ตระกูลจั๋ววิถีเซียนอาศัยอยู่ทางตะวันตกของเมืองตงหลิง ซึ่งห่างไกลและเงียบสงบ บรรยากาศสดชื่นรื่นรมย์
เวลานี้เป็ยามเที่ยงวัน ทว่ากลับมีชายชราในชุดผ้าไหมทองกำลังนับสินค้าที่คนงานขนมา
มิทันไรก็มีหญิงสาวในชุดสีสันสดใสเดินออกมาจากจวนตระกูลจั๋ว นางดูเป็คนโอบอ้อมอารีและสูงส่งสง่างาม ใบหน้าของนางคล้ายคลึงกับจั๋วอวิ๋นเซียนอยู่หลายส่วน
หญิงสาวคนนี้มิใช่ใครอื่น นางคือพี่สาวของจั๋วอวิ๋นเซียนและเป็คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจั๋ววิถีเซียน จั๋วอวี้หวั่น
นางไม่เหมือนกับจั๋วอวิ๋นเซียน จั๋วอวี้หวั่นนับได้ว่าเป็ธิดาแห่ง์ที่มีอยู่น้อยนิด ไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม นางยังมีฝีมือล้ำเลิศกว่าคนในรุ่นเดียวกัน หลังจากจบการศึกษาจากสำนักเซียนเซวียนอวี้มา นางได้กลับมาบริหารธุรกิจแทนบิดา ระยะเวลาเพียงสองปีก็สามารถยืนได้ด้วยตัวเองจนมีชื่อเสียงโด่งดังและผู้คนต่างนับถือ
“ท่านลุงเยี่ยน ต่อไปเื่เล็กน้อยพวกนี้ให้พวกอาิจัดการเถอะ ทำไมท่านต้องลำบากทำเช่นนี้ด้วย”
“ไม่เป็ไร อาิไปทำบัญชีแล้ว ข้าอยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร ยิ่งข้าทำเช่นนี้มาหลายปีจนเคยชินไปแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลย ข้าจะรู้สึกไม่สบายใจ”
ชายชราตบแขนตัวเอง เขายังคงกระฉับกระเฉง
จั๋วอวี้หวั่นเผยรอยยิ้มอย่างจนใจ ก่อนจะช่วยชายชรานับสินค้าตรงหน้าด้วยกัน จากนั้นสั่งให้คนมาขนสินค้าออกไป
ตระกูลจั๋วแห่งตงหลิงเทียบกับตระกูลวิถีเซียนอื่นไม่ได้ พวกเขาไม่มีบรรพบุรุษคุ้มครอง ทั้งยังก่อตั้งตระกูลมาได้ไม่ถึงร้อยปีและสืบทอดต่อกันมาเพียงสี่รุ่น...ที่จริงแล้วตระกูลจั๋วเป็เพียงตระกูลระดับต่ำเท่านั้น รากฐานตระกูลเปราะบาง หลังจากบรรพบุรุษรุ่นแรกล่วงลับ ในตระกูลก็ไม่ปรากฏยอดฝีมือระดับกายาศักดิ์สิทธิ์อีกเลย ดังนั้นสถานะในหมู่ตระกูลวิถีเซียนจึงไม่เหมือนเมื่อก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ‘จั๋วฟู่ไห่’ บริหารตระกูลอย่างชาญฉลาด ตระกูลจั๋วคงสูญสิ้นไปนานแล้ว
ตระกูลจั๋วอาจจะมีชื่อเสียงในเขตชายแดน ทว่าเมื่ออยู่ในราชวงศ์ต้าถังและทวีปไท่เซวียน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีค่าพอให้พูดถึง
ชายชราผู้นี้มีนามว่าเยี่ยนชางเป่ย เขาเป็หัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลจั๋ว เล่าขานกันว่าเคยเป็ผู้บำเพ็ญเซียนระดับกำเนิดปราณมาก่อน แต่พอสูญสิ้นพลังจึงมาใช้ชีวิตสันโดษอยู่ที่นี่ เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำตระกูลจั๋ว เพราะเป็คนนิสัยดีและมีความสามารถจึงบริหารจัดการตระกูลจั๋วได้อย่างเป็ระเบียบ
สาเหตุที่ตระกูลจั๋วมีทุกวันนี้ได้ ล้วนเกี่ยวข้องกับชายชราผู้นี้
ในความทรงจำของจั๋วอวี้หวั่น ลุงเยี่ยนเฝ้ามองคนรุ่นเยาว์อย่างพวกเขาเติบโตอยู่ในตระกูลจั๋วมานานหลายปีแล้ว ทุกคนจึงเคารพลุงเยี่ยนมาก
……
“พี่หญิง”
เสียงะโดังสนั่นมาพร้อมจั๋วอวิ๋นเซียนที่ขี่ล้อเหินเวหาบินลงมาจากฟากฟ้า
เมื่อเห็นฉากนี้ชาวเมืองต่างมองด้วยสายตาริษยา
‘ล้อเหินเวหา’ มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนวงล้อ โดยประกอบไปด้วยกระบี่สามสิบหกเล่ม สามารถพาคนหนึ่งคนโบยบินบนท้องฟ้าได้ มันคือผลผลิตจากการวิจัยมานานหลายปีของนิกายเซียนโม่เหมิน ถึงแม้ความเร็วจะสู้กับเรือบินเมฆาไม่ได้และไม่ได้ว่องไวเหมือนกระบี่เหินฟ้า แต่มันปลอดภัยและสะดวกสบายกว่าพาหนะปกติมาก อีกทั้งยังรวดเร็วการเดินทางปกติ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ล้อเหินเวหาเช่นนี้ไม่ต้องใช้พลังิญญาก็เคลื่อนที่ได้ เรียกได้ว่าเป็อุปกรณ์ที่ต้องมีติดตัวเวลาออกเดินทาง
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็เพียงล้อเหินเวหาระดับต่ำด้วยกระบี่สามสิบหกเล่ม แต่มันก็ล้ำค่ามาก มีเพียงตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้นถึงจะได้ใช้มัน
……
“น้องกลับมาแล้วหรือ?”
จั๋วอวี้หวั่นเดินเข้าไปหาและขยี้ศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดู
“พี่หญิง ข้าโตขนาดนี้แล้ว อย่าขยี้หัวข้าได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเตี้ยเอา”
“ไร้สาระ! ที่วันนี้กลับมาเร็ว เพราะหนีเรียนใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่...”
จั๋วอวิ๋นเซียนโต้แย้งไม่ได้ผลจึงทำได้เพียงยิ้มแห้ง “อีกสองเดือนก็ถึงเวลาทดสอบ สถาบันปิดภาคเรียนแล้ว อาจารย์เฒ่าให้พวกเรากลับมาเตรียมตัว”
จั๋วอวี้หวั่นพยักหน้า “ใช่แล้ว น้องชายข้าใกล้จะจบการศึกษาแล้ว ไม่เลวเลยไม่เลว!”
ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะมีนิสัยคล้ายผู้ใหญ่ แต่ในสายตาของจั๋วอวี้หวั่น เขายังเป็แค่เด็กที่้าความรักความใส่ใจคนหนึ่งตลอดไป น้ำเสียงของนางจึงค่อนข้างเอ็นดูเขา!
ในเวลานี้ลุงเยี่ยนก็เดินเข้ามาตบบ่าจั๋วอวิ๋นเซียนแล้วกล่าวว่า “นายน้อย หลังจากจบการศึกษาแล้วคิดจะทำอะไรหรือ? ให้ลุงเยี่ยนสอนทำบัญชีดีหรือไม่?”
ลุงเยี่ยนรู้สถานการณ์ของจั๋วอวิ๋นเซียนอยู่แล้ว แต่เขาเฝ้าดูจั๋วอวิ๋นเซียนเติบใหญ่และรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี เด็กคนนี้ต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่
และก็เป็ดังคาดเมื่อจั่วอวิ๋นเซียนส่ายหน้าแล้วจงใจเปลี่ยนเื่ “ท่านลุงเยี่ยน ท่านยิ่งมายิ่งดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นนะ ดูท่าสุราหยดน้ำค้างที่ท่านพ่อเอามาเมื่อคราวก่อนจะมีประโยชน์ไม่น้อย”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ลุงเยี่ยนหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็พาสองพี่น้องกลับเข้าบ้าน
……
ตลอดทางเดินกลับลุงเยี่ยนไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ พี่สาวก็เป็ห่วงเป็ใยและสั่งสอนไม่จบไม่สิ้น...
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้พูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นบนถนนใหญ่ กลับกันเขาค่อนข้างอารมณ์ดีและไม่อยากให้พี่สาวต้องกังวล
ความจริงแล้วมารดาของจั๋วอวิ๋นเซียนจากไปั้แ่เขายังเด็ก ดังนั้นในใจของเขาพี่สาวก็เปรียบเสมือนกับมารดาของตัวเอง
และมีเพียงตอนนี้ที่จั๋วอวิ๋นเซียนััได้ถึงความอบอุ่นของโลกใบนี้
“ไอโยะ? วันนี้น้องดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อยเลยนะ?”
จั๋วอวี้หวั่นประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยได้เห็นน้องชายทำตัวสบายๆ นางจึงอารมณ์ดีตามไปด้วย
เนื่องจากเขาขาดพร์แต่กำเนิด จั๋วอวิ๋นเซียนได้ยินคำซุบซิบนินทามาั้แ่เด็ก แต่ไม่ว่าในตระกูลจั๋วหรือในเมืองตงหลิง ก็ไม่มีใครกล้ายกเื่นี้มาพูดต่อหน้า อย่างมากก็แอบเอาไปคุยกันเอง
แต่ถึงกระนั้นในใจของจั๋วอวิ๋นเซียนยังคงมีหนามคอยทิ่มแทง เขาจึงอ่อนไหวกับเื่บำเพ็ญตนมาั้แ่เด็ก ทำให้มีนิสัยเป็ผู้ใหญ่มากขึ้นและค่อนข้างเงียบขรึม
แต่ยิ่งเป็เช่นนี้จั๋วอวี้หวั่นก็ยิ่งห่วงใยน้องชายตัวเอง เมื่อเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนอารมณ์ดี นางจึงมีความสุขมาก
“พี่หญิง ท่านพ่อเล่า? ไม่อยู่บ้านหรือ?”
“อ้อ ท่านพ่อนำสินค้าไปส่งที่ตลาดลั่วหยาง อีกหลายวันถึงจะกลับ แต่ท่านพ่อต้องกลับมาก่อนพิธีเซ่นไหว้แน่นอน”
“สินค้าอะไรหรือ? สำคัญถึงขนาดที่ต้องให้ท่านพ่อไปส่งด้วยตัวเองเลยหรือ?”
“ไม่มีอะไรก็แค่่นี้กองโจรแม่น้ำปรภพออกอาละวาด ปล้นสะดมไปทั่วทุกหนแห่งราวกับหมาบ้า ท่านพ่อกลัวว่าจะเกิดเื่กับทุกคนจึงนำขบวนไปด้วยตนเอง แต่เ้าไม่ต้องกังวล ด้วยฝีมือของท่านพ่อ ในเมืองชายแดนแห่งนี้มีไม่กี่คนที่สู้กับเขาได้ อีกทั้ง...”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จั๋วอวี้หวั่นจงใจเว้นจังหวะก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่แน่ว่าท่านพ่อกลับมาครั้งนี้อาจจะนำข่าวดีมาให้เ้าด้วย”
“ข่าวดีหรือ?” จั๋วอวิ๋นเซียนมึนงง “ข่าวดีอะไร?”
“ถึงเวลาเ้าก็จะรู้เอง ฮิฮิ!”
จั๋วอวี้หวั่นกลั่นแกล้งเขา นางหัวเราะคิกคักอย่างเ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก
จั๋วอวิ๋นเซียนรู้ว่าพี่สาวจงใจแกล้งเขาจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ยังดีที่รู้ว่าบิดาไปส่งของ จั๋วอวิ๋นเซียนจึงไม่ได้กังวลนัก ถึงอย่างไรบิดาของเขาก็เป็ถึงยอดฝีมือระดับกำเนิดิญญา น่าจะไม่มีโจรโง่ที่ไหนกล้าปล้นสินค้าของตระกูลจั๋ว
เมื่อเห็นสองพี่น้องพูดจาหยอกล้อกัน ลุงเยี่ยนก็อารมณ์ดีไปด้วย
“นายน้อย คืนนี้เป็งานเลี้ยงตระกูล อย่าลืมมาก่อนเวลาด้วย”
ลุงเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันหลังจากไป
จั๋วอวี้หวั่นลูบศีรษะของเขาแล้วจึงจากไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
……
จวนตระกูลจั๋วแบ่งออกเป็สองชั้นคือจวนชั้นในและจวนชั้นนอก มีสามห้องสี่โถงและเรือนเล็กใหญ่อีกสิบกว่าหลัง
ในสายตาของคนธรรมดา ตระกูลจั๋ววิถีเซียนนับได้ว่าเป็ตระกูลใหญ่ในเมือง แต่เมื่อเทียบกับตระกูลวิถีเซียนที่มีรากฐานเก่าแก่อื่นๆ แล้ว ตระกูลจั๋วนับว่ามีคนเพียงหยิบมือ
นอกจากครอบครัวฝั่งบิดาของจั๋วอวิ๋นเซียน ยังมีญาติพี่น้องที่เป็ลุงและอาอีกสองครอบครัวที่นับว่าเป็ตระกูลสายหลักของตระกูลจั๋ว เพียงแต่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันนัก ความสัมพันธ์ค่อนข้างห่างเหิน สำหรับคนจากตระกูลสายรอง พวกเขาย้ายออกจากเมืองตงหลิงตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษเพื่อไปลงหลักปักฐานที่อื่น มีเพียงตอนพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษถึงจะกลับมายังตระกูลหลัก
นี่ก็คือแผนสำรองที่บรรพบุรุษตระกูลจั๋วทิ้งไว้ให้ ต่อให้ตระกูลสายหลักล่มสลาย สายเืตระกูลจั๋วก็ยังคงสืบทอดต่อไป
ความจริงแล้ว มีตระกูลวิถีเซียนมากมายที่ใช้วิธีการเดียวกัน
มองผิวเผินอาจดูไร้เยื่อใย แต่นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงและความโหดร้ายในเส้นทางการบำเพ็ญเซียน
