ในมือของอู๋เจียงยังคงถือมีดเตรียมพร้อมที่จะรบจนกว่าจะสิ้นชีพ
เขาย่ำเท้าอย่างกระฉับกระเฉง อย่างน้อยเขาก็คิดว่าน่าจะเป็เช่นนั้น
แน่นอนว่าความจริงคงจะไม่เป็เช่นนั้น เพราะมีดที่ถืออยู่มีน้ำหนัก หลังจึงค่อมลงเล็กน้อย
ทั้งเขายังได้รับาเ็มาไม่เบา ทว่าท่านหมอหูก็ช่วยเขาทำแผลมาแล้ว
โชคดีที่บัดนี้ท่านหมอหูยังพาศิษย์มาด้วยอีกสองคน แม้หนึ่งในนั้นจะเป็สตรี แต่นางก็ช่วยงานได้มาก มิฉะนั้น่นี้ยามที่ต้องรักษาคนที่ได้รับาเ็มา ท่านหมอหูคงจะวุ่นจนหัวหมุน
บัดนี้อู๋เจียงสามารถยืนได้แล้ว ซึ่งนับว่าดีมากแล้ว ทั้งที่ความจริงควรจะนอนพักอีกสักระยะหนึ่ง
ทั้งหน้าที่ไปออกรบเดิมทีก็เป็หน้าที่ของเขา
ทั้งที่พวกเขาเหล่าพี่น้องที่ร่วมรับผิดชอบหน้าที่นี้ต่างก็ตายไปกันไม่น้อยแล้ว
ยามนี้เขาก็เรียกว่าตายแล้ว เพียงแต่ตายช้ากว่าเหล่าพี่น้องสักหน่อย ทว่าสุดท้ายก็คงต้องตายอยู่ดี
เขายังคงเดินต่อด้วยความผ่าเผย
ในใจบังเกิดความมุ่งมั่นที่จะตาย
ในที่สุดเขาก็เห็นกลุ่มคนเมื่อคืน
ทว่าพวกเขากลับดูแตกต่างจากเมื่อคืนยิ่งนัก
ทุกคนล้วนแต่สวมเสื้อผ้าสีเหลืองและสีเขียว หากมองจากระยะไกลก็แทบจะมองไม่เห็นพวกเขา รอจนเดินไปใกล้จึงจะเพิ่งมองเห็นว่าเป็กลุ่มคน
มองจากไกลๆ คนเหล่านี้ก็ราวกับจะรวมเป็หนึ่งกับพื้นทุ่งหญ้า
เมื่อเห็นว่าเขาปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ไม่มีท่าทีใแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าคงมีคนแจ้งไว้แล้ว
อู๋เจียงมองไปยังจุดศูนย์กลางของฝูงชน ก็เห็นว่ามีเด็กหญิงยืนอยู่
ในใจพลันรู้สึกว่าเหลวไหลนัก
เขาจึงเร่งร้อนเดินไปข้างหน้า แล้วจึงตำหนิออกมาอย่างอดไม่ได้ “พวกท่านอย่าเหลวไหลมากนัก รีบส่งแม่หนูนี่กลับไปบนเขาเสีย กองทัพจิงเสียสติไปแล้ว พวกเขาเจาะจงฆ่าเด็กเป็พิเศษ ไม่ว่าเด็กหญิงหรือเด็กชาย เด็กตัวแค่นี้หากพวกมันเห็นเข้าจะต้องถูกฆ่าเป็แน่”
เฉินโย่วสวมชุดกระโปรงนวมสีเหลืองเขียวแบบเดียวกันกับที่เหล่าน้าๆ ในโรงทอผ้าสวม ตรงกลางมีเป้าเพื่อความสะดวกในการวิ่งหนี บนศีรษะก็สวมหมวกสีเขียวเหลืองเช่นกัน กระทั่งม้าที่นางขี่ก็ยังถูกทาสีเหลืองและสีเขียวทั่วกาย
หมวกที่นางสวมนั้นบดบังผมจุกของนางมิด บนใบหน้าก็ยังแต้มสีเอาไว้
อู๋เจียงเพียงแค่ได้เห็นนาง ก็คิดถึงหลานสาวของตนขึ้นมา
เขาเองยังไม่มีบุตร เดิมทีเขาก็ใกล้จะได้แต่งงานอยู่แล้ว ทว่าเขากลับถูกส่งมาประจำการอยู่ชายแดน บิดามารดาฝ่ายเ้าสาวจึงได้ขอยกเลิกงานแต่งเสีย กล่าวว่าไม่อยากให้บุตรสาวของตนนั้นเป็ม่าย
เขาก็เป็ชายชาตรีคนหนึ่ง จึงได้ตัดสินใจไล่ครอบครัวฝ่ายหญิงกลับไป ไม่ยินยอมยกเลิกงานแต่ง ถึงอย่างไรหากจะต้องยกเลิก ก็ให้เขาเป็คนไปยกเลิกเองจะดีกว่า เช่นนี้ย่อมดีต่อชื่อเสียงของฝ่ายหญิงมากกว่า
วันต่อมาเขาก็ไปยกเลิกงานแต่งจริงๆ โดยกล่าวว่าตนนั้นได้หมายปองสตรีด้านนอกไว้แล้ว
สุดท้ายจึงได้ถูกบ้านฝ่ายหญิงไล่ตะเพิดออกมา
ท่านพ่อและท่านแม่จากไปั้แ่เขายังเล็ก เื่การแต่งงานครั้งนี้ล้วนได้พี่สาวของเขาเป็คนจัดการเฟ้นหาสตรีที่ดูไม่เลวมานางหนึ่ง พี่สาวเคยพบกับสตรีนางนี้มาก่อน นางกล่าวว่าแม่นางคนนี้ทั้งรู้หนังสือและรู้หลักการ รูปโฉมก็งดงามนัก แม้จะตัวเตี้ยไปสักหน่อย แต่ก็น่าจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เขานั้นรูปร่างสูง ต่อไปหากมีบุตร บุตรย่อมไม่น่าจะตัวเตี้ยนัก
เขายังจำท่าทียามพี่สาวกล่าวถึงสตรีนางนั้นได้ ใบหน้าอ่อนโยนดุจดวงตะวันในวสันตฤดู
ทั้งเขายังจำท่าทียามที่พี่สาวรู้ว่าเขาขอยกเลิกการแต่งงานได้ พี่สาวร้องไห้โฮโวยวาย เอาแต่กล่าวขอโทษท่านพ่อท่านแม่
บุตรสาวของพี่ก็หน้าตาน่ารักน่าชังนัก เหมือนกับยามที่พี่สาวของเขายังเป็เด็กไม่มีผิด
“เ้ากลับไปเสีย รีบกลับไปบนูเาให้เร็วที่สุด าไม่ใช่เื่เล่นๆ” อู๋เจียงมองใบหน้าราวกับบุปผาของเด็กหญิง คำที่สบถด่าไปเมื่อครู่ก็ไม่เหลือแล้ว ั์ตามีหยาดน้ำตาซ่อนอยู่
เฉินโย่วส่ายหน้าเบาๆ
“ข้ากลับไปไม่ได้ ท่านอาจารย์กัวบอกว่า หากข้ายังอยู่ ทุกคนก็จะยังอยู่เช่นกัน”
อู๋เจียงอยากจะก่นด่าให้ลั่น ท่านอาจารย์บ้าอันใดกันจึงได้พูดจาเหลวไหลให้เด็กฟังเช่นนี้
“เ้าคนใดคือท่านอาจารย์กัวกัน ออกมาเดี๋ยวนี้ พูดจาเหลวไหลอันใด อย่าให้ข้าเจอตัว ข้าจะทุบเสียให้ตายคามือ”
“แค่กๆ” ราชครูลุกออกมาพร้อมสีหน้าประหลาด
เขาเองก็สวมชุดตัวยาวสีเขียวเหลืองอยู่ จึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก
เขาเป็ถึงราชครู จะให้ใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ได้อย่างไร
ทว่าอาลู่ เ้าเด็กเวรนั่นกล่าวว่าทุกคนต้องสวมแบบเดียวกัน
ลู่เกอดูแลหน่วยลาดตระเวนทั้งูเา ทางโรงทอผ้านั้นได้รับใบคำสั่งให้ทอออกมาเป็ผ้าสี ผลลัพธ์จึงได้ผ้าเป็ลายแบบนี้มา
ผ้าเนื้อดีเป็สีเหลืองบ้าง สีเขียวบ้าง ดูแล้วน่าเกลียดเหลือทน
ทว่าชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ล้วนแต่เคยยากลำบากมาก่อน แน่นอนว่ายอมตัดใจทิ้งเสื้อผ้าเหล่านี้โดยที่ยังไม่ใช้ไม่ลง
ลู่เกอจึงให้แม่นางหลัวช่วยนำผ้าเหล่านี้มาตัดเป็เครื่องแบบสำหรับหน่วยลาดตระเวน ถึงอย่างไรชาวหน่วยลาดตระเวนก็มีหน้าที่คอยสืบข่าว ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ กันเป็ปกติอยู่แล้ว ดังนั้นเสื้อผ้าน่าเกลียดสำหรับพวกเขาจึงไม่มีปัญหาอันใด
ทว่าผลลัพธ์ของมันกลับเหนือความคาดหมาย ผ้าหน้าตาเช่นนี้กลับมีประโยชน์นัก โดยเฉพาะยามที่อยู่บนทุ่งหญ้า แม้แต่ในยามกลางวันก็ยังทำให้พวกเขาดูราวกับพรางเป็เนื้อเดียวกันกับทุ่งหญ้า
ต่อมาทุกคนจึงมีชุดแบบเดียวกันคนละชุด กระทั่งเฉินโย่วก็ยังมีหนึ่งชุด
ราชครูเองก็มีกับเขาด้วยเช่นกัน
ราชครูไม่อยากสวมชุดนี้ เขารู้สึกว่ามันอัปลักษณ์ยิ่ง ทว่าทุกคนล้วนแต่เป็สีเขียวสีเหลืองกันทั้งหมด หากว่าเขายังรั้นจะใส่สีขาวสีดำอยู่คนเดียว ก็เท่ากับว่าทำตนเองให้เป็เป้าชัดๆ คนตระกูลจ้งแม้จะเก่งกาจ แต่ก็มิใช่ว่าคมมีดคมดาบจะแทงไม่เข้า
ดังนั้นต่อให้เขาต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพียงใด แต่เมื่อหันไปเห็นองค์หญิงใหญ่ก็สวมชุดเขียวๆ เหลืองๆ ไม่ต่างกับตน ในใจก็พลันปลอดโปร่งขึ้นมา
ยามนี้เมื่อถูกอู๋เจียงเรียก เมื่อเดินออกมาจึงรู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย
ด้วยเพราะอู๋เจียงนั้นน่าจะรู้จักเขาเป็แน่
ก็เขาเป็ราชครูนี่ ยามที่เหล่าทหารต้องเดินทัพออกศึก เขาในฐานะราชครูก็ต้องออกไปส่งตามปกติ
อีกทั้งยามที่เขาถูกส่งตัวมายังทุ่งหญ้าป่าเถื่อนแห่งนี้ ราชครูยังเคยได้ยินเื่การถอนหมั้นของเขา ตอนนั้นยังลอบรู้สึกเวทนาอู๋เจียงไม่น้อย ตอนนี้จึงลอบมองชายหนุ่มตรงหน้าให้ชัดเสียหน่อย
อู๋เจียงเมื่อเห็นชายชราที่ลุกขึ้นเดินมาหาตนก็พลันนิ่งอึ้ง
แม้ว่าชายตรงหน้าเขาจะถูกห่อด้วยผ้าสีเขียวเหลืองไปทั้งตัว ทว่าใบหน้านี้ต่อให้เขาตายไปก็ยังคงจำได้ไม่ลืม
เขายังจำทุกคนในวันก่อนที่จะเคลื่อนทัพได้
เพราะนั่นน่าจะเป็วันสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ในเมืองหลวง
ราชครูที่ยืนอยู่บนแท่นอย่างสง่างามดุจเทพเซียน ร่างนั้นสวมชุดยาวลากพื้นสีขาว ใบหน้าประดับด้วยเครายาวสีขาวเช่นกัน บนใบหน้านั้นทุกส่วนล้วนแต่แผ่ความเมตตาออกมา
“ราช......”
“ข้าคืออาจารย์กัว เ้าสงสัยอันใดรึ”
อู๋เจียงมองราชครูก็เห็นว่าด้านหลังเขายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ล้วนแต่สวมชุดสีเขียวเหลือง ในมือล้วนแต่ถือมีดเอาไว้ บนศีรษะก็สวมหมวกสีเหลืองเขียวเช่นเดียวกับชุด แม้กระทั่งบนใบหน้าก็ยังทาสีเขียวและสีเหลืองเอาไว้
ชายหนุ่มจึงได้แต่อ้าปากถามขึ้น “ข้า ข้าขอถามว่าชุดและหมวกเช่นนี้สามารถยกให้ข้าสักชุดได้หรือไม่” ราชครูพยักหน้าตอบ
อู๋เจียงรีบเปลี่ยนชุดที่เพิ่งได้มาพร้อมสวมหมวกให้เรียบร้อย จากนั้นจึงไปรวมตัวกันกับฝูงชน
เมื่อเข้ามารวมกับฝูงชนก็มองเห็นเด็กหนุ่มที่ช่วยไว้เมื่อวันก่อน ลูกเหล็กบนร่างบัดนี้ก็ทาสีเขียวเหลืองเช่นกัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่ามีดในมือตนนั้นก็ควรทาสีเหลืองเขียวด้วยหรือไม่
หลังจากที่ทะเลาะกับความคิดของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าการเอาตัวรอดย่อมดีกว่าหน้าตาดี จากนั้นจึงเอามือจุ่มลงในสีเ่าั้แล้วทาลงบนใบหน้าของตน มีดในมือก็ทาสีเขียวเหลืองนี้ด้วยเช่นกัน
จากนั้นจึงเดินเข้าไปรวมตัวกับคนอื่นๆ เพียงพริบตาเขาก็รู้สึกว่าตนเองได้เป็ส่วนหนึ่งของทุกคนแล้ว
เขายื่นมือไปกระทุ้งคนข้างๆ เบาๆ แล้วถามขึ้น “พวกเ้าคิดวิธีการเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างยอดเยี่ยมนัก ไม่ต้องพูดถึงเหล่าทหารว่าจะคิดได้ กระทั่งครอบครัวข้าก็คงจะคิดไม่ได้”
ต่อมาจึงได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบของสตรีตอบขึ้น “หากยังมาโดนตัวข้าอีก ข้าจะตัดมือเ้าทิ้งเสีย”
อู๋เจียงพลันใจหล่นวูบ
ข้างกายเขาแท้จริงแล้วคือสตรีหรอกหรือนี่
เมื่อครู่ตอนที่ราชครูเรียกให้เขาเข้ามาในกลุ่ม เขาจึงเข้ามา
เมื่อมองตอนนี้ไม่เพียงแค่ข้างกายเขาที่เป็สตรี ทั้งด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า ด้านหลังล้วนแต่เป็สตรี
เพียงแต่ทุกคนล้วนแต่สวมชุดสีเขียวเหลืองที่กระทั่งหมวกก็ยังเป็สีเดียวกัน จึงทำให้เขานั้นดูไม่ออก
ชายหนุ่มพลันหน้าแดง “ขออภัยแม่นาง ข้าเดินมาผิดทางแล้ว”
เมื่อกล่าวจบแล้วก็จะปลีกตัวออกมาทันที
แต่กลับได้ยินแม่นางข้างกายกล่าวขึ้นอย่างเ็า “ท่านไม่ได้เดินมาผิดหรอก ทหารเช่นพวกท่านนี่ช่างไม่เอาไหนเสียจริง ยังมิสู้สตรีเช่นพวกเราด้วยซ้ำไป ท่านยังาเ็ สามารถมาเดินกับพวกเราได้ก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว จะไปสร้างภาระให้กองกำลังหลักทำไมกันเล่า”
อู๋เจียงเมื่อถูกเอ็ดเข้า ก็ไม่ได้ตอบโต้สักประโยคเดียว
เขาไม่เคยนึกเคยฝันว่าวันหนึ่งตนจะมาร่วมทัพกับสตรีได้
หรือแคว้นเชินกำลังจะล่มสลายแล้ว
มีเพียงเหล่าสตรีที่ยังยืนอยู่บนสนามรบ แคว้นเชินที่แสนเกรียงไกรกลับไม่แม้แต่จะส่งคนมาสักคน
“อย่ามัวแต่ใจลอย พวกเรากำลังจะเคลื่อนทัพแล้ว รีบเดินเสีย หากท่านจะมาเป็ภาระให้พวกข้าก็รีบกลับไปเสียั้แ่ตอนนี้”
แม่นางคนเดิมยังคงกล่าวอย่างเ็า
อู๋เจียงค่อยเดินตามเหล่าสตรีไป ในใจพลันรู้สึกสิ้นหวัง อดจะหันกลับไปมองไม่ได้
บางทีราชโองการจากฝ่าาอาจจะแค่มาถึงช้าสักหน่อย ฝ่าาย่อมไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขา
เพียงแต่เื้ัของนั้นไม่มีกองทัพจากฝ่าา
ไม่มีกองทหารจากราชสำนัก
มีเพียงธงที่้าวาดรูปกะโหลกเอาไว้ ใต้กะโหลกนั้นมีเด็กหญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานสาวของเขากำลังแหงนหน้ายิ้มให้เขาอยู่
อู๋เจียงมองเด็กสาวอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าเดินต่อ
