หลังจากซย่านีกับเซี่ยงเหมยคุยกันเกี่ยวกับเื่ไปทำการค้าที่เมืองใกล้เคียง เธอกล่าวขึ้นว่า “พี่กับพี่เฝิงหย่งควรไปเริ่มขายที่มหาวิทยาลัยฝั่งทางโน้นก่อนนะคะ เห็นว่าที่เมืองเทียนจินมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ไม่น้อยเลย พวกนักศึกษาน่ะค่อนข้างซื้อง่ายขายคล่องพวกเขาต่อราคาไม่ค่อยเป็กัน ดังนั้นตอนที่พวกพี่ไปขายของก็น่าจะง่ายมาก”
เซี่ยงเหมยกลืนอาหารลงคอแล้วจึงพูดกับซย่านี “เธอวางใจที่จะฝากธุรกิจไว้กับฉันและเฝิงหย่งจริงๆ หรือ?”
ซย่านีคีบซี่โครงหมูขึ้นมาพลางยิ้มกล่าว “มีเื่อะไรให้ต้องกังวลกันเล่า”
เซี่ยงเหมยตอบ “แต่ฉันไม่วางใจเลย ทำไมเธอไม่ไปกับพวกเราด้วยล่ะ” ในใจเธอพลันตื่นตระหนกมากเพราะเธอไม่คุ้นเคยกับสถานที่ทางโน้น
ซย่านีเคี้ยวซี่โครงหมูเสร็จก็คายกระดูกออกมาแล้วจึงพูดว่า “ฉันยังต้องอยู่เก็บข้าวของที่บ้านใหม่อีกค่ะ ฉันว่าพรุ่งนี้พี่ก็เอาสินค้าไปเยอะหน่อยดีกว่าแล้วก็ลองวนไปมหาวิทยาลัยหลายๆ ที่ดูนะคะ ถ้าคุ้นเคยเส้นทางแล้วก็ค่อยแบ่งกันเป็สองสายทำเช่นนี้จะได้ขายของหมดเร็วขึ้นหน่อย พรุ่งนี้ไปขายที่เมืองเทียนจิน ส่วนวันต่อไปก็ค่อยไปขายที่เมืองถัดไป”
เซี่ยงเหมยถามซย่านี “จะขายที่เมืองเทียนจินแค่วันเดียวเองหรือ? เพราะในเมืองเล็กมีมหาวิทยาลัยไม่เยอะเท่าเมืองใหญ่ใช่ไหม?”
ซย่านีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเซี่ยงเหมย “เมืองเทียนจินมีสถานศึกษาตั้งอยู่หลายแห่ง หากจะขายเพิ่มอีกวันก็ได้ค่ะ แต่พวกเมืองเล็กๆ นั้น มีสถานศึกษาอยู่ไม่มากนักแต่ก็ยังคงมีสักแห่งสองแห่งอยู่บ้าง ถ้าเช่นนี้พวกเราไปขายแค่วันเดียวก็น่าจะพอแล้ว” หากมิใช่เพราะเธอไม่สะดวกพาลูกไปด้วย เธอก็คงยินดีเดินทางไปเมืองใกล้เคียงแทนแล้ว
ซย่านีกล่าวต่อ “พวกพี่ไปขายของ ส่วนฉันก็จะทำยางรัดผมอยู่บ้านเอง”
เซี่ยงเหมยพูดขึ้น “เธอไม่มีจักรเย็บผ้านี่นา เดี๋ยวฉันทิ้งกุญแจบ้านไว้ให้เธอก็แล้วกันนะ”
ซย่านีปฏิเสธ “บ้านของพวกพี่อยู่ใกล้กับบ้านตระกูลซ่งเกินไป ฉันไม่อยากไปฝั่งโน้นอีกแล้วค่ะ ฉันวางแผนไว้ว่าจะซื้อจักรเย็บผ้าสักอัน” ในยุคสมัยนี้จักรเย็บผ้าแทบจะเป็สิ่งของที่ต้องมีประจำบ้านและสหายหญิงฝีมือดีหลายๆ คนก็สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำขึ้นเองกันทั้งนั้น
ครั้งนี้เซี่ยงเหมยไม่ได้พูดว่าซย่านี้ใช้เงินไม่รอบคอบอีกแล้ว เธอค่อนข้างสนับสนุนเื่นี้จึงกล่าวแนะ “ที่บ้านฉันยังมีตั๋วเครื่องมืออยู่อีกไม่น้อยเลย รวมๆ กันแล้วน่าจะพอให้เธอซื้อจักรเย็บผ้าได้อยู่นะ” เฝิงหย่งเป็พนักงานในโรงงานเครื่องจักร ปกติเขาก็มักจะชอบผลิตเครื่องไม้เครื่องมือใน่วันหยุด บ้านของเธอเลยไม่มีเครื่องจักรให้ซื้อมากนักดังนั้นจึงประหยัดไปได้มากเลยทีเดียว
ซย่านีตอบรับ “ได้ค่ะ แต่ฉันเองก็ไม่คิดจะเอาเปรียบพี่หรอกนะคะ ฉันจะแลกตั๋วเครื่องมือกับพี่ตามราคาตลาด...พี่เซี่ยงเหมยพี่ก็อย่าปฏิเสธเลยนะ พวกเราเป็สหายช่วยเหลือกันก็จริงแต่อย่างไรก็ต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจนด้วย”
เซี่ยงเหมยพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ “ได้ งั้นก็ว่าตามเธอก็แล้วกัน”
หลังจากกินข้าวไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ซย่านีก็เหมือนนึกอะไรได้ขึ้นมา “ฉันยังขาดรถจักรยานอีกนี่นา ไม่สิต้องเป็รถสามล้อต่างหาก โอ้ย ไม่ๆ ฉัน้าทั้งสองอย่างนั่นแหละทางที่ดีควรซื้อทั้งสองอย่างไปเลย”
รถจักรยานสามารถใช้เดินทางในชีวิตประจำวันได้ ส่วนรถสามล้อก็เอาไว้ขนสินค้า
เซี่ยงเหมยไม่เข้าใจซย่านีเลย “เธอจะซื้อรถสามล้อทำไมอีก? ที่บ้านฉันก็มีแล้วนี่?” ก่อนหน้านี้เพราะไม่สะดวกจะยืมรถสามล้อจากเพื่อนบ้านเท่าใดนัก ดังนั้นเฝิงหย่งจึงเอารถสามล้อมือสองกลับบ้านมา
ซย่านีมีแผนการของตนเอง เธอไม่ได้วางแผนจะทำแค่ธุรกิจยางรัดผมเท่านั้น หลังจากที่เธอถ่ายโอนธุรกิจทั้งหมดให้เซี่ยงเหมยแล้ว เธอก็จะหาธุรกิจอื่นทำดังนั้นเธอจึงต้องซื้อรถสามล้อเป็ของตนเอง
แต่ตอนนี้ธุรกิจยางรัดผมของพวกเธอกำลังอยู่ใน่สำคัญมาก หากเธอพูดเื่นี้ออกไปก็มีแต่จะกวนใจเซี่ยงเหมยเปล่าๆ ซย่านีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก “ครอบครัวฉันมีเด็กหลายคนนี่นา หากมีรถสามล้อก็สามารถพาเด็กๆ สามคนนี้ไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่า”
เซี่ยงเหมยยิ้ม “อืม ฉันเข้าใจแล้ว หากเธอไม่รังเกียจล่ะก็ฉันให้เฝิงหย่งช่วยประกอบรถให้เธอได้นะ”
ซย่านีดวงตาเป็ประกาย “ไม่รังเกียจเลยค่ะ! พี่เฝิงหย่งเขาประกอบรถจักรยานกับรถสามล้อเป็ด้วยหรือนี่?”
เซี่ยงเหมยมีสีหน้าภูมิใจเล็กน้อย “เขาเป็ช่างฝีมือประจำโรงงานเครื่องจักรเชียวนะฝีมือเก่งกาจเอาเื่เลยล่ะ มีอะไรที่เขาทำไม่ได้บ้างเล่า? อันที่จริงแล้ว รถสามล้อที่บ้านฉันก็ได้เขานี่แหละที่ประกอบให้ เป็อย่างไรขี่ดีไหม?”
ซย่านีกล่าวชมไม่หยุด “ขี่ดีมากค่ะๆ ดีกว่าคันที่ฉันเคยยืมมาก่อนหน้านี้เยอะมากเลย พี่เฝิงหย่งนี่สุดยอดจริงๆ!”
ทุกคนพอใจกับการกินอาหารมื้อนี้เป็อย่างยิ่ง สุดท้ายตอนคิดบัญชีจานที่แพงที่สุดก็คือซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงซึ่งตกราคาจานละ 1.3 หยวน ส่วนหมูผัดถั่วงอกราคา 0.60 หยวน และมันเส้นผัดเสฉวนนั้นราคาถูกที่สุดเพียงจานละ 0.50 หยวน พอบวกกับค่าข้าวอีก 0.30 หยวนมื้อนี้รวมทั้งหมดก็เป็เงิน 2.70 หยวน
เซี่ยงเหมยเอาแต่บ่นไม่หยุด “ต่อไปไม่มากินข้าวที่นี่อีกแล้วนะ ราคาแพงเกินไปแล้ว”
ทว่าซย่านีกลับรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ค่อนข้างถูกเลยทีเดียว อาหารพวกนี้ทั้งให้ปริมาณเยอะและรสชาติดี ตอนปีที่เธอสิ้นใจในชาติที่แล้วแค่ร้านอาหารเล็กๆ ราคาถูกๆ หากไม่มีเงินถึงร้อยแปดสิบหยวนล่ะก็คงไม่มีปัญญาซื้อกินแน่ๆ
หลังจากทานอาหารเสร็จซิงซิงน้อยก็เริ่มง่วงแล้ว ซย่านีจึงพาทุกคนกลับบ้านกันก่อน เธอเอาเสื้อนวมบุผ้าฝ้ายออกมาแล้วห่อตัวซิงซิงน้อยเอาไว้ ทารกน้อยคนนี้เป็เด็กที่นอนหลับลึกมากแม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายตัวเขาก็ไม่ยอมตื่น
ซย่านีกล่าวขึ้น “เดี๋ยวแม่จะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าหน่อย ลูกๆ ช่วยแม่ดูแลน้องนะจ้ะ แล้วอย่าออกไปข้างนอกเล่าเข้าใจไหม?”
เมื่อได้ยินซย่านีกำชับว่าอย่าออกนอกบ้าน ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ก็ร้องจะออกไปข้างนอกทันที
ซย่านีกล่าวกับลูก “เมื่อกี้แม่พาลูกๆ ไปกินอาหารอร่อยๆ มาแล้ว ทีนี้ก็เลยจะไม่เชื่อฟังแม่แล้วใช่ไหม? รออยู่บ้านอย่างเชื่อฟังเดี๋ยวเดียวแม่ก็กลับมาแล้ว”
เด็กทั้งสองไม่ค่อยมีความสุขนัก
ซย่านีจึงกล่าวต่อ “หยางหยาง ลูกทำการบ้านยังไม่เสร็จเลยนะ รีบไปทำการบ้านเลย ส่วนเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ก็ด้วย การบ้านของแม่วางอยู่บนกองหนังสือบนโต๊ะลูกช่วยตรวจการบ้านให้แม่ทีนะ แล้วดูว่าแม่คำนวณถูกต้องหรือเปล่า สัปดาห์หน้าก็ถึงตาลูกสอนเลขแม่แล้วใช่ไหม?”
ซ่งวั่งซูกระตือรืนร้นกับเื่ ‘ฝึกฝนแม่ของตนให้ได้เป็นักศึกษามหาวิทยาลัย’ เป็อย่างยิ่ง เมื่อเธอได้ยินซย่านีพูดเช่นนี้เด็กสาวก็หยุดสร้างปัญหาแล้วเดินออกจากห้องไปเพื่อตามหาการบ้านของซย่านีทันที
ซ่งวั่งซูหยุดก่อกวนแล้ว ซ่งตงซวี่ก็รู้ว่าหากเขายังก่อกวนซย่านีต่อไปก็คงไม่ได้ผลอยู่ดี เขาจึงยืนก้มหน้าเงียบๆ พลางเตะเท้ากับพื้นไปมา
การกระทำนี้เป็หนึ่งในพฤติกรรมของเด็กซนนั่นเอง
ซย่านีไม่ตามใจเขาอย่างแน่นอน ก่อนเธอจะจากไปยังหันไปขู่ซ่งตงซวี่อีกว่า “แม่กลับมาแล้วจะตรวจการบ้านของลูกนะ ลูกก็ตั้งใจทำการบ้านให้ดีล่ะ!”
หลังจากออกจากบ้านเสร็จเซี่ยงเหมยก็ไม่วางใจเลย “ให้ฉันอยู่บ้านดูแลซิงซิง ส่วนเธอก็พาพวกเด็กๆ ไปห้างสรรพสินค้าด้วยกันดีไหม?” หลังจากพูดจบยังไม่ทันรอให้ซย่านีได้เอ่ยตอบเซี่ยงเหมยก็ยิ้มกับตัวเองขึ้นมา “เฮ้อ ช่างเถอะ ของที่เธอจะซื้อทั้งเยอะและก็หนักมากพวกเด็กๆ ยกไม่ไหวกันหรอก มาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”
ซย่านียิ้มตามเซี่ยงเหมย “เช่นนั้นฉันก็ต้องรบกวนพี่แล้ว ลำบากพี่สะใภ้เสียแล้ว”
เซี่ยงเหมยพูดติดตลก “ดูท่าฉันคงไม่ได้กินอาหารกลางวันเปล่าๆ เสียแล้ว!”
ซย่านีพูดอย่างวางมาด “ก็คงจะอย่างนั้น มื้อนั้นราคา 2.70 หยวนเชียวนะ”
จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็หันหน้ามาสบตากันแล้วหัวเราะร่า
บ้านที่ซย่านีเช่านั้นอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้ามากนัก เธอขี่รถสามล้อพาเซี่ยงเหมยไปห้างระหว่างทางลมก็พัดเป็ใจพอดี ทำให้ซย่านีขี่รถได้เร็วยิ่งขึ้น เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมายแล้ว
ซย่านีจงใจหาจุดจอดรถที่อยู่ใกล้กับประตูห้างสรรพสินค้าเป็พิเศษ หลังจากล็อครถไว้ดีแล้วเธอก็เดินเข้าห้างสรรพสินค้าไปพร้อมกับเซี่ยงเหมยทันที
