เขาตกปลาเฉาตรงนั้นได้อีกหลายตัว จากนั้นใช้ข้องดักปลาดักปลาหลี่อวี๋ได้กว่าครึ่ง แล้วคัดตัวที่ใหญ่แค่หนึ่งถึงสองนิ้วออกมา เหลือไว้เพียงตัวที่ยาวเท่าหนึ่งด้ามตะเกียบ แล้วเลือกเก็บปลาที่ยาวเท่าครึ่งด้ามตะเกียบไว้ด้วยส่วนหนึ่ง
หลังจากใส่ปลาทั้งหมดไว้ในข้อง เขาก็เลือกปลาที่ยาวเท่าครึ่งด้ามตะเกียบมาแปดตัวแล้วใช้เส้นหญ้าแห้งมาร้อยไว้ ส่วนนี้ตั้งใจเอากลับบ้าน
ในมื้อเย็นวันนั้น หลิวเต้าเซียงได้กินอย่างอิ่มหนำราวกับแมวน้อย
แน่นอนว่าครอบครัวของหลิวซานกุ้ยก็ไม่ได้ลืมเพิ่มมื้อดึกให้สำหรับทุกคน
ตอนนี้ทั้งสองพี่น้องเรียนคัมภีร์ตรีอักษรจบแล้ว ส่วนจางกุ้ยฮัวค่อนข้างช้า นางจึงเรียนคัมภีร์ตรีอักษรได้เพียงครึ่งเดียว
หลิวซานกุ้ยได้เริ่มสอนคัมภีร์ร้อยตระกูลให้แก่พวกนาง ทั้งสองเพิ่งเริ่มฝึกได้สิบกว่าตัวอักษรก็เตรียมตัวล้างหน้าล้างตาและเข้านอน
ก่อนรุ่งสาง หลิวซานกุ้ยประเมินว่าได้เวลาสมควรแล้ว จึงแอบลุกขึ้นแล้วไปหลังเชิงเขาเพื่อเอาปลากลับมา
เดิมทีเขา้าเชือดปลาเฉาทั้งหมดไว้ทำลูกชิ้นปลา แต่พอนึกดู หากเขายิ่งทำเยอะ บุตรสาวตนเองก็จะยิ่งเหนื่อย
ดังนั้นหลิวซานกุ้ยจึงเชือดปลาเฉาเพียงหนึ่งตัว ได้เนื้อมาหนึ่งกิโลกรัมเศษ จากนั้นก็โม่น้ำเมือกของปลาไว้เรียบร้อย
เมื่อหลิวเต้าเซียงตื่นขึ้น จางกุ้ยฮัวก็ก่อไฟไว้ให้นางแล้ว
นางออกมาจากห้องปีกตะวันตก เมื่อเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวในเรือนหลัก อารมณ์ก็ยิ่งเบิกบาน
นางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปลึกๆ ในปอดแล้วพ่นออกมา
เมื่อมองไปทางทิศตะวันออก ครอบครัวของนางในตอนนี้ดุจดั่งความมืดก่อนที่แสงสว่างจะมาถึงและผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับลูกชิ้นปลา นางเคยทำมาหนึ่งหน รอบนี้จึงจัดการต้มอย่างรวดเร็ว
หลิวซานกุ้ยไปเอาปลา ส่วนหลิวเต้าเซียงหยิบตะกร้าใบเล็กมาใส่ลูกชิ้นปลาแล้วแบกขึ้นหลัง ไม่นานนักสองพ่อลูกก็ออกเดินทางจากบ้านไป
“ท่านพ่อ เมื่อวานท่านย่าถามว่าเหตุใดท่านพ่อจึงไม่ไปรับทำงานชั่วคราวข้างนอก”
หลิวฉีซื่อไม่ได้ถามหลิวซานกุ้ยด้วยตนเอง แต่ถามจางกุ้ยฮัวและด่ากราดต่างๆ นานาว่านางเป็ตัวล้างผลาญ เก่งแต่ผลาญข้าวของแต่กลับหาเงินไม่เป็
แน่นอนว่าคําพูดเหล่านี้จางกุ้ยฮัวฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้เอาวาจาของนางมาคิดแต่อย่างใด เพียงแต่รับหน้าอย่างเคารพนอบน้อม
ด้วยเหตุนี้ ในใจของหลิวฉีซื่อจึงเกิดการเปรียบเทียบ คิดว่าจางกุ้ยฮัวเองก็ยังเกรงกลัวนางอยู่บ้าง เพียงแต่ตอนนั้นคงเพราะถูกบีบบังคับเกินไป ถึงได้ขู่เื่วางยาฆ่าแมลง
ใบหน้าอ่อนโยนของหลิวซานกุ้ยชะงักเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาเม้มไว้แน่น ซึ่งดูออกไม่ยากว่าอารมณ์ของเขาค่อนข้างแย่
เขาเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆ ของหลิวเต้าเซียง “เรารีบไปในเมืองกันเถอะ ช้ากว่านี้คนบนถนนอาจจะเยอะ”
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าพ่อผู้แสนดีของนางไม่ตอบ จึงไม่ได้ถามต่อ
เมื่อไปถึงบ้านแม่เฒ่าจาง พ่อครัวจางก็รออยู่ที่บ้านแล้ว
เขาเห็นว่าหลิวเต้าเซียงและหลิวซานกุ้ยมาก่อนเวลาเร็วนัก จึงนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาถอนหายใจ “พวกเ้าช่างมีใจเหลือเกิน ชีวิตจะยากเพียงใดก็ยังผ่านมันมาได้”
หลิวซานกุ้ยเพียงแค่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดเื่ครอบครัวของเขา
“พวกเ้ายังไม่ได้กินอาหารเช้าสินะ ข้าจะให้แม่เฒ่าทำในส่วนของพวกเ้าด้วย”
หลังจากพูดจบพ่อครัวจางก็ไม่รอให้หลิวซานกุ้ยได้ส่ายหน้า จึงจ้ำอ้าวออกจากประตูไป ได้ยินเพียงเสียงของเขาที่บอกให้แม่เฒ่าจางเตรียมอาหารอีกสองที่ เพราะหลิวเต้าเซียงกับพ่อมาถึงแล้ว
ต่อมาก็ได้ยินเขาะโมาทางเรือนหลักว่าจะไปที่บ้านนายท่านจิ่วก่อน เพราะว่าหลิวซานกุ้ยมาถึงก่อนเวลา
หลิวเต้าเซียงรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะตั้งใจหลบหลิวฉีซื่อก็คงไม่มาถึงบ้านแม่เฒ่าจางเร็วเพียงนี้
แม่เฒ่าจางเดินเข้ามาพร้อมกับจานใส่ซาลาเปา โจ๊กข้าวขาวสองถ้วยและจานกับข้าวอีกสองจาน
“เต้าเซียงมากินซาลาเปาเนื้อที่ป้าทำเร็วเข้า ตาเฒ่าของข้าน่ะกินได้ทีเดียวตั้งสิบห้าลูกแน่ะ”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็คิดในใจ มิน่าพ่อครัวจางถึงได้อ้วนท้วนสมบูรณ์ ที่แท้กระเพาะก็มีขนาดเท่าโอ่งนี่เอง
แต่แล้วนางก็เอ่ยวาจาฉะฉาน “ท่านป้า ลำบากพวกท่านแล้ว เดิมทีคิดว่ารอกินข้าวที่แผงร้านค้าก่อนแล้วค่อยมา เพียงแต่วันนี้มีตลาดนัดเล็ก คนในตำบลก็มีไม่น้อย เกรงว่าของที่ทำมาจะถูกขโมย ถึงได้รีบร้อนตรงมายังบ้านท่านป้า”
แม่เฒ่าจางได้ปลามาเมื่อวาน นางดีใจนักแล บวกกับหลิวเต้าเซียงเป็เด็กรู้เื่ จึงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ “คนกันเองอย่าได้พูดเช่นนี้ รบกวนอะไรกัน เ้ามา ป้าเองก็ดีใจนัก”
หลิวเต้าเซียงรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยรับอาหารมา จากนั้นรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับหลิวซานกุ้ย แล้วค่อยช่วยแม่เฒ่าจางล้างถ้วยชาม
เดิมทีแม่เฒ่าจางไม่ยอม แต่หลิวเต้าเซียงกล่าวว่าอาหารก็กินไปแล้ว จะเพิ่มงานให้แม่เฒ่าจางได้อย่างไรกัน
เมื่อแม่เฒ่าจางเห็นว่านางยืนกรานที่จะทําเช่นนั้น จึงปล่อยให้ทำตามใจ
รอจนนางล้างถ้วยชามสะอาดสะอ้านก็เดินออกมาจากห้องครัว แล้วเห็นว่าพ่อครัวจางได้เชิญเกาจิ่วมาแล้ว
“นายท่านจิ่ว ต้องขอรบกวนแล้ว”
หลิวเต้าเซียงโบกมือเล็กของนางไปยังเขา
เกาจิ่วได้ยินและพูดว่า “ฮ่าฮ่า ข้าเฝ้านึกถึงตลอดทั้งคืน วันนี้จึงลุกขึ้นแต่เช้า รอเ้าส่งอาหารหน้าตาสดใหม่มาให้ข้า”
ขณะที่พูด เกาจิ่วทำปากเสียงดังจั๊บๆ เมื่อย้อนนึกถึงลูกชิ้นปลาสองลูกนั้น กระเพาะก็เริ่มอดอยากจนหัวใจจั๊กจี้
ในความเป็จริง วัฒนธรรมการกินของชาวตำบลเหลียนซานนั้นออกไปทางรสจัด แต่เกาจิ่วเดิมทีเป็คนจากตระกูลในเมืองหลวง ซึ่งเน้นทานจืด บวกกับแเื่ที่เดินทางมาจากทิศเหนือและใต้มักจะกินได้หลากหลายรสชาติ ขอเพียงอาหารรสชาติดี ไม่ว่าจะจืดหรือเข้มข้นก็สามารถกินได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่กังวลว่าลูกชิ้นปลาจะไม่เป็ที่้าแต่อย่างใด
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าขอยืมครัวของท่านป้าได้หรือไม่?”
แม่เฒ่าจางออกมาจากห้องโถงและตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช้ได้ตามสบาย เพียงแต่ว่า หากเ้าทำได้อร่อย ต้องแบ่งให้ข้ากับตาเฒ่าด้วยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หลิวเต้าเซียงตอบอย่างยิ้มแย้ม
เพราะถึงอย่างไรก็เพียงแค่ชิม ไม่ได้้ากินอิ่ม นางจึงเก็บลูกชิ้นปลาครึ่งหนึ่งไว้ที่บ้าน เพื่อที่จะรับมือกับหลิวฉีซื่อได้ถูก จากนั้นก็นำอีกครึ่งหนึ่งมาที่นี่โดยมีน้ำหนักราวครึ่งกิโลกรัมเศษ แต่ก็เพียงพอให้คนเหล่านี้ได้ลิ้มรส
พูดจบดังนั้น แม่เฒ่าจางก็เป็ลูกมือของนาง หลิวเต้าเซียงจึงขอให้นางช่วยหั่นขิงและหัวหอมให้ละเอียด
ทันทีที่น้ำเดือดก็นำลูกชิ้นปลาก่อนหน้านี้หย่อนลงไป รอจนมันลอยขึ้นมาแล้วค่อยตักใส่ชามพร้อมกับน้ำแกง
“เสร็จแล้วหรือ?” แม่เฒ่าจางคิดในใจ นี่ช่างง่ายดายรวดเร็วจริง
“ท่านป้า ท่านลองชิมตอนที่ยังร้อนอยู่ เย็นแล้วจะไม่อร่อย” หลิวเต้าเซียงทำไว้สามชาม ซึ่งพอดีให้เกาจิ่ว พ่อครัวจางและแม่เฒ่าจางได้กินคนละชาม
หลิวซานกุ้ยได้ชิมไปสองลูกในวันที่ซูจื่อเยี่ยจากไป จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสอีก
เขาชะเง้อมองบุตรสาวตนเองยกเข้ามาสองชาม จึงพักความคิดนั้นไว้
แล้วนั่งปลอบโยนตนเอง ไม่เป็ไร บุตรสาวเขาทำเป็ ต่อไปก็จับปลาเฉาทุกวันเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง และขายอีกครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เขาต้องไม่ใจร้ายกับท้องไส้ของตนเอง
เกาจิ่วแทบรอไม่ไหวที่จะเอื้อมมือออกไป เขาจงใจเลือกชามที่มีจำนวนมากกว่า อื้ม ในที่สุดก็ได้กินลูกชิ้นปลารสเลิศสักที
ทั้งสองใช้เวลากินลูกชิ้นปลาค่อนข้างนาน หลิวซานกุ้ยนึกอยากทานจนต้องดื่มน้ำชาไปสองจอกใหญ่ ขณะนี้ในมือกำลังถือจอกที่สามที่หลิวเต้าเซียงรินให้
ในที่สุด นางก็รอคอยจนถึงจังหวะที่เกาจิ่วยอมวางชามลงอย่างเสียดาย น้ำแกงในชามหมดเกลี้ยง
“พ่อครัวจาง เป็เช่นไรบ้าง?”
คำพูดของเขาฟังไม่ออกว่าพอใจหรือมีความสุข
พ่อครัวจางเองก็เหลือเพียงชามเปล่าอยู่ในมือ จากนั้นรีบวางชามลงแล้วตอบ “นายท่าน ลูกชิ้นปลานี่รสชาติไม่เลว ทั้งเด้งดึ๋ง แต่กลับเคี้ยวได้ง่าย รสชาติสดใหม่ เนื่องจากน้ำแกงนั้นรสจืด เวลาที่เคี้ยวก็จะได้กลิ่นหอมหวานจากปลา”
เขามั่นใจในลูกชิ้นปลาและประเมินว่าพวกเขาสามารถขายได้ในราคาที่ดี
เกาจิ่วพยักหน้าและพูดว่า “ข้ากินแล้วก็รู้สึกไม่เลว” จากนั้นหันไปมองหลิวเต้าเซียง อย่าได้ถามว่าเพราะอะไร เขาดูออกแล้วว่าคนที่เป็หัวหน้าครอบครัวไม่ใช่ผู้เป็พ่อ หากแต่เป็แม่สาวน้อยผู้นี้ต่างหาก
“แม่สาวน้อย ลูกชิ้นปลาของเ้าดีจริงๆ ข้ามีสองวิธี ข้อหนึ่งคือครอบครัวของเ้าทําลูกชิ้นปลาเพื่อขายให้แก่ข้า และข้อสองก็คือการขายสูตรอาหารให้แก่ข้า หลังจากขายแล้วสูตรอาหารของเ้าต้องห้ามเผยแพร่ออกไปอีก”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและถามว่า “ไม่รู้ว่าหากครอบครัวข้าเป็คนทำนั้นคิดราคาเช่นไร แล้วการขายสูตรอาหารคิดเช่นไร”
“เอ๋ แม่สาวคนนี้ช่างฉลาดหลักแหลม การขายลูกชิ้นปลาย่อมไม่ได้ราคาสูงนัก ปลาเฉาสดเหล่านี้ราคาเพียงแค่เจ็ดถึงแปดอีแปะต่อครึ่งกิโลกรัม ข้าว่าลูกชิ้นปลาของเ้ามีแต่เนื้อปลา แต่ไม่สามารถอิงราคาปลาทั้งตัว ข้าคิดสิบห้าอีแปะต่อครึ่งกิโลกรัมเป็เช่นไร?”
หลิวเต้าเซียงก้มศีรษะคำนวณ นางใช้ปลาเฉาที่หนักเกือบสามกิโลกรัมแลกได้เพียงสามสิบอีแปะ คิดอย่างไรก็ไม่คุ้ม แม้จะบอกว่าครอบครัวตนเองจะได้หัวปลากับก้างปลา แต่ก็เสียเวลาพอสมควร
ดังนั้นนางจึงตอบว่า “สิบห้าอีแปะต่อครึ่งกิโลกรัม ฟังดูเหมือนมากมาย อันที่จริง พอคำนวณให้ดี ครอบครัวข้าอาจจะขาดทุน”
จากนั้นนางก็ถามว่าสูตรอาหารมีมูลค่าเท่าใด
เกาจิ่วยิ้มและตอบว่า “การขายสูตรอาหารนั้นต่างกัน หากว่าสูตรอาหารได้ขายออกไปแล้ว ครอบครัวของเ้าห้ามเอาสูตรนี้ไปขายแก่ผู้อื่น ทั่วทั้งราชวงศ์โจวก็จะมีเพียงโรงเตี๊ยมของข้าที่สามารถใช้สูตรนี้ได้”
“ครอบครัวข้าทำกินเองก็ไม่ได้หรือ?” หลิวเต้าเซียงชอบกินปลาในวิธีที่ต่างออกไปเสมอ
“แน่นอนว่าการกินที่บ้านไม่นับ แต่สูตรอาหารนี้ไม่สามารถเผยแพร่ออกนอกบ้าน หากกินในครอบครัว เ้าต้องระวังไว้ด้วย อย่าได้ให้ผู้ใดฝึกไป อีกอย่าง หากว่าถูกฝึกไป ครอบครัวเ้าต้องจ่ายค่าสูญเสียให้แก่ข้า”
เกาจิ่วอธิบายเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้นางฟัง
หลิวเต้าเซียงคิดว่าคนในครอบครัวรู้ แต่ห้วงมิติไม่มีบ่อปลาและทำได้เพียงเพาะเลี้ยงไก่ ลำพังจะพึ่งหลิวซานกุ้ยไปจับคนเดียว ก็คงเป็ไปไม่ได้แน่นอน สู้ขายสูตรอาหารไปเสียดีกว่า
“ครอบครัวข้ามีเพียงท่านพ่อที่สามารถจับปลาได้ หาก้าทำลูกชิ้นปลาส่งให้กับโรงเตี๊ยมเกรงว่าคงมิอาจทำได้ สู้ขายสูตรอาหารไปเสียดีกว่า เพียงแต่ราคา…”
เกาจิ่วมีความสุขในใจ เขาจงใจกดราคาลูกชิ้นปลาให้ต่ำ นั่นก็เพราะว่า้าให้หลิวเต้าเซียงขายสูตรอาหารให้แก่เขา ซึ่งเป็การทำตามคำสั่งของนายน้อยที่ให้ไว้อีกด้วย
อืม แล้วก็ยังมีโฉนดที่ดินในมือนั่นอีก
ช่างน่าสนใจจริง หากหลิวเหรินกุ้ยรู้ว่าบ้านของตนกำลังจะกลายเป็ของหลิวซานกุ้ย ไม่รู้ว่าจะมีท่าทีเช่นใด
หากเอ่ยจากใจจริงของเกาจิ่ว เขาเองก็อยากเห็นภาพนั้น
แต่เขาก็เข้าใจดีว่า ตนเองไม่สามารถอิงตามนิสัยส่วนตน หากว่านายน้อยรู้เื่เข้า ไม่รู้ว่าตัวเขาจะถูกเหวี่ยงไปอยู่แห่งหนใด
“ข้าดูเ้าทำลูกชิ้นปลาเกรงว่าคงต้องใช้กำลังมากโข เพียงแต่รสชาติไม่เลว แล้วยังเป็หนึ่งเดียวในราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ ราคาย่อมแตกต่างจากทั่วไป”
พ่อครัวจางกลัวว่าหลิวเต้าเซียงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ความเป็ไป และทำให้เกาจิ่วไม่พอใจ จากนั้นเื่ราวกลับตาลปัตร
เขาจึงเอ่ยชี้นำอยู่ข้างๆ “ยามปกติ สูตรอาหารหนึ่งก็มีราคาั้แ่ห้าถึงหกตำลึง ที่ดีหน่อยก็ไม่เกินสิบตำลึง แต่ที่ยากไปกว่านั้นก็อาจจะถึงยี่สิบถึงห้าสิบตำลึง”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็เริ่มมีความคิดในใจ หากขายห้าสิบตำลึงก็คงไม่เลว
ขณะที่นางคิดก็ไม่ได้สังเกตว่าเกาจิ่วกำลังรอนางเอ่ยปากอยู่ตรงนั้น
-----
