ตอนที่ 3 บททดสอบกลางทะเลทราย
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเหนือสนามบินสุวรรณภูมิดูโล่งโปร่ง แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่น ราวกับจะอวยพรให้กับการเดินทางครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณอัญชลี เธอสวมชุดที่ทะมัดทะแมงพร้อมสำหรับการผจญภัย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีอ่อน กางเกงผ้าเนื้อหนาสำหรับเดินป่า และรองเท้าบูทที่ทนทาน กระเป๋าเดินทางของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าแฟชั่นหรือของใช้ฟุ่มเฟือย แต่เป็อุปกรณ์เดินป่าที่คัดสรรมาอย่างดี หนังสือโบราณบางเล่มที่เธอต้องศึกษาเพิ่มเติม และแผนที่เก่าแก่ของพ่อที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุด อัญชลีบอกลา ดร. สมิทธ์ ที่มาส่งด้วยแววตาเป็ห่วงปนคาดหวัง
"ระมัดระวังตัวด้วยนะคุณอัญชลี ถ้ามีอะไรผิดปกติ หรือพบเจอกับเื่ที่อันตรายเกินไป ให้รีบติดต่อผมทันที อย่าฝืนตัวเองนะ" ดร. สมิทธ์กำชับเสียงเครือ ใบหน้าของเขาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
อัญชลียิ้มให้เล็กน้อย ส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความหวัง "ไม่ต้องห่วงค่ะ ดร. สมิทธ์ ดิฉันจะกลับมาพร้อมกับพ่อแน่นอน พร้อมกับคำตอบของทุกปริศนา"
เธอก้าวเข้าสู่ประตูผู้โดยสารขาออกอย่างเด็ดเดี่ยว ความตื่นเต้นและความคาดหวังกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจราวกับกระแสน้ำเชี่ยว อัญชลีรู้ดีว่าหลังจากนี้ชีวิตของเธอจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เธอจะก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ โลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ เวทมนตร์ และตำนานที่เธอเคยคิดว่ามีอยู่แค่ในหนังสือ เธอเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้ง ราวกับกำลังส่งสัญญาณถึงดวงดาว ผู้เป็แสงนำทางของเธอและเป็ส่วนหนึ่งของโชคชะตาที่กำลังจะเปิดเผย
เที่ยวบินแรกเป็ไฟล์ทที่ยาวนานเกือบสิบชั่วโมงสู่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อัญชลีนั่งริมหน้าต่าง มองดูแผ่นดินที่เล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็ผืนผ้าสีเขียวสลับน้ำตาล และในที่สุดก็กลายเป็มหาสมุทรสีครามกว้างใหญ่ ความรู้สึกหนักอึ้งในอกค่อยๆ คลี่คลายลง แทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งขึ้น เธอพยายามทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ที่พ่อระบุไว้ในแผนที่ และคำทำนายโบราณที่ ดร. สมิทธ์เคยเล่าให้ฟัง แม้บนเครื่องบินจะเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ แต่เธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างประหลาด ราวกับเป็ผู้เดียวที่กำลังมุ่งหน้าสู่ภารกิจอันลึกลับที่ไม่เหมือนใคร
เมื่อเครื่องบินแลนดิ้งที่ดูไบ อัญชลีต้องต่อเครื่องไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งเป็จุดหมายปลายทางที่ใกล้ที่สุดกับพื้นที่ที่พ่อระบุไว้ การเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินดูไบนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วโลก ความวุ่นวายและแสงไฟนีออนสว่างจ้าทำให้เธอรู้สึกราวกับหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ตัดขาดจากความเงียบสงบของทะเลทรายที่เธอกำลังจะไป แต่เธอก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคแรกอย่างไม่คาดคิด เที่ยวบินต่อไปถูกประกาศเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ทำให้เธอต้องค้างคืนอยู่ที่สนามบิน การรอคอยที่ยาวนานท่ามกลางผู้คนที่เริ่มหงุดหงิดทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดตามไปด้วย แต่คุณอัญชลีพยายามใช้เวลาว่างนั้นตรวจสอบอุปกรณ์และอ่านบันทึกของพ่ออีกครั้ง เธอรู้ว่าทุกวินาทีมีค่า
ในที่สุด หลังจากรอคอยข้ามคืน เที่ยวบินก็ออกเดินทางได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น เครื่องบินลำเล็กกว่าเดิมมาก บรรทุกผู้โดยสารไม่กี่สิบชีวิตทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า อัญชลีมองลงไปเบื้องล่าง เห็นผืนทะเลทรายสีทองทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สลับกับูเาหินสีแดงเข้มที่ตั้งตระหง่านราวกับป้อมปราการธรรมชาติ เธอนึกถึงคำทำนายที่กล่าวถึง ดินแดนที่ซ่อนเร้นภายใต้ผืนทรายและภูผา หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น
เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองห่างไกล อัญชลีก็ััได้ถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อากาศร้อนจัดจนแสบผิว กลิ่นดินและเครื่องเทศปะปนกันอยู่ในอากาศ และความเงียบสงัดที่เข้าแทนที่เสียงอึกทึกครึกโครมของเมืองใหญ่ ตึกรามบ้านช่องที่นี่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดินเหนียวและหินทราย ผนังสีน้ำตาลอ่อนกลมกลืนไปกับสีของทะเลทราย ผู้คนสวมชุดพื้นเมืองสีขาวและดำ มองเธอด้วยสายตาที่ทั้งอยากรู้อยากเห็นและหวาดระแวง เธอรู้สึกราวกับเป็ตัวประหลาดที่หลงเข้ามาในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย
หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ไม่ยุ่งยากนัก อัญชลีก็เรียกแท็กซี่เพื่อไปยังโรงแรมที่เธอจองไว้ล่วงหน้า เป็โรงแรมขนาดเล็กที่ดูค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม แต่สะอาดพอใช้ได้ เธอเข้าพักในห้องพักที่เรียบง่าย มีเพียงเตียง โต๊ะ และพัดลมติดเพดานที่หมุนเอื่อยๆ สร้างเสียงครืดคราดน่ารำคาญ แต่อัญชลีไม่มีเวลาใส่ใจกับความไม่สะดวกสบาย เธอรู้ดีว่าเธอต้องรีบหาทางไปยังพื้นที่เป้าหมายให้เร็วที่สุด
สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือหาคนขับรถที่จะพาเธอไปยังเขตทะเลทรายที่ห่างไกลออกไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งเป็บริเวณกว้างๆ ที่แผนที่ของพ่อระบุว่าเป็ที่ตั้งของ อัล-ซาฟีร่า เธอเริ่มต้นด้วยการสอบถามจากพนักงานโรงแรม แต่กลับได้รับคำตอบที่น่าผิดหวัง
"คุณอัญชลีครับ ไม่มีใครอยากไปทางนั้นหรอกครับ มันอันตรายมาก ไม่มีถนน มีแต่ทะเลทรายล้วนๆ" พนักงานต้อนรับหนุ่มร่างผอมตอบด้วยภาษาอังกฤษที่กระท่อนกระแท่น พร้อมกับส่ายหน้าอย่างเป็กังวล
อัญชลีไม่ย่อท้อ เธอพยายามสอบถามจากคนขับแท็กซี่ที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม แต่ทุกคนต่างปฏิเสธด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน บางคนส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด บางคนถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อเธอเอ่ยชื่อพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับที่ตั้งของอัล-ซาฟีร่า ซึ่งเป็ชื่อที่ปรากฏในตำราโบราณว่า ที่ราบแห่งดวงดาวที่สาบสูญ
"ที่นั่นมีแต่ปีศาจทราย ไม่มีใครกลับมาได้หรอกคุณผู้หญิง" คนขับแท็กซี่หนุ่มใหญ่เตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับเล่านิทานสยองขวัญ
คำปฏิเสธและคำเตือนเ่าั้ยิ่งทำให้อัญชลีรู้สึกถึงความลึกลับและอันตรายของดินแดนที่เธอกำลังจะไป แต่ในขณะเดียวกันก็ยิ่งจุดประกายความมุ่งมั่นในใจให้ลุกโชนขึ้น เธอยิ่งมั่นใจว่าพ่อของเธอต้องอยู่ที่นั่น และเธอจะต้องไปให้ถึงให้ได้
เธอตัดสินใจออกไปเดินสำรวจตลาดท้องถิ่นที่คึกคักไปด้วยผู้คนและกลิ่นอายของวัฒนธรรมอาหรับที่แท้จริง เธอเดินผ่านแผงขายเครื่องเทศ กาแฟ และเสื้อผ้าพื้นเมือง พยายามมองหาใครสักคนที่ดูเป็นักผจญภัย หรือคนท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญเส้นทางในทะเลทราย เธอพยายามสอบถามจากพ่อค้าเร่ร่อนและชาวบ้านหลายคน แต่คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิม คือไม่มีใครอยากไปทางนั้น แม้เธอจะเสนอเงินจำนวนมากที่มากเกินกว่าค่าจ้างปกติหลายเท่าตัว
ความสิ้นหวังเริ่มคืบคลานเข้ามา อัญชลีนั่งลงบนม้านั่งไม้เก่าๆ ใต้ร่มเงาของต้นอินทผลัมต้นใหญ่ ถอดผ้าคลุมศีรษะออกเพื่อรับลมเย็นๆ ที่พัดมาเล็กน้อย พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ นี่เป็อุปสรรคที่หนักหน่วงกว่าที่เธอคิดไว้มากนัก
ในขณะที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น เธอก็บังเอิญได้ยินเสียงชายแก่สองคนกำลังสนทนากันด้วยภาษาอาหรับท้องถิ่นที่เธอพอจะจับใจความได้ ชายคนหนึ่งพูดถึง อาบู ฟาห์รี ชายชราผู้โดดเดี่ยวที่อาศัยอยู่ริมขอบเมือง เขามักจะรับงานที่ไม่มีใครอยากทำ และมีความรู้เื่เส้นทางในทะเลทรายเป็อย่างดี แต่ก็ร่ำลือกันว่าเขาเป็คนแปลกประหลาดและอารมณ์ร้าย
อัญชลีรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เธอรีบถามทางไปยังบ้านของอาบู ฟาห์รีจากพ่อค้าคนหนึ่ง ซึ่งมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจก่อนจะยอมบอกทางอย่างไม่เต็มใจนัก
บ้านของอาบู ฟาห์รีตั้งอยู่ริมขอบเมือง ตามที่ชายแก่คนนั้นบอกไว้ มันเป็กระท่อมดินเหนียวเก่าๆ ที่ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างมานานหลายปี รั้วไม้ผุพัง สนามหญ้ารกร้าง อัญชลีเดินเข้าไปใกล้ประตูไม้เก่าๆ และเคาะเบาๆ ไม่มีเสียงตอบรับ เธอเคาะอีกครั้งแรงขึ้น
"มีใครอยู่ไหมคะ!" เธอะโเรียกด้วยภาษาอาหรับที่เธอพอจะพูดได้
ประตูไม้เปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของชายชราคนหนึ่ง ร่างกายผอมเกร็ง ิัเหี่ยวย่นคล้ำแดด ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาและประสบการณ์ ดวงตาของเขาคมกริบแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้า เขาจ้องมองอัญชลีด้วยแววตาที่ไม่เป็มิตร
"เ้ามาทำอะไรที่นี่ สตรีแปลกหน้า?" เสียงของเขาแหบพร่าและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
อัญชลีสูดลมหายใจลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้า "ท่านคืออาบู ฟาห์รีใช่ไหมคะ ดิฉัน้าความช่วยเหลือค่ะ"
ชายชราถอนหายใจอย่างหงุดหงิด "ข้าไม่มีอะไรจะให้เ้าหรอก กลับไปซะ" เขากำลังจะปิดประตู แต่คุณอัญชลีรีบยกมือขึ้นขวาง
"ดิฉันรู้ว่าท่านคือคนเดียวที่จะช่วยดิฉันได้ ดิฉัน้าคนขับรถนำทางไปยังที่ราบแห่งดวงดาวที่สาบสูญ" อัญชลีเอ่ยชื่อสถานที่ที่พ่อของเธอระบุไว้ ด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อได้ยินชื่อนั้น อาบู ฟาห์รีก็ชะงัก ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ความไม่พอใจเปลี่ยนเป็ความหวาดระแวงระคนประหลาดใจ
"เ้า... เ้าเป็ใครกันแน่? และรู้เื่นั้นได้อย่างไร?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แสดงความสนใจออกมาอย่างชัดเจน
อัญชลีตัดสินใจเล่าเื่ราวของเธอโดยย่อ เล่าถึงพ่อที่หายตัวไป เล่าถึงแผนที่ และตำราโบราณที่เธอค้นคว้า เธอยังไม่ได้พูดถึงเื่คำทำนายหรือความสามารถพิเศษของเธอ เพราะไม่แน่ใจว่าจะถูกมองว่าบ้าหรือไม่ เธอพยายามแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความจริงใจของเธอ เธอเสนอเงินจำนวนมากให้เขา โดยหวังว่ามันจะพอที่จะทำให้อาบู ฟาห์รีเปลี่ยนใจ
อาบู ฟาห์รีรับฟังเื่ราวของเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของอัญชลี ราวกับจะอ่านความคิดของเธอ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันที่น่าอึดอัดใจ อัญชลีรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ เธอกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ แต่แล้วชายชราก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ข้าเคยไปที่นั่น... เมื่อหลายสิบปีก่อน" เขาพึมพำกับตัวเอง "ที่นั่นไม่ใช่ที่สำหรับคนทั่วไป... มันเต็มไปด้วยอันตรายที่มองไม่เห็น"
"ดิฉันรู้ค่ะ แต่ดิฉันต้องไปให้ได้ ท่านคือความหวังเดียวของดิฉัน" อัญชลีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พยายามแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวอย่างที่สุด
อาบู ฟาห์รีมองเธออีกครั้ง และในแววตาที่คมกริบนั้น อัญชลีก็เห็นประกายบางอย่างที่คล้ายกับความเข้าใจ หรืออาจจะเป็ความทรงจำเก่าๆ ที่ผุดขึ้นมา เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ
"ตกลง... ข้าจะพาเ้าไป" เสียงของเขาแหบพร่า แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง "แต่มีข้อแม้... เ้าต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง และเตรียมใจไว้ให้ดี... การเดินทางครั้งนี้ อาจเป็การเดินทางครั้งสุดท้ายของเ้า"
อัญชลีรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ หลุดออกจากอก เธอรู้สึกโล่งใจอย่างไม่เคยเป็มาก่อน "ขอบคุณค่ะอาบู ฟาห์รี ดิฉันจะทำตามทุกอย่างที่ท่านบอก"
อาบู ฟาห์รีเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง "เราจะออกเดินทางก่อนรุ่งสางพรุ่งนี้ ไปเตรียมตัวให้พร้อม และจำไว้... จงระวังทุกย่างก้าวในทะเลทรายแห่งความลับนั้น"
อัญชลีพยักหน้าอย่างหนักแน่น เธอหันหลังเดินกลับไปยังโรงแรมด้วยหัวใจที่พองโต แม้จะยังคงมีความกังวลและอันตรายรออยู่ข้างหน้า แต่ตอนนี้เธอมีคนนำทางแล้ว เธอได้ก้าวผ่านบททดสอบแรกของการเดินทาง และกำลังจะก้าวเข้าสู่ใจกลางของปริศนาที่รอคอยเธออยู่ ณ ที่ราบแห่งดวงดาวที่สาบสูญ เธอรู้ว่าหลังจากนี้ ชีวิตของเธอจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป.
////****////
