หากเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ความคิดของเสี่ยวหวัง เธอคงทั้งรู้สึกซาบซึ้งและขบขันเป็แน่
เสี่ยวหวังเป็ห่วงว่าเธอจะ ‘เสียความโปรดปราน’ แสดงว่าสหายเสี่ยวหวังเป็ห่วงเธอใช่หรือไม่
อีกอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่เคยมีความคิดที่จะ ‘แย่งความโปรดปราน’ จากใคร เธอรู้สถานะของตัวเองดี สำหรับทังหงเอินอย่างมากเธอก็เป็ได้แค่รุ่นน้องที่ควรดูแลเอาใจใส่เท่านั้น
ทังหงเอินทำดีกับจี้เจียงหยวนก็นับว่าเป็เื่เหมาะสมแล้ว!
ไม่รู้ว่าทังหงเอินคุยอะไรกับจี้เจียงหยวนบ้าง แต่เขายังคงตัดสินใจขึ้นเครื่องบิน่บ่ายกลับไปที่หยางเฉิง จากนั้นค่อยเดินทางต่อไปที่เผิงเฉิง เผิงเฉิงในปี 1984 ทั่วทุกพื้นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เป็เหตุให้ยังไม่มีสนามบินเป็ของตัวเอง โชคดีที่ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์จากหยางเฉิงมาที่เผิงเฉิงเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ทังหงเอินสุขภาพยังไม่ค่อยแข็งแรงจึงเลือกนั่งเครื่องบินกลับ วันนี้เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล คงนั่งรถไฟติดต่อกันหลายสิบชั่วโมงไม่ไหวแน่นอน
และเขาก็ไม่ได้ให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปส่งที่สนามบินด้วย ทันทีที่ขึ้นรถเสร็จก็บอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานรีบกลับไปเสีย
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าเขาเป็ห่วงทางด้านจี้เจียงหยวน
เมื่อเดินไปดูที่ลานจอดจักรยาน จี้เจียงหยวนยังคงยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น เขากำลังรอเธออยู่จริงๆ ด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเช่นกัน เธอไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จี้เจียงหยวนเงยหน้าขึ้นก่อนจะส่งยิ้มให้เธอ “เธอรู้มานานแล้วสินะ”
“ที่จริงก็ไม่นานหรอก ฉันรู้เมื่อคืนวันนั้น”
คืนนั้นหากทังหงเอินไม่บังเอิญเจอกับจี้เจียงหยวนที่สนามกีฬาจนตื่นเต้นมากเกินไป เขาคงไม่บอกเซี่ยเสี่ยวหลาน อย่างน้อยๆ คงไม่บอกเร็วขนาดนี้!
จี้เจียงหยวนพยักหน้า “ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบคุณที่เธอไม่ได้โกหกฉัน”
แม้จะไม่ได้บอกความจริง แต่ก็ไม่ได้โกหกเขา จู่ๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ให้กุ้งแห้งกับเขามากมาย ที่แท้ไม่ใช่เพราะเขาหล่อหรือน่ารัก แต่เพราะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทังหงเอินเธอจึงมอบให้
วันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานจะยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมให้เขาตามมาก็ย่อมได้ เพราะต่อให้เขาตามมา ทางนี้ก็คงทำเื่ออกจากโรงพยาบาลไปเรียบร้อยแล้ว
จี้เจียงหยวนไม่อยากถูกปิดหูปิดตา แม้อีกฝ่ายจะทำไปเพราะความหวังดีก็ตาม แต่พฤติกรรมเช่นนี้นับว่าเป็การไม่ให้เกียรติกันมากที่สุด
“ไปเถอะ เดินไปคุยไป... เธอกับคุณอาทังก็เจอกันแล้ว ต่อจากนี้เธอตั้งใจจะทำอย่างไร ฉันคงไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่ง”
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดเื่จริง จี้เจียงหยวนยังคิดอยู่เลยว่าต่อไปจะวางตัวอย่างไร โชคดีที่ทังหงเอินบอกว่าจะกลับเผิงเฉิง่บ่าย ไม่อย่างนั้นเขาคงทำตัวไม่ถูก
จะพูดอย่างไรดี แม้เขากับจี้หย่าผู้เป็แม่จะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แต่ไม่กี่ปีมานี้ก็เป็จี้หย่าที่คอยเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ มอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้เขา ส่งเขาเข้าเรียนโรงเรียนดีๆ หลังจากที่ได้ฟังทังหงเอินกล่าว หลายปีมานี้เขาก็พยายามทำหน้าที่พ่ออย่างเต็มที่ แต่ทางตระกูลจี้เอาแต่กีดกัน ทว่าถึงจะเป็เช่นนั้น จี้เจียงหยวนก็ไม่สามารถกลับไปกล่าวโทษคนในตระกูลจี้ได้อยู่ดี
ทังหงเอินบอกว่าจะกลับแล้ว จี้เจียงหยวนรู้สึกโล่งอก
มันเท่ากับเขายังไม่ต้องเผชิญหน้ากับเื่นี้ชั่วคราวไม่ใช่หรือ
จี้เจียงหยวนอายุยังไม่ยี่สิบปีบริบูรณ์ แม้ปกติเขาจะดูเป็ผู้ใหญ่แค่ไหน แต่เจอเื่แบบนี้ย่อมเสียศูนย์ไปบ้างเป็ธรรมดา
จะบอกว่าเขาไม่อยากใกล้ชิดกับพ่อ?
แน่นอนว่าเขาเคยคิดเช่นนั้น
แต่ใน่เวลาที่โหยหามากที่สุด ทังหงเอินกลับไม่ปรากฏตัว แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็โผล่มา จี้เจียงหยวนรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ได้ อีกทั้งเขายังต้องคิดถึงความรู้สึกของผู้เป็แม่ รวมถึงคนทั้งตระกูลจี้ วันนี้วันเดียวจี้เจียงหยวนต้องเจอกับปัญหามากมายเหลือเกิน
ระหว่างเดินทางกลับพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันนัก จนกระทั่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย เซี่ยเสี่ยวหลานถึงบอกขอบคุณจี้เจียงหยวน
“ขอบคุณนะ ที่ช่วยบอกปัญหาที่ฉันเจอกับคุณอาทัง”
จี้เจียงหยวนยักไหล่ “เธอก็รู้ มันคือมิตรภาพของเพื่อนนักศึกษา!”
‘มิตรภาพของเพื่อนนักศึกษา’ มุกนี้ทำให้พวกเขาทั้งสองหลุดขำ อารมณ์ด้านลบของจี้เจียงหยวนหายไปกว่าครึ่ง
ไม่ไกลนัก หนิงเสวี่ยกำลังเดินอยู่กับเพื่อนร่วมหอ จู่ๆ ฝีเท้าของเธอก็หยุดชะงักลง
“อาเสวี่ย มีอะไรหรือ”
หนิงเสวี่ยกระชับหนังสือในอ้อมกอดแน่น “เปล่า พวกเราไปกันเถอะ”
เธอไม่ควรเสียสมาธิกับคนพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็จี้เจียงหยวนหรือเซี่ยเสี่ยวหลานต่างก็มีมันสมองที่ชาญฉลาดเป็ทุนเดิม แต่พวกเขากลับไม่รู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์ ทั้งๆ ที่หากก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ก็จะสามารถหลุดพ้นจากกรอบของความเป็คนทั่วไป ทำไมถึงเสียเวลากับเื่ไร้สาระอยู่เรื่อย?
หนิงเสวี่ยไม่อยากสนใจจึงหันหน้าไปทางอื่น แต่เพื่อนของเธอกลับอุทานขึ้นมาเสียงเบา
“เอ๋ นั่นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่เหรอ เธอไปสนิทกับจี้เจียงหยวนขนาดนั้นั้แ่เมื่อไร เมื่อวานฉันเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันที่หน้ามหาวิทยาลัย วันนี้ก็กลับมาจากข้างนอกด้วยกันอีก ได้ยินว่าเมื่อวันพิธีเปิดการศึกษา จี้เจียงหยวนก็เป็ฝ่ายเข้าไปหาเซี่ยเสี่ยวหลาน หนิงเสวี่ยเธอว่าพวกเขาสองคน...”
“ระวังคำพูดหน่อย!”
เสียงของหนิงเสวี่ยเย็นะเื “นี่เป็เื่ส่วนตัวของคนอื่น ยิ่งพวกเราสนใจหรือวิพากษ์วิจารณ์ ข่าวลือก็จะสะพัดไปทั่วเหมือนไฟลามทุ่ง”
เพื่อนร่วมหอหน้าแดง “ฉันผิดไปแล้ว ถูกแล้วที่เธอเตือนสติฉัน”
ข่าวลือของเซี่ยเสี่ยวหลานลือไปทั่วหอพักนักศึกษาหญิง ทุกคนฝึกทหารมาด้วยกัน เซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาสะสวย แต่ตอนฝึกไม่เคยเห็นเธอบ่นเหนื่อยแม้แต่คำเดียว
กิริยาวาจาของเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ใจกว้างเอื้อเฟื้อ คนส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเธอกันหมด
คุยกับเพื่อนนักศึกษาชายคำสองคำแล้วอย่างไร ต่อให้คบกับจี้เจียงหยวนจริงๆ ก็เป็เื่ส่วนตัวของเซี่ยเสี่ยวหลาน! แม้ปากจะบอกยอมรับผิด แต่ในใจยังคงอยากรู้อยากเห็นน่ะสิ หอพักอยู่ห้องติดกัน คนทั้งชั้นล้วนรู้ดีว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเคยประกาศว่าตนมีแฟนแล้ว
แฟนหนุ่มของเซี่ยเสี่ยวหลานลึกลับมากจริงๆ ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว
แถมตอนนี้เธอก็ดูสนิทสนมกับจี้เจียงหยวนยิ่งนัก
เฮ้อ โลกของเซี่ยเสี่ยวหลานเธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาของตนก็คงไม่มีวันเข้าใจนั่นล่ะนะ
หนิงเสวี่ยเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนร่วมหอจึงรีบเดินตามเธอไปทันที
—-------------------------------------------
บ้านตระกูลหวัง
หวังก่วงผิงพาเซี่ยจื่ออวี้กลับมาทานข้าวด้วยกันที่บ้าน
เซี่ยจื่ออวี้มาถึงก็เสนอตัวเข้าไปช่วยงานในครัว ตระกูลหวังไม่ได้จ้างแม่บ้าน หวังก่วงผิงเป็พวกใช้ชีวิตเรียบง่าย หร่านซูอวี๋เองก็ชอบทำงานบ้านด้วยตัวเอง พอเซี่ยจื่ออวี้มาถึงเธอจึงเสนอตัวช่วยงานของหร่านซูอวี้อย่างมีน้ำใจ
สองพ่อลูกตระกูลหวังนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก หร่านซูอวี้จึงยกงานในครัวให้กับเซี่ยจื่ออวี้ ก่อนจะเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินออกมาจากครัว
“เื่ย้ายมหาวิทยาลัยของเจี้ยนหัว ตกลงคุณมั่นใจแล้วใช่หรือเปล่า”
หร่านซูอวี้รู้สึกร้อนใจเช่นกัน
หลังบังเอิญเจอกับกวนฮุ่ยเอ๋อที่หัวมุมถนน ทั้งที่ใจนึกอยากตีสนิทกับตระกูลโจว แต่กวนฮุ่ยเอ๋อกลับมีท่าทีไม่หือไม่อือน่ะสิ หร่านซูอวี้อยากไปที่บ้านตระกูลโจวอีกครั้ง แต่ก็ถูกกวนฮุ่ยเอ๋อปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมอยู่ตลอด เธอจึงรู้สึกหงุดหงิดและอัดอั้น เพราะคิดว่ากวนฮุ่ยเอ๋อดูถูกตน ใช่สิ ตระกูลหวังตอนนี้อยู่ระหว่างฟื้นตัว แต่กวนฮุ่ยเอ๋อมั่นใจแล้วหรือว่า อนาคตตระกูลหวังจะเทียบเท่าตระกูลโจวไม่ได้?
ผู้หญิงมักจะเปรียบเทียบกันเื่สามีและลูกหลาน
อย่างไรก็ตามหร่านซูอวี้สู้กวนฮุ่ยเอ๋อไม่ได้ทั้งสองอย่าง
งานของหวังก่วงผิงเธอไม่อาจเข้าไปยุ่มย่ามได้ เธอจึงเบนเข็มไปที่เื่ของลูกชาย
ได้ยินว่าหน้าที่การงานของโจวเฉิงนั้นกำลังไปได้สวย หร่านซูอวี้คิดว่าอีกหน่อยหวังเจี้ยนหัวก็คงทำงานให้กับภาครัฐ ใครเก่งกว่าใครก็ยังไม่แน่!
แต่ก่อนอื่นคือหวังเจี้ยนหัวจำเป็ต้องมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าปัจจุบันก่อน แล้วค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางที่ครอบครัวได้ปูไว้ให้
หวังก่วงผิงเห็นว่าการลงหนังสือพิมพ์ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลว เขาเกิดความรู้สึกอยากวิ่งเต้นหารางวัลอีกสักสองรางวัลให้กับหวังเจี้ยนหัว จากนั้นก็ค่อยๆ ใช้เส้นสายของตน หากเป็ดั่งที่เขาวางแผนไว้เื่ย้ายมหาวิทยาลัยคงสำเร็จอย่างแน่นอน
สามคนพ่อแม่ลูกล้วนวาดภาพอนาคตเอาไว้อย่างงดงาม เซี่ยจื่ออวี้ยืนฟังอยู่ในครัวก็รู้สึกร้อนใจ จะให้ย้ายไปหัวชิงจริงๆ หรือ?
เธอยกขนมปังกรอบที่เพิ่งอบเสร็จออกจากครัว หวังก่วงผิงเรียกเธอมานั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ทำไมให้จื่ออวี้เข้าครัวเสียล่ะ”
“คุณลุง ไม่เป็ไรหรอกค่ะ เมื่อก่อนเวลาอยู่บ้านฉันทำอาหารเป็ประจำ”
เซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้พูดเหลวไหล ขนมปังที่เธออบหน้าตาไม่เลวเลย และเนื่องจากเธอทำอาหารเป็อยู่แล้วถึงได้สอนจางชุ่ยทำอาหารว่างขายเพื่อเลี้ยงชีพ
หลังง่วนอยู่ในครัวมาครึ่งวัน เพิ่งได้นั่งพักหายใจได้ไม่เท่าไร ก็มีคนมาเคาะประตู
หร่านซูอวี้ลุกขึ้นไปเปิดประตูบ้าน มีคนะโถามว่า ที่นี่ใช่บ้านของหวังเจี้ยนหัวหรือไม่
“ที่นี่คือบ้านของหวังเจี้ยนหัว นักศึกษาวิทยาลัยฝึกหัดครูใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ พวกคุณมาหาใครคะ”
ผู้หญิงที่เดินน้ำหน้าเบียดหร่านซูอวี้ให้พ้นทาง กลุ่มคนที่บุกเข้าไปในบ้านล้วนมีหน้าตาดุดันเหลือเกิน
“ใช่บ้านของหวังเจี้ยนหัวก็ดี จัดการซะ พังของในบ้านหลังนี้ให้หมด!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้