต้นจนจบซางจื่อไม่เคยไว้ใจในตัวพระสนมหวิน
“พระสนมหวินไม่มีอันตรายชั่วคราวแต่ภายหน้าต้องเป็คู่แข่งที่แข็งแกร่งแน่นอนดังนั้นขณะที่โจมตีบีบคั้นซูจิ้งโหยวในเวลาเดียวกันต้องคิดวิธีจับจุดอ่อนถึงขั้นชีวิตของนางด้วยมิฉะนั้นเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ซูจิ้งโหยวตาย ข้าก็ไม่มีจุดจบดีอะไรนัก”ซูเฟยซื่อหรี่ตา
าระหว่างผู้หญิงก็เป็แบบนี้ไม่มีใครเป็ศัตรูถาวร ไม่มีใครเป็สหายถาวรด้วย
ต่างฝ่ายต่างวางแผนทำร้ายหลอกใช้ซึ่งกันและกัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เป็ที่ตั้ง
“เฟยซื่อซูจิ้งโหยวมีการเคลื่อนไหวบางอย่างแล้วคนที่ซูเต๋อเหยียนส่งเข้าวังกลับมารายงานบอกว่าซูจิ้งโหยวอยากพบซูจิ้งเถียนให้ซูจิ้งเถียนเข้าวังทันที” เซ่าชิงรีบก้าวเข้ามา ยกชาบนโต๊ะขึ้นดื่มหมดคราเดียว
“ซูจิ้งโหยวให้ซูจิ้งเถียนเข้าวัง? พวกนางสองพี่น้องต้องปรึกษาพูดคุยอะไรกันอีกแน่ๆเ้าค่ะ” จือฉินตามเข้ามาช่วยเซ่าชิงรินน้ำชาอีก
“อืมซูจิ้งโหยวไม่ใช่ป่วยจนลุกไม่ขึ้นหรอกหรือ? ทำไมตอนนี้ยังสามารถพบซูจิ้งเถียนได้อีกล่ะเ้าคะ”ในน้ำเสียงซางจื่อเต็มไปด้วยแววดูถูก
ซูเฟยซื่อกลับสังเกตเห็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจือฉินและเซ่าชิงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาจนเป็พระจันทร์เสี้ยว
ตอนแรกนางเพียงคิดว่าให้จือฉินดูแลเซ่าชิงนางค่อนข้างวางใจจึงให้จือฉินติดตามเซ่าชิงเวลาไม่มีอะไรทำ แต่ตอนนี้ดูแล้ว... เหมือนกับยังสามารถกลายเป็เื่ดีเื่หนึ่ง
สังเกตเห็นแววตาของซูเฟยซื่อสองแก้มจือฉินพลันแดงด้วยความเขินอาย “คุณหนู ท่านคิดอะไรกันเ้าคะ? รีบคิดหาวิธีจัดการกับซูจิ้งโหยวและซูจิ้งเถียนไม่ดีกว่าหรือเ้าคะ”
“ใช่ๆๆข้าก็กำลังคิด” ซูเฟยซื่อยิ้มลึกอย่างมีความหมาย
ส่วนอีกด้านหนึ่งซูจิ้งเถียนกำลังมองดูซูจิ้งโหยวนั่งอยู่บนที่ประทับของพระสนมอย่างไม่น่าเชื่อ“พี่ใหญ่ ข้าเป็น้องสาวแท้ๆ ของท่าน พี่สามารถให้น้องทำเื่แบบนี้ได้อย่างไรถ้าบังเอิญน้องมีเหตุเป็อะไรไป พี่จะมีกตเวที รู้บุญคุณ ไม่เนรคุณ รู้คุณข้าวแดงแกงร้อนต่อท่านแม่ที่เสียชีวิตไปได้หรือ!”
ในดวงตาซูจิ้งโหยวฉายแววรังเกียจแวบผ่านไปทันที“ข้าได้ยินว่าก่อนที่ท่านแม่เสียชีวิต เ้าได้ใช้การโขกศีรษะดังสามเสียงตัดความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกไปอย่างเด็ดขาดแล้ว?”
“นี่...นี่เป็แผนรับมือชั่วคราวที่เหมาะสมมิฉะนั้นซูเฟยซื่อต้องยืมเื่นี้ให้ท่านพ่อยิ่งดูถูกข้า”ซูจิ้งเถียนแย้งอย่างเ้าเล่ห์ท่าทีกระอักกระอ่วน“พี่ใหญ่ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อถูกซูเฟยซื่อนังสารเลวน้อยนั่นทำให้หลงไปแล้วมีเพียงเราสองพี่น้องร่วมแรงร่วมใจจึงสามารถแก้ไข กู้สถานการณ์กลับมาได้อย่าได้ทำให้เกิดการต่อสู้ภายในอีกเลย”
รู้สึกว่าซูจิ้งเถียนพูดถูกในที่สุดสีหน้าของซูจิ้งโหยวดีขึ้นเล็กน้อย “เ้าไม่ทำ ยังสามารถให้ใครไปทำ พระสนมหวินได้รังแกจนถึงบนศีรษะข้าแล้วไม่ลงมืออีก ข้าแพ้แล้ว จวนอัครมหาเสนาบดีอย่าหมายสุขสบายผ่านไปได้”
“นี่...”หัวใจของซูจิ้งเถียนหมุนไปครา พลันดวงตาทั้งสองสว่างขึ้นทันที “พี่ใหญ่ข้ามีความคิดแล้ว”
“คุณหนูท่านบอกว่าครั้งนี้ซูจิ้งโหยวมีจุดประสงค์อะไรอีกเ้าคะ?” ซางจื่อเปิดม่านของหน้าต่างรถเห็นพระตำหนักยังมีระยะทางไกลไป่หนึ่ง จึงหาหัวข้อสนทนาข้อหนึ่งแล้ว
ซูเฟยซื่อกำลังหลับตาพักสงบไม่ได้ลืมตาขึ้น “อย่างไรเสียซูจิ้งโหยวใช้เหตุผลว่าขอบคุณพระสนมหวินไปเซ่นไหว้นางแซ่หลี่จะช่วยจัดงานเลี้ยงสมภพให้พระสนมหวินอีกครั้งซึ่งต้องไม่ได้มาจากความจริงใจส่วนจุดประสงค์ถ้าไม่ใช่คิดยืมเื่นี้จู่โจมกดดันพระสนมหวินก็เป็คิดยืมเื่นี้จู่โจมกดดันข้า ต้องดูว่าข้ากับพระสนมหวินในใจนาง ใครมีความคุกคามกว่ากันแล้ว”
“ใช่แล้วได้ยินว่าวันนี้ซูจิ้งเซียงก็จะไปเข้าร่วมด้วยเป็ซูจิ้งโหยวสั่งให้คนไปเชิญที่ตำหนักซีอ๋องโดยเฉพาะเ้าค่ะ” ซางจื่อกล่าว
“ซูจิ้งเซียง?” ซูเฟยซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม้กล่าวว่าซูจิ้งเซียงเป็พระชายาแห่งซีอ๋องแท้ๆแต่ได้สมรสไปโดยไม่ชัดเจน
ดังนั้นั้แ่นางสมรสเข้าตำหนักซีอ๋องก็เหมือนระเหยไปจากโลกมนุษย์ไม่เคยปรากฏในที่สาธารณะมาก่อน
ทำไมครั้งนี้...
“ซูจิ้งโหยวบอกว่าพี่น้องสามคนไม่ได้เจอกันตั้งนานฉวยโอกาสฉลองวันสมภพของพระสนมหวินอยู่ร่วมกันดีกว่า ยังสามารถััได้ถึงความสุขบ้างด้วยเ้าค่ะ”ซางจื่อเล่าตามที่ฟังมาทั้งหมดรอบหนึ่ง
“เกรงว่าเจตนาของเฒ่าเมามายไม่ได้มุ่งเสพสุรานางกระทั่งแม่แท้ๆ กับน้องสาวแท้ๆ ของตนต่างไม่อยู่ในสายตาไหนเลยจะสนใจถึงซูจิ้งเซียง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องระวังให้มากในวันนี้”ซูเฟยซื่อครุ่นคิดสักครู่แล้วกล่าว
“เ้าค่ะ”
รถม้าหยุดลงที่ประตูของพระตำหนักอย่างรวดเร็วคิดว่าเพราะการเสียชีวิตของหลัวฉีลี่ก่อให้เกิดเงามืดในใจแก่หลายคนไม่น้อยรถม้าหน้าประตูพระตำหนักบางตาไปกว่าวันนั้นมากอย่างเห็นได้ชัด
งานเลี้ยงวันสมภพจัดไว้ที่ตำหนักหลินฉยงเดินเข้าไป ซูจิ้งโหยวกำลังนั่งอยู่บนด้านซ้ายของซ่งหลิงซิวยิ้มแย้มพลางไม่รู้กำลังพูดอะไรกับพระสนมหวิน
เพียงเห็นนางในชุดเสื้อคลุมยาวสีทองอ่อนสะดุดตาปกเสื้อกับแขนต่างใช้ไหมทองกับคริสตัลประดับประดา ในสีทองแฝงประกายเงาวับส่วนเสี้ยวจันทร์โค้งสีขาวที่ห่อหุ้มหน้าอกยิ่งประดับได้อย่างเหมาะสมทำให้คนไม่รู้สึกสักนิดว่าเสื้อคลุมยาวสีทองชุดนี้ตกยุคกลับมีความสูงส่งอย่างมิอาจแปดเปื้อนได้ชนิดหนึ่ง
ในทางตรงกันข้ามพระสนมหวินซึ่งเป็เ้าของวันสมภพที่แท้จริงกลับดูสามัญกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนทั้งชุดอยู่ข้างกายซูจิ้งโหยวก็เหมือนผักกาดขาวไม่มีพลังประชันสักนิด
ดูไปแล้วซูจิ้งโหยวได้วางแผนทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงดำเนินการตามแผนนี้
ชุดสำหรับงานเลี้ยงแบบนี้ต่างถูกสั่งทำไว้ล่วงหน้าหลายเดือนทั้งหมดเดิมพระสนมหวินคิดไม่ถึงว่าซูจิ้งโหยวจะช่วยงจัดงานเลี้ยงวันสมภพให้นางอีกครั้งย่อมถูกจู่โจมจนทำอะไรไม่ถูก
“หม่อมฉันน้อมคารวะฮ่องเต้น้อมคารวะสนมโหยว น้อมคารวะพระสนมหวินเพคะ”ซูเฟยซื่อเดินไปถวายคำนับที่เบื้องหน้าช้าๆ พลางกล่าว
“ลุกขึ้นมาเถิด”ซ่งหลิงซิวทรงตรัสจบ ก็ทรงพิจารณาซูเฟยซื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบหนึ่ง
เพียงเห็นนางแต่งตัวในชุดธรรมดาเค้าหน้ากับทรงผมไม่มีเครื่องประดับพิเศษ ดูเหมือนคิดหลีกเลี่ยงความสนใจของทุกคนแต่ดันยิ่งสะดุดตาโดดเด่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับความประณีตตระการตาทั่วตำหนักนี้