บุรุษทั้งสองเป็ศิษย์สายตรงของเ้าสำนักพิรุณพายุรุ่นปัจจุบัน มีความสำเร็จและชื่อเสียงไม่ต่ำทราม เป็ผู้ฝึกตนที่สามารถบรรลุขั้นรวมกายระดับสมบูรณ์ั้แ่อายุยี่สิบ หากเอ่ยถึงพร์ในด้านการฝึกตน คนทั้งสองนี้แทบไม่ต่างจากไท้หยู (คนเก่า) เลย คาดว่าหากอยู่ใน่เวลาเดียวกันคงเป็คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวคู่หนึ่ง
แต่กระนั้นผู้เยาว์จะอย่างไรก็ยังเป็ผู้เยาว์จะไปต้านผู้มีประสบการณ์โชกโชนอย่างไท้หยูได้อย่างไร อีกอย่างไท้หยูในตอนนี้คือไท้หยูสองภพสองสมอง แม้พลังฝึกตนไม่เท่าแต่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพรายมากกว่ามากนัก
บุรุษทั้งสองถูกข่มขวัญจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พวกเขาััถึงพลังมหาศาลที่กดทับลงมาหนักแน่นจนหายใจไม่ออก กดทับจนเงยศีรษะไม่ขึ้นได้แต่ก้มมองรองเท้าของตนเอง
บุรุษชุดเขียวพลันกล่าวทั้งก้มหน้าเสียงสั่นเครือเบาๆ ว่า
“ข้าจะกลับไปกล่าวกับอาจารย์ ทุกคำ ....” ความหมายนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ข้าจะกลับไปฟ้องอาจารย์ให้มาเอาเื่กับท่าน เฮอะ จากนั้นทั้งสองพลันหันหลังกลับสาวเท้าอย่างเร่งรีบออกจากหน้าประตูเสาทางเข้าสำนักพันปี มาดั่งราชสีห์กลับอย่างสุนัข....
ชายชุดนักพรตพลันพ่นลมหายใจขุ่นออกมา แม้จะรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้ล้างอัปยศ แต่ในใจกลับเพิ่มความหนักอึ้งและเคร่งเครียดขึ้นมา
“ท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ ไยไม่ใช่ทำให้เ้าสำนักพิรุณพายุโกรธแค้น หากว่าเขายกทัพสำนักมาเทือกเขาหยก พวกเราจะรอดพ้นเภทภัยนี้หรือ”
เขาทอดหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย รู้สึกว่าครั้งนี้ท่านประมุขทำเกินไปอยู่บ้าง ไม่คล้ายท่านประมุขที่เดิมสุขุมและเงียบขรึมไม่กล่าววาจา แต่ในใจลึก ๆ แล้วสะใจอยู่ไม่น้อยเพราะเขาถูกอีกฝ่ายรังแกเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว พอนึกถึงตรงนี้แม้จะกล่าวตำหนิประมุขแต่ก็อดอมยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
ไท้หยูทอดหายใจเบา ๆ อันที่จริงที่กล่าวไปเมื่อครู่ล้วนเป็เพราะความกระหยิ่มยิ้มย่องที่ได้จากการใช้วิชาขวัญวาจา เขาคิดเปิดฉากตนเองในการแสดงละครฉากหนึ่งให้อลังการแต่ก็ลืมคิดไปว่าหลังจากกล่าววาจาไปแล้วอาจก่อาระหว่างสำนักขึ้นมาได้ ตอนนี้เขากำลังสำนึกเสียใจ
ระดับพลังของเขาในตอนนี้เทียบเ้าสำนักพิรุณพายุไม่ได้ แม้แต่ลูกศิษย์ทั้งสองเขายังอ่อนแอกว่า ด้านกำลังรบของสำนักพันปียิ่งไม่ต้องพูดถึง บัดนี้สำนักพันปีเหลือลูกศิษย์ขนาดใช้นิ้วมือนับได้ เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น .....
“ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกทัพมาหาเื่ ข้าจะต้องหาสาเหตุที่สำนักตกต่ำและตนเองอ่อนแอลงให้ได้ หากไม่เช่นนั้นสำนักพันปีคงได้ล่มสลายจริง ๆ แน่”
ไท้หยูครุ่นคิดอยู่ในใจ จากนั้นหันไปกล่าวกับชายชุดนักพรตว่า
“ไม่ต้องสนใจ เ้านำศิษย์ทั้งหมดไปฝึกวิชาตามเดิม ปัญหาอื่น ๆ ข้าจะแก้ไขเอง” กล่าวจบก็เดินกลับไปยังโถงร้อยปี แสงแดดสาดส่องเริ่มคล้อยไปทางตะวันตก ทำให้เงาหลังของเขายืดยาวดูยิ่งใหญ่ประหนึ่งบรรพตลูกหนึ่ง
ชายชุดนักพรตนั้นตะลึงงันอยู่กับที่ปากพึมพำคำพูดของไท้หยูไม่หยุด
“ไม่คล้ายท่านประมุขที่ข้ารู้จักเลยสักนิด ... เขาในตอนนี้ราวกับเป็แม่ทัพใหญ่จักรพรรดิผู้หนึ่ง” ชายชุดนักพรตลงความเห็นกับสิ่งที่ไท้หยูแสดงออกอย่างหวั่นเกรง
เมื่อกลับถึงโถงร้อยปีนั่งลงบนบัลลังก์ไท้หยูพลันหัวเราะออกมาเสียงดังรู้สึกสมใจอย่างยิ่ง ฉากการแสดงเมื่อครู่เขารู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
“ฮา ฮา ย้ายมาอยู่ในร่างนี้ก็ไม่เลว สามารถกล่าววาจาไร้สาระได้อย่างเต็มที่” เขาหยุดครุ่นคิดครู่หนึ่งพลันกล่าวต่อว่า
” อืม ข้าต้องรีบคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทัพมา หวังว่าสำนักพิรุณพายุจะไม่ไปจับมือกับสำนักเมฆั หาไม่แล้วแม้ข้าแก้ปัญหาแล้วได้พลังฝึกตนกลับมาก็ไม่แน่จะต่อกรกับทั้งสองสำนักได้”
สำนักของเขาตอนนี้ เทียบไม่ได้กับหนึ่งในสิบในอดีต..... ลูกศิษย์เหลือไม่กี่สิบชีวิต ผู้าุโในสำนักเหลือแค่ผู้าุโเฝ้าประตูเพียงคนเดียว ขุมอำนาจที่ในอดีตมีมากกว่าพันคนเหลือเพียงเท่านี้ช่างน่าสะท้อนใจยิ่งนัก
อันที่จริงหากปล่อยให้สำนักล่มสลายไปสำหรับตัวเขาก็หารู้สึกอันใดไม่ เพียงแต่ว่าในเมื่อมีร่างใหม่แล้วก็ยังคงเคารพรากฐานที่อีกฝ่ายสร้างไว้ อีกอย่างสิ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งควรค่าให้รักษาเอาไว้ สำหรับเขาที่เป็บัณฑิตเก่าคิดเช่นนี้
เื่นี้มีลับลมคมในอยู่มากมายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับสำนักพันปีล้วนไม่ปกติ หนี้ที่มากมาย ลูกศิษย์ที่ออกจากสำนักพร้อมกัน ผู้าุโที่คอยปกป้องคุ้มกันสำนักหายไป พลังิญญาที่ถดถอย เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจให้มันเกิดขึ้น
“ศิษย์พี่ของข้าก็หายไปเช่นกัน หากจะมองในมุมที่สามารถเกิดขึ้น เื่ทั้งหมดนี้ศิษย์พี่ทั้งหลายเ่าั้ยังอยู่ในตัวเลือกผู้ต้องสงสัย ในความทรงจำ พวกเขาไม่ยินยอมที่ข้าได้รับสืบทอดตำแหน่งประมุข คอยขัดขามาตลอด อืม พวกเขาจึงเป็ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง พลังิญญาในเทือกเขาหยกถดถอยอย่างมากคงมีอะไรเกิดขึ้นที่เส้นปฐีอยู่ห้องลับใต้ดินต้องไปดูสักหน่อย”
เขาพึมพำพลางนวดหัวคิ้วไปด้วย ในใจมีความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามา ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดเื่ชีวิตเก่าของตนเองว่าตายได้อย่างไรก็ต้องมาครุ่นคิดเื่ที่กำลังจะเสี่ยงตายอีกรอบ ไท้หยูลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถงร้อยปี ออกสำรวจทั่วสำนักพันปีอีกรอบ
สำนักพันปีตั้งอยู่ในเทือกเขาหยก ยอดเขาไม่สูงมาก สิ่งปลูกสร้างนับว่ามีความอลังการอยู่ไม่น้อย หากเป็ในโลกเก่าของเขา ทั้งหมดเหล่านี้จะเป็ตึกและหน่วยงานของราชสำนัก ในโลกเก่าของเขามีเพียงฮ่องเต้และราชสำนักเท่านั้นที่จักมีสิ่งปลูกสร้างเช่นนี้
หากเป็คนธรรมดาสร้างสิ่งอลังการและมีกำลังแข็งแกร่งเช่นนี้ ฮ่องเต้ย่อมมองว่าเป็ฏที่จะกระทบอำนาจของราชัน
เส้นปฐีเป็สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติผ่านการหล่อหลอมด้วยกาลเวลาอย่างยาวนาน สะสมพลังิญญาบริสุทธิ์ไว้มากมายจากนั้นจึงกลายเป็เส้นปฐี และมักกลายเป็ที่ตั้งของสำนักหรืออาณาจักรใหญ่ต่าง ๆ
เส้นปฐีของเทือกเขาหยกเป็ระดับของสำนักยังไม่สามารถเทียบกับเส้นปฐีระดับอาณาจักรได้ แต่ทว่าก็ถือว่ามีความยิ่งใหญ่ในระดับหนึ่ง ในบรรดาสามสำนักแห่งอาณาจักรชางไห่นับเทือกเขาหยกเป็เส้นปฐีที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็รองก็เพียงเส้นปฐีของอาณาจักรและพระราชวังของฮ่องเต้ สองอย่างหลังนั้นไม่สมควรไปเทียบ พลังอำนาจต่างกันหลายขุม
อาจเพราะเหตุนี้ทางอาณาจักรจึงไม่ได้สนใจว่าเหล่าสำนักจะบ่มเพาะกองกำลังที่แข็งแกร่งทั้งยังแบ่งหน้าที่ในอาณาจักรในพวกเขาดูแลรับผิดชอบ เพราะไม่ว่าอย่างไรกองกำลังที่บ่มเพาะขึ้นมาได้ไม่มีทางเทียบฮ่องเต้...
“เื่นี้แม้ว่าไม่สามารถเทียบได้ แต่หากทั้งสามฝ่ายจับมือกันยังสามารถก่อกวนให้ฮ่องเต้ต้องปวดศีรษะ หรือว่าฮ่องเต้ในโลกนี้ยิ่งใหญ่ขนาดสามารถใช้มือเดียวปิดทั้งแผ่นฟ้า จึงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา? ช่างเป็ศาสตร์การปกครองที่ประหลาดยิ่งนัก วันใดที่จัดการกับกิจในสำนักพันปีเรียบร้อยแล้วคงต้องออกไปท่องโลกดูสักครา ความทรงจำส่วนใหญ่ยังไม่กลับคืนมาแต่ข้ารู้สึกได้ว่าโลกใบนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง” ขณะพึมพำไปเดินไปชั่วน้ำเดือดเขาก็มาถึงส่วนตะวันออกของเทือกเขาหยก
ส่วนตะวันออกของเทือกเขาหยก สำนักพันปีเป็ศาลบรรพชนก่อรูปปั้นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งรุ่นแรกเอาไว้ ด้านหลังศาลรูปปั้นของปรมาจารย์เป็ที่หลับใหลของบรรดาผู้าุโและประมุขแต่ละรุ่นของสำนักพันปี ศาลบรรพชนมิได้ใหญ่โตมากมาย ควันธูปลอยเป็เส้นสีขาว กลิ่นธูปปนกับกลิ่นดอกไม้และอากาศที่อับชื้น
เมื่อเดินเข้าศาลบรรพชนรูปปั้นสูงสองจั้งอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าสร้างแท่นบูชาสี่เหลี่ยมวางตำราและกระถางธูป บนแท่นสลักอักษรมากมาย ไท้หยูลองอ่านดูเป็ประวัติของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งคร่าว ๆ ส่วนใหญ่เป็การแต่งเติมให้ดูยิ่งใหญ่จากลูกศิษย์เขาจึงไม่สนใจ เดินผ่านรูปปั้นไปด้านหลัง ในศาลบรรพชนมีรูปปั้นเท่าคนอีกรูปหนึ่ง
ยื่นมือแตะไปที่ด้านหลังรูปปั้นเสียง แกรก ดังขึ้นคราหนึ่งสลักกลไกดีดออก ที่พื้นด้านหลังรูปปั้นพลันมีช่องขีดสีดำสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้น ไท้หยูยื่นมือดึงแผ่นสี่เหลี่ยมขึ้นกลับเป็ประตูบานหนึ่งด้านในความมืดเป็บันไดทอดยาวเฉียง ๆ ลงไป เนื่องจากไม่ได้เปิดมานานจึงมีฝุ่นคลีมากมายพวยพุ่ง กลับให้ความรู้สึกลี้ลับชวนขนหัวลุกแวบหนึ่ง
“สถานที่ลับและสำคัญเช่นนี้กลับใช้นิ้วเดียวก็สามารถเปิดได้ ผู้ที่สร้างห้องลับเชื่อมต่อกับเส้นปฐีในอดีตใช่ตัวโง่งมหรือไม่” สำหรับไท้หยูเขาทราบแล้วว่าเส้นปฐีนี้แทบจะเป็หัวใจหลักของสำนัก หากเส้นปฐีเสียหายเทือกเขาหยกจะไร้พลังิญญาส่งเสริม ทุกอย่างจะพังทลาย
เพราะทุกสิ่งในสำนักล้วนอาศัยพลังิญญาของเส้นปฐี พยุหะป้องกันโจมตีทั้งห้าล้วนทำงานได้เพราะพลังจากเส้นปฐี ศาลบรรพชนไม่มีสิ่งใดป้องกันใช้นิ้วเดียวก็เปิดได้ หากศิษย์หรือเหล่าผู้าุโลักลอบเข้ามา วางะเิทำลายเส้นปฐี สำนักพันปีไยมิใช่ล่มสลายได้ในทันที?
เขารอจนฝุ่นคลีเริ่มจางหายจึงค่อยก้าวเดินเข้าไปในห้องลับ ขณะยกเท้าก้าวกลับเตะโดนก้อนหินตกลงไปในห้องลับ ทันใดนั้นเสียงครืนพลันดังจากภายใน สายตาของไท้หยูมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบังเกิดเส้นแสงสีเงินสว่างวาบแล้วจางหาย จากนั้นเสียงปังพลันดังก้อนหินที่เขาเตะลงไปถูกเส้นแสงสีเงินนั้นทำลายกลายเป็ฝุ่นผง
ไท้หยูอ้าปากค้างเล็กน้อย “ดูเหมือนจะไม่เรียบง่ายดั่งที่เห็น”
หลังจากเห็นเส้นแสงสีเงินไท้หยูจึงทดลองเดินหาสิ่งของแล้วโยนลงไป ไม้ หิน ธูป ผงธูป เหล็ก ทุกอย่างที่ผ่านลงไปล้วนถูกเส้นสีเงินนั้นทำลาย แม้แต่ผงธูปก็ไม่เว้น ไท้หยูขอถอนคำพูดที่ด่าบรรพชนเมื่อครู่
เขารู้สึกหนังศีรษะชาด้านอยู่บ้าง แม้ว่าตนจะอยู่ในตำแหน่งประมุขของสำนัก แต่ห้องลับเส้นปฐีนี้ไท้หยูคนเก่าหรืออาจารย์ที่ลาลับไปก็ยังไม่เคยเข้าไป เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับห้องลับนี้
หลังจากเตรียมใจอยู่เนิ่นนานเขาจึงทดลองก้าวเท้าลงไป
“จะอย่างไรข้าก็เป็ถึงประมุขสำนัก มีตราประทับเป็ผู้เทือกเขานี้ พยุหะด้านในคงไม่พยศทำร้ายประมุขสำนัก” เขาปลอบใจตนเองเช่นนี้ ซึ่งอันที่จริงเขาไม่ได้กลัวแต่เป็การระวังป้องกัน จะอย่างไรเขาก็ตายมาแล้วรอบหนึ่ง ไท้หยูร่างนี้ก็ตายไปแล้วรอบหนึ่ง มิอาจประมาทให้ตายได้อีก เพราะเขายังอยากมีชีวิตอยู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้