เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือ หลี่ลั่วกล่าวอีกว่า “ยืนพูด”
“เ้าค่ะ” หยวนโม่เล่าเื่ราวั้แ่ต้นจนจบ ทุกคำทุกประโยคล้วนเล่าตามความจริงให้หลี่ลั่วฟัง พูดจบนางก็มองหลี่ลั่วอย่างตื่นเต้น ในใจลึกๆ กลัวว่าหลี่ลั่วจะโมโห หลี่ลั่วในใจของนางและรวมไปถึงในใจของบ่าวรับใช้ทั้งเรือนโฉวงจี๋ ไม่เพียงแต่เป็เสี่ยวโหวเหฺยอายุห้าขวบเพียงเท่านั้น เขายังเป็นายท่านของจวนโหวแห่งนี้ เป็เ้านายในใจของพวกเขา ราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน ห้ามล่วงเกินนายท่านเด็ดขาด
“ในจำนวนสาวใช้ทั้งหมดนี้ เ้าอ่านหนังสือมากที่สุด หนังสือเต็มเรือนของข้านี้ มีเพียงเ้าเช่นกันที่สนใจ เหนียนหงเป็คนซื่อสัตย์ แต่ต่อให้ซื่อสัตย์ ทว่าสิ่งที่รู้ก็มีไม่มากพอ นางรู้จักแต่ทำงานเย็บปักถักร้อยในที่ของนาง ตลอดชีวิตทำได้เพียงแต่เย็บปักถักร้อย แต่งให้ชายหนุ่มที่มีคุณธรรมจริยธรรม” หลี่ลั่วกล่าว “ลวี่ผิงเองก็เหมาะสมกับเพียงแค่คนที่จริงใจ แต่งงานให้กับคนดีๆ ฐานะนางนั้นมีไม่มากพอ ย่อมยืนหยัดขึ้นมาไม่ได้ ส่วนผิงอันเป็คนที่มีความทะเยอทะยาน เป็คนที่มีความคิดเป็ของตนเอง หากนางแต่งออกไปดี ข้าให้พื้นฐานนางไปก็เพียงพอแล้ว นางย่อมสามารถฝ่าฟันคลื่นลมไปได้ ไม่เช่นนั้นหากไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ก็จะตกลงมาอย่างน่าเวทนา แต่เ้านั้นไม่เหมือนกัน”
หยวนโม่เบิกตาโต
“เ้าเป็หญิงสาวฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง เ้ามีบุคลิกที่สาวใช้อีกสามคนไม่มี เ้ามีความฉลาดเฉลียวและรู้จักยับยั้งชั่งใจเหมือนคุณหนูคนหนึ่ง ข้าคิดว่าที่ฉางเฉิงชื่นชอบเ้าก็เกี่ยวกับส่วนนี้” หลี่ลั่วเอ่ยปาก
“โหวเหฺยชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ” หยวนโม่ขัดเขินเล็กน้อย
“หึๆ...” หลี่ลั่วหัวเราะ “ไม่ต้องถ่อมตัว ข้ามองคนแม่นยิ่งนัก เ้าเคยได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งหรือไม่?”
“เชิญโหวเหฺยพูดเ้าค่ะ”
“ูเาแม้จะหนัก แต่ไม่สูญซึ่งความน่าเกรงขาม ทะเลแม้จะหนัก แต่ไม่สูญซึ่งความแข็งแกร่ง คนแม้จะหนัก แต่ไม่สูญซึ่งความมีเกียรติ” หลี่ลั่วถาม “เข้าใจความหมายของมันหรือไม่?”
“ความหมายของตัวอักษรดังกล่าวข้างต้น บ่าวย่อมเข้าใจเ้าค่ะ” หยวนโม่ตอบ
“ข้าย่อมรู้ว่าเ้าเข้าใจความหมายของตัวอักษร เช่นนั้นเ้าเข้าใจความหมายในสิ่งที่ข้าถามเ้าในเวลานี้หรือไม่?” หลี่ลั่วถอนใจ แม่นางน้อยอายุเพียงสิบกว่าขวบหนอ แค่ฉลาดและเป็คนจิตใจดีนั้นไม่เพียงพอดอก แต่นี่ก็เป็จุดที่หลี่ลั่วช่วยอันใดไม่ได้ เพราะความคิดของคนโบราณที่แบ่งชนชั้นวรรณะนั้น ฝังรากลึกเกินไป
หยวนโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างลังเล “ความหมายของเสี่ยวโหวเหฺยคือ บ่าวไม่ได้ทำอันใดผิด ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
หลี่ลั่วพยักหน้า “แน่นอน หรือเ้าคิดว่าการที่เ้าปกป้องข้านั้นเป็สิ่งผิด หรือว่าปกป้องฉางเฉิงแล้วผิดรึ?”
หยวนโม่ส่ายหน้า “บ่าวเพียงแต่เกรงว่าคำพูดของตนเองจะวู่วามเกินไป ทำให้เสี่ยวโหวเหฺยท่านเดือดร้อนไปด้วยเ้าค่ะ”
“ข้าเคยพูดแล้ว ขอเพียงความผิดไม่ได้อยู่ที่พวกเ้า ข้าย่อมไม่กลัวความยุ่งยาก” ในฐานะที่หลี่ลั่วเป็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ไฉนเลยจะให้สาวใช้ที่จงรักภักดีต่อตนต้องได้รับความลำบากใจแล้วไม่แสดงออก? “และสกุลเจียงนับเป็อันใดได้? ก็แค่ข้างหลังพึ่งพาสกุลอวี๋และฉีอ๋อง เ้าลืมไปแล้วหรือไร? ฉีอ๋องเป็คนของข้า ข้าพูดประโยคเดียว ฉีอ๋องย่อมต้องยืนอยู่ข้างพวกเราเป็แน่” แม้ว่าคำพูดนี้หลี่ลั่วจะไม่แน่ใจ แต่แพ้คนไม่แพ้กลยุทธ์ กำลังใจที่ให้กับบรรดาสาวใช้นั้นต้องให้เต็มที่
“ขอบคุณโหวเหฺยเ้าค่ะ”
“เ้าอย่าได้กังวล ท่านอาหลี่และฉางเฉิงล้วนเป็คนที่พึ่งพาได้ แม้แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ผู้บิดาจะมีบุญคุณต่อท่านอาหลี่ แต่การมาทวงบุญตอบแทนเช่นนี้ไม่ใช่วิธีการของท่านแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ ท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเป็คนเปิดเผยตรงไปตรงมา คำพูดของเจียงซูเอ๋อร์เสียอีกที่จะเป็การลบหลู่เขา” หลี่ลั่วอธิบาย
“บ่าวเข้าใจแล้วเ้าค่ะ”
“ในเมื่อเข้าใจแล้ว รอปีหน้าให้เ้าเข้าพิธีปักปิ่นแล้วก็แต่งงานกับฉางเฉิงเถิด แม้ว่าชายหนุ่มอายุสิบแปดจึงจะเข้าพิธีสวมกวาน แต่ผู้ที่อายุยังไม่ถึงสิบแปดแต่งงานแล้วก็มีมาก ขนาดฉีอ๋องยังคิดให้ข้านายของพวกเ้าแต่งกับเขาเร็วขึ้นทุกวันเลย ผู้ชายมักจะรอไม่ได้” หลี่ลั่วพูดจาหยอกล้อ
“เช่นนั้นฉีอ๋องคิดจะแต่งกับโหวเหฺยทุกวัน ไฉนท่านจึงไม่รับปากเล่าเ้าคะ?” หยวนโม่ถาม
หลี่ลั่วตอบอย่างเสียดายสุดๆ ว่า “ต่อให้แต่งงานกันแล้วอย่างไรเล่า ร่างกายของข้าเพิ่งจะห้าขวบ ต่อให้แต่งไปแล้วเื่เข้าหอก็ยังต้องรออีกเป็สิบปีหลังจากนั้น ไฉนเลยจะเหมือนพวกเ้า”
หยวนโม่หน้าแดงจนแทบจะหยดเป็เืออกมาแล้ว เสี่ยวโหวเหฺยใช้ร่างกายน้อยๆ ของตนมาพูดถึงเื่เหล่านี้ อายคนจะตายอยู่แล้ว “บ่าวไปทำงานก่อนนะเ้าคะ”
เมื่อเห็นหยวนโม่วิ่งเอามือปิดหน้าออกไปแล้ว หลี่ลั่วทนไม่ไหวหัวเราะฮ่าๆ ออกมา สาวน้อยอายุสิบกว่าปีนั้นช่างหวงเนื้อหวงตัวเสียจริง หากเป็ในยุคปัจจุบันแล้วละก็ เยื่อพรหมจารีของหญิงสาวช่างไร้ค่าราวกับแผ่นมาสก์หน้าก็ไม่ปาน บรรดาสาวน้อยต่างขโมยกินผลไม้ต้องห้ามก่อนเวลาอันควร รสชาตินั้นย่อมไม่ได้ดีตามรสชาติดั้งเดิม
ชายหนุ่มอายุยี่สิบปีกว่าๆ ที่ยังเป็หนุ่มพรหมจรรย์อยู่ ก็คงจะมีเพียงเขาแล้วกระมัง คิดแล้ว หลี่ลั่วก็รู้สึกว่าตนเองเป็สิ่งของล้ำค่า เป็สิ่งของล้ำค่าของประเทศเช่นเดียวกับหมีแพนด้าเลยทีเดียว
ณ จวนแม่ทัพ
จวนแม่ทัพของสกุลอวี๋นั้นสืบทอดมาจากมือบิดาของแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ เสด็จปู่ของจ้าวหนิงฮ่องเต้เมื่อครั้งเป็ฮ่องเต้ได้พระราชทานไว้ให้ คำว่า ‘จวนแม่ทัพ’ อักษรสามตัวนี้ยังเป็เขาที่เขียนเองกับมือ ทำให้เห็นว่ามีนัยที่แตกต่างจากธรรมดาสามัญ แต่ฮ่องเต้องค์นี้เป็ฮ่องเต้ที่อายุสั้นเช่นกัน หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็ต หากพูดถึงอายุยืนละก็ ไม่ใช่เสด็จพ่อของจ้าวหนิงฮ่องเต้หรอกหรือ ซึ่งก็คือเสด็จปู่ของกู้จวิ้นเฉิน ฮ่องเต้องค์นั้นอายุยืนจริงๆ เมื่อยามที่เขาตายนั้น พี่ชายคนโตของกู้จวิ้นเฉินอายุยี่สิบสองปีแล้ว
“เหลวไหล เลอะเลือน” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ในวัยเจ็ดสิบสองปีมองคู่ชีวิตของตนด้วยสายตาเกรี้ยวกราด “นี่เป็ความคิดของใครกัน? เป็ความคิดของลูกสาว? หรือว่าเป็ความคิดของเ้า?”
อวี๋เหล่าไท่ไท่เผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของเขาราวกับเป็เื่ปกติ กระนั้นก็อย่าได้เห็นว่าแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ผู้มีอายุขนาดนี้แล้วจะมีนิสัยฉุนเฉียวรุนแรงอยู่เพียงด้านเดียวเชียว ที่จริงยามเมื่อต้องรบทัพจับศึกกลับกลายเป็คนละคน คาดว่าอารมณ์รุนแรงฉุนเฉียวขณะทำศึกคงจะมาระบายในยามปกติแทนเสียแล้ว “เ้าหนุ่มฉางเฉิงนั่นนับว่าพวกเราดูเขาเติบโตมา ซ้ำยังเป็บุตรชายของจงิ ถึงฐานะจะต้อยต่ำไปเล็กน้อย แต่มีข้อดีคืออายุยังน้อย วันหน้าไปฝึกฝนที่ซีเป่ย หรือท่านไปพูดส่งเสริมต่อหน้าฝ่าาสักไม่กี่ประโยค หาตำแหน่งดีๆ ให้ก็เป็ใช้ได้แล้ว”
“ฮึ แม้เ้าหนุ่มฉางเฉิงนั่นจะดี แต่อยากจะได้ตำแหน่งดีๆ ก็ต้องอาศัยความสามารถจริงๆ ยามปกติข้ารังเกียจที่สุดคือคนจำพวกที่ชอบเดินทางลัด” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ถลึงตาที่ดูราวกับเสือครั้งหนึ่ง “และในเมื่อบุตรสาวเลือกฉางเฉิง จะยกซูเอ๋อร์แต่งให้เขา ย่อมต้องไปพูดกับภรรยาของจงิ ให้ข้าไปเป็พ่อสื่อเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
“นี่ไม่ใช่เพราะท่านหน้าใหญ่หรอกหรือไร?” อวี๋เหล่าไท่ไท่พูดยิ้มๆ “ฉางเฉิงฐานะต่ำต้อยไปสักหน่อย หากมีแม่ทัพผู้เฒ่าเช่นท่านนั้นเป็พ่อสื่อ หน้าย่อมใหญ่พอ ย่อมไม่มีใครกล้าพูดติฉินนินทาฉางเฉิง ท่านว่าไม่ดีหรือ?”
แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ครุ่นคิด “ได้ ข้าจะนัดจงิมาพูดคุยดู”
“อย่ารั้งรอนะเ้าคะ” อวี๋เหล่าไท่ไท่ย้ำเตือน “บุตรสาวร้อนใจยิ่ง เื่ขององค์ชายฉวี่หลงท่านเองก็ได้ยินแล้ว ต่อมาองค์ชายฉวี่หลงยังไปจวนสกุลเจียงทาบทามเื่แต่งงานอีก บุตรสาวเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ทีขี่แพะไล่ คิดจะกำหนดเื่งานแต่งงานของซูเอ๋อร์ให้เร็วที่สุด”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะนัดจงิดื่มเหล้า”
วันถัดมา
เมื่อยามที่แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋นัดหลี่จงินั้น หลี่จงิไม่ได้คิดถึงเื่นี้
แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ไม่ชอบสถานที่เช่นหอสุรา เขาทำศึกเคยชินกับการเป็อยู่ที่เรียบง่าย ดังนั้นจึงนัดหลี่จงิมาดื่มเหล้าที่ร้านเล็กๆ และกินถั่วลิสง นี่สิจึงจะเป็ชายชาติทหารแท้ๆ
“แม่ทัพผู้เฒ่า” หลี่จงิรู้สึกซาบซึ้ง “สุขภาพของแม่ทัพผู้เฒ่าดีหรือไม่ขอรับ?”
“ดีๆ ก็ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อใด” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋รินเหล้าหนึ่งถ้วยใหญ่ “คนในบ้านไม่ให้ข้าดื่มเหล้า วันนี้อาศัยเ้าแล้ว”
หลี่จงิหัวเราะแหะๆ ทุกคนต่างปรารถนาให้ตนเองอายุยืนร้อยปี จะมีก็เพียงแต่แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ที่มักจะพูดจาเช่นนี้อยู่เสมอ ‘ไม่รู้ว่าตนเองจะตายเมื่อใด’ หลี่จงิยกดื่มหมดถ้วย เมื่อครั้งที่อยู่ซีเป่ยพวกเขาล้วนชอบทำเช่นนี้ ดังนั้น หลี่จงิจึงคิดถึงหลี่ซวี่ขึ้นมา เขาเป็กำพร้า หลี่ซวี่สอนให้เขาอ่านหนังสือรู้จักตัวอักษร ทั้งยังให้สกุลเขามาใช้ แต่ตอนนี้ เหล่าโหวเหฺยไปสู่อีกภพหนึ่งแล้ว หลี่จงิเคยคิดว่า หากเหล่าโหวเหฺยยังหาคุณชายลั่วไม่พบ ไฉนจึงตัดใจตายไปเช่นนี้เล่า?
คิดขึ้นมาก็รู้สึกปวดใจ คนผู้นั้นเป็แม่ทัพของหลี่จงิตลอดชีวิต เป็นายท่านของเขาไปตลอดชีวิต
“คิดถึงเ้าหนุ่มซวี่แล้วล่ะสิ?” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ถาม ที่จริงค่อนข้างแน่ใจ “ข้าคิดถึงเขาเช่นกัน เขาเป็ศิษย์ที่ข้าปลุกปั้นมากับมือ แล้วยังปลุกปั้นหลานชายของข้าออกมาเช่นกัน ดังนั้นที่เขาบอกกันว่าวีรบุรุษอายุไม่ยืน ก็คือกล่าวถึงเขา”
พรืด...หลี่จงิทนไม่ไหวหัวเราะออกมา “จะเป็ไปได้อย่างไร แม่ทัพผู้เฒ่า ท่านอายุยืนอย่างยิ่ง”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ดังนั้นบอกมาซิว่าข้าคนแก่จะอยู่นานเช่นนี้ไปเพื่ออันใด? กลับกลายเป็เขาที่ไปก่อนข้า” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋พูดแล้วดวงตาแดงก่ำ ชาตินี้ทั้งชาติของเขา ต่อให้ศึกใหญ่แค่ไหนเขาก็ไม่เกรงกลัว ไม่เคยหนักใจ แต่การตายของหลี่ซวี่กลับทำให้เขาแก่ลงมากในชั่วคืนเดียว หลี่ซวี่เข้ามาในกองทัพของเขาั้แ่อายุสิบขวบ เริ่มแรกนั้นผอมยังกับลิง แต่แม้ว่าคนจะตัวเล็ก ทว่ากลับสู้ตายอย่างยิ่ง เมื่อยามที่หลี่ซวี่ตายนั้นอายุสามสิบสามปี พวกเขามีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์มาร่วมยี่สิบสามปี หากเป็พ่อลูกก็เป็เช่นนี้
ในใจของแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋นั้น บุตรชายของตนไม่มีดวงชะตาเป็แม่ทัพ หลี่ซวี่จึงเปรียบเสมือนเป็บุตรชายของเขา
เมื่อคราวที่หีบศพของหลี่ซวี่ถูกส่งกลับมาเมืองหลวงนั้น แม่ทัพผู้เฒ่าท่านนี้ร่ำไห้อย่างเ็ปเป็ครั้งแรก ราวกับบุตรชายของตนเองตายอย่างไรอย่างนั้น คนผมหงอกส่งคนผมดำ เขาไม่พูดไม่จาเป็เวลาสามวันเต็มๆ ไม่แม้กระทั่งกินข้าว ต่อมาจ้าวหนิงฮ่องเต้มาหาเขา เขาจึงค่อยดีขึ้นมา
จ้าวหนิงฮ่องเต้ ศิษย์ของแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋อีกคนหนึ่ง ในวันนี้เป็ฮ่องเต้และขุนนาง จ้าวหนิงฮ่องเต้ติดตามแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋นานกว่าหลี่ซวี่ ดังนั้นความสัมพันธ์ของเขาและแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋จึงผูกพันลึกซึ้งเช่นกัน
หลี่ซวี่กับเขาก็เหมือนกัน เป็ฮ่องเต้และขุนนาง และเป็พี่น้อง
ผู้คนล้วนพูดกันว่าฮ่องเต้ไร้เยื่อใย ผลงานสูงทำร้ายตนเอง แต่อาจจะเป็เพราะว่าหลี่ซวี่ซึ่งยังไม่ได้มีผลงานสูงนักตายลง ดังนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้จึงมักจะคิดถึงความผูกพันที่เคยมีระหว่างพวกเขาเมื่อครั้งอยู่ซีเป่ย
หลี่จงิดื่มเหล้าไปร่ำไห้ไปด้วย
พี่น้องที่ดีที่สุดของเขา...ไม่มีแล้ว ราวกับว่าสี่ปีนี้เป็เพียงความฝัน
“จงิ ข้าเองก็กังวลว่าเมื่อใดข้าจะไม่อยู่เสียแล้ว ดังนั้นก่อนที่ข้าจะไม่อยู่ ก็ให้คนแก่อย่างข้าได้นอนตายตาหลับสักหน่อยเถิด” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ใช้แขนเสื้อเช็ดดวงตาแล้วเอ่ยขึ้น
“แม่ทัพผู้เฒ่าอย่าได้พูดเช่นนี้” หลี่จงิใจนสะดุ้ง “แม่ทัพผู้เฒ่ามีเื่อันใดพูดมาตามตรงก็พอ”
“เ้าไม่ต้องกังวล เป็เื่ดี เื่ดี” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋หัวเราะฮ่าๆ “เกี่ยวกับองค์ชายฉวี่หลงล่วงเกินซูเอ๋อร์บนถนน ข้ายังต้องขอบคุณเ้า หากไม่มีฉางเฉิง...และด้วยเื่นี้ ชื่อเสียงของซูเอ๋อร์จึงได้รับผลกระทบ ดังนั้น คนแก่อย่างข้าจึงต้องหน้าหนามาหาเ้า เ้าเห็นว่าซูเอ๋อร์และฉางเฉิงแต่งงานกันเป็เช่นใด?”
หา? หลี่จิงิดูเหมือนจะคาดไม่ถึงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋จะมาพูดเื่นี้ รู้สึกอัดอัดขึ้นมาทันใด “แม่ทัพผู้เฒ่า พูดอย่างไม่ปิดบังท่าน ฉางเฉิงได้หมั้นหมายไว้แล้วขอรับ”