“หลานสะใภ้น้อมคำนับฮูหยินผู้เฒ่า ลูกสะใภ้น้อมคำนับท่านแม่” หลังจากคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินและยกน้ำชา มู่หรงฉิงก็ย้ายมายืนอยู่ตรงกลางห้องโถง ก่อนหันไปมองแม่รองเฉินราวกับนางไม่รู้ว่าจะเรียกแม่รองว่าอะไร จังหวะนั้นเฉินเทียนหยูจึงดึงมือมู่หรงฉิงและพูดด้วยความร่าเริง “น้องหญิงยังไม่ได้น้อมคำนับแม่รอง นี่คือแม่รอง น้องหญิงไม่รู้จักหรือ?”
“ข้า ข้าไม่เคยเจอมาก่อน…” มู่หรงฉิงมองเฉินเทียนหยูอย่างจนปัญญา แต่เฉินเทียนหยูกลับไม่พูดถึงประเด็นนี้อีกต่อไป เขาเลื่อนสายตาไปมองฮูหยินเฉินอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ วันนี้ข้าพาน้องหญิงไปดูจุ๊กกรู๊ น้องหญิงไม่ยอมไป ถ้าข้าไม่ลากน้องหญิงไป น้องหญิงก็คงไม่ได้เห็นจุ๊กกรู๊แล้ว”
คำพูดของเฉินเทียนหยูทำให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินผ่อนคลายลงเล็กน้อย ฮูหยินเฉินดึงเฉินเทียนหยูเข้าใกล้ จากนั้นถามด้วยเสียงแ่เบา “เ้าพาฉิงเอ๋อร์ไปที่เรือนนั้นได้อย่างไร ไม่กลัวว่านางจะาเ็หรือ?”
ฟังออกอย่างชัดเจนว่าการถามเช่นนั้นเป็การถามหยั่งเชิงหลายส่วน
“น้องหญิงไม่ได้าเ็ แต่น้องหญิงใกลัว อิๆ …” หลังจากหัวเราะสองครั้ง เฉินเทียนหยูก็พูดต่อว่า “จุ๊กกรู๊จะกัดน้องหญิง อิๆ …”
ครั้นมู่หรงฉิงได้ยินคำพูดของเฉินเทียนหยู นางก็ออกอาการหวาดกลัวอยู่หลายส่วนพลางลดสายตาลง นางเห็นได้ชัดเจนว่ามือของยวี้เอ๋อร์ที่วางอยู่บนเข่าเริ่มซีดจางเล็กน้อย
เหอะ! ก็แค่รื้อแผนการ ยวี้เอ๋อร์ก็ไม่อาจสงบเสงี่ยมได้แล้วหรือ?
มู่หรงฉิงออกอาการตื่นตระหนก แต่เฉินเทียนหยูกลับเดินไปหานาง และพูดกับคนสองสามคนด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “พรุ่งนี้ข้าจะพาน้องหญิงไปดูจุ๊กกรู๊อีก ท่าทางและสีหน้าใกลัวของน้องหญิงดูดีมากเชียวล่ะ”
หลังจากเฉินเทียนหยูพูดคำเ่าั้จบ สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินก็สงบลง ก่อนหญิงสูงวัยจะพูดอย่างเอื้ออาทรเล็กน้อย “อย่าหาเื่น่า ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา มันไม่ใช่เื่ตลกนะ!”
พูดจบ ฮูหยินเฉินก็ตบโต๊ะอย่างดุเดือด พร้อมตวัดสายตามองยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าขุ่นเคือง “ในฐานะสาวใช้เคียงข้างฮูหยินน้อย กลับไม่รับใช้และดูแลเคียงข้างฮูหยินน้อย วันนี้ฮูหยินน้อยไม่ได้เป็อะไร นั่นเพราะได้รับการคุ้มครองจากบรรพบุรุษของจวนเฉิน ถ้าเกิดวันนี้ฮูหยินน้อยเป็อะไรไป เ้าหนึ่งร้อยคนก็ไม่อาจชดเชยความสูญเสียนี้ได้!”
ฮูหยินเฉินดุด้วยน้ำเสียงเข้มงวดเป็สาเหตุให้ยวี้เอ๋อร์ต้องรีบโขกศีรษะ น้ำตาของนางไหลพรูออกมาทันที “บ่าวรู้ผิดแล้ว…บ่าวรู้ผิดแล้ว…”
มู่หรงฉิงแสยะยิ้มในใจ ฮูหยินเฉินผู้นี้ก็เป็คนที่เก่งกาจน่าทึ่งเช่นกัน ยวี้เอ๋อร์มาพูดยุแยงก่อน เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินคิดว่านางเข้ามาในจวนเฉินด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะนางป้องกันตัวด้วยการใช้กำลังภายในอันแก่กล้าของเฉินเทียนหยู ต่อให้นางพูดไปเป็ร้อยประโยค ก็คงไม่อาจอธิบายให้คนเข้าใจความจริงได้
มู่หรงฉิงมองยวี้เอ๋อร์ซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นและร้องไห้สะอื้น ทำท่าไม่กล้าลุกขึ้นยืน จากนั้นสายตาซึ่งบ่งบอกถึงความลำบากใจก็มองไปที่ผู้าุโทั้งสาม
นางเห็นเพียงสายประคำในมือของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหมุนไปมาระหว่างนิ้วมืออย่างไม่รีบร้อน สังเกตจากความสงบนิ่งของหญิงสูงวัย คล้ายกับอีกฝ่ายกำลังนั่งสมาธิอยู่ในวัดโดยไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับปัญหาในโลกอย่างไรอย่างนั้น
อย่ามองเพียงฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้กำลังนั่งหลับตาและจับลูกประคำโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทว่ามู่หรงฉิงรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็บุคคลที่ทรงพลังมาก เล่ห์เหลี่ยมของฮูหยินเฉินส่วนใหญ่เกรงว่าคงมาจากการฝึกฝนจากฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้!
สายตาเลื่อนจากฮูหยินผู้เฒ่าไปยังใบหน้าที่ยังปรากฏความขุ่นเคืองของฮูหยินเฉิน มู่หรงฉิง้าดูว่าฮูหยินเฉินจะจัดการกับยวี้เอ๋อร์อย่างไร? ถ้าลงโทษยวี้เอ๋อร์แทนมู่หรงฉิง นั่นก็เทียบเท่ากับเป็การไม่ให้เกียรติมู่หรงฉิง แต่ถ้าจะเดินตามทางที่ชัดเจนและเปิดโปงความชั่วของยวี้เอ๋อร์ออกมา ก็จะเป็การนินทาว่าร้ายชื่อเสียงของคนอื่น
คนที่เป็แม่สามีพูดจายุแยงความสัมพันธ์ระหว่างลูกสะใภ้กับสาวใช้คนสนิทของนาง ถ้าถูกพูดออกไป จะทำให้เสียหน้าเป็อย่างมาก
ฮูหยินเฉินย่อมลำบากใจ ยวี้เอ๋อร์นี่ก็เป็คนฉลาดหลักแหลมเช่นกัน รู้ทั้งรู้ว่าฮูหยินเฉินไม่กล้าที่จะชี้แจงเื่ราวให้กระจ่าง นางจึงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นพร้อมโขกศีรษะด้วยท่าทางหวั่นกลัว ดูจากท่าทางของนางแล้ว เหมือนว่าฮูหยินเฉินกลั่นแกล้งนางและทำให้นางลำบากเสียอย่างนั้น
ฮูหยินเฉินดุยวี้เอ๋อร์อย่างรุนแรง จากนั้นก็ไม่ทำอะไรอีกเลย มู่หรงฉิงจึงนึกเบื่อหน่ายอย่างอดไม่ได้ นางถึงก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าวด้วยร่างสั่นเทา นางโค้งคำนับฮูหยินเฉินและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านพี่พาลูกสะใภ้ไปดูจุ๊กกรู๊ ลูกสะใภ้จำต้องไป จึงสั่งกำชับยวี้เอ๋อร์ให้มาที่นี่เพื่อขอโทษ การที่ลูกสะใภ้ไม่ได้มายกน้ำชาตรงเวลาก่อนหน้านี้ ลูกสะใภ้ย่อมรู้ว่าตัวเองมีความผิด ขอท่านแม่โปรดลงโทษด้วย เพียงแต่เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับยวี้เอ๋อร์ ขอท่านแม่โปรดตรวจสอบด้วย”
มู่หรงฉิงอธิบายเื่ราวอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน โดยที่นางกำลังบอกกับผู้าุโทั้งสองคนว่า นางถูกเฉินเทียนหยูลากตัวไปเรือนหยางเซิงโดยไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงต้องส่งยวี้เอ๋อร์มาขอโทษแทน และในเวลานี้นางก็มาที่นี่แล้ว เพียงแต่เวลาสายเล็กน้อย อย่างไรก็ดีนี่ก็ไม่อาจตำหนินางได้ และถ้าจะตำหนิก็ตำหนิคุณชายรองหลานชายคนโปรดของจวนเฉินเท่านั้น
คำพูดของมู่หรงฉิงไม่ผิดแม้แต่น้อย ในสายตาของบุคคลภายนอก คิดเพียงว่ามู่หรงฉิงรู้สึกเห็นใจยวี้เอ๋อร์จึงอธิบายออกมา และแม้ตัวเองจะถูกลงโทษ นางก็ไม่ยอมให้ยวี้เอ๋อร์ถูกลงโทษ
คำพูดของมู่หรงฉิงเป็การพยายามชี้แจงเื่ราว และกำลังบอกกับยวี้เอ๋อร์ด้วยว่า เ้าคือสาวใช้ของข้า ข้าย่อมปกป้องเ้าอย่างสุดกำลังและความสามารถ ด้วยวิธีนี้ ยวี้เอ๋อร์จะได้ไม่เกิดความสงสัย
เพียงแต่คำพูดของนางในมุมมองของบุคคลภายนอก กลายเป็อีกความหมายหนึ่ง เ้านายดูเป็เ้านายที่ดี ทั้งรักและทะนุถนอมบ่าว เพียงแต่สาวใช้คนนี้กลับไม่เต็มใจที่จะเป็ผู้ถูกอนุเคราะห์และ้าพลิกฟ้าจึงวิ่งมาที่นี่เพื่อยุแยงเ้านายลับหลัง หมายจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
หลังจากมู่หรงฉิงพูดจบ ฮูหยินเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งกลับลืมตาขึ้น มองไปที่มู่หรงฉิงผู้ซึ่งก้มศีรษะเพื่อยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
รู้สึกเหมือนสายตาอันรุนแรงระคนน่าเกรงขามกำลังพุ่งตรงมาทางตน มู่หรงฉิงไม่กล้าสบตา นางรู้สึกอึดอัดแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ในจังหวะที่มู่หรงฉิงรู้สึกเหลือทน นางก็ได้ยินเสียงดังอันทรงพลังของฮูหยินผู้เฒ่า “วันนี้เทียนหยูทำตัวหาเื่เกินไปแล้ว เ้าก็ใกลัวมากด้วย เวลานี้ก็สายมากแล้ว ได้ยินมาว่าเมื่อคืนเ้าพักผ่อนน้อยมาก เ้ากลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”
มู่หรงฉิงถึงกับผงะ เื่จบลงเช่นนี้หรือ? นางพยายามคาดเดาความตั้งใจของฮูหยินผู้เฒ่า แต่กระนั้นนางก็โค้งคำนับอย่างเชื่อฟัง “หลานสะใภ้ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่า ถ้าเช่นนั้น ยวี้เอ๋อร์...”
“ดูเหมือนว่าเคียงข้างเ้าจะไม่มีคนคอยรับใช้นะ พวกบ่าวรับใช้รอบๆ เทียนหยูก็โง่เขลากันหมดทุกคน เอาล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มีต้นเหตุมาจากเทียนหยูที่ทำตัวโง่งมเกินไป และไม่มีบ่าวคนใดฉลาดพอจะชี้ให้เห็น” ครั้นพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนชุ่ยอี, สาวใช้ผู้ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเท้าออกมาข้างหน้า “ฮูหยินผู้เฒ่า”
“ชุ่ยเอ๋อร์ คุณชายรองไม่ชอบอยู่อย่างสงบ เ้าเป็ผู้าุโในจวนแล้ว ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป เ้าไปที่เรือนม่อเหอ คอยให้คำแนะนำและตักเตือนกัน คอยดูแลคุณชายรองและฮูหยินน้อยด้วย”
มู่หรงฉิงพลอยตกตะลึงทันที ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้ดูคล้ายจะสงบเสงี่ยม แต่ถ้าเอ่ยปากพูดออกมาแล้ว ก็เป็การตัดสินใจอย่างแน่วแน่ มิเช่นนั้นนางจะไม่พูด ถ้อยคำของนางเท่ากับเป็การตัดสินเื่นี้จากต้นเหตุ
เ้ายวี้เอ๋อร์มาเพื่อหักหลังเ้านายใช่หรือไม่? ข้าจะไม่สนเ้า และจะไม่ทำให้หลานสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ต้องเสียหน้า ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ข้าส่งคนไปที่เรือนม่อเหอก็ได้แล้ว ัแกร่งย่อมสู้งูประจำถิ่นไม่ได้ ถึงอย่างไร เ้าก็เป็สาวใช้จากจวนอื่น ต่อให้เ้าจะพูดคล่องโน้มน้าวจิตใจคนเก่งสักแค่ไหน ข้าก็ให้เ้านายของเ้าปฏิบัติต่อสาวใช้ของข้าดั่งสิ่งมีค่าได้เช่นกัน
คิดว่าสาวใช้ที่ชื่อว่าชุ่ยเอ๋อร์คนนี้ จะต้องเป็คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าสามารถวางใจได้มากที่สุด
หลายอึดใจก่อน มู่หรงฉิงยังถอนหายใจอยู่เลย นางกำลังคิดตรึกตรองว่าจะทำอย่างไร ถึงจะสามารถให้บทเรียนแก่ยวี้เอ๋อร์ นางไม่อาจให้บทเรียนอย่างโจ่งแจ้ง เนื่องจากในอดีตมู่หรงฉิงทั้งรักทั้งทะนุถนอมยวี้เอ๋อร์ปานนั้น แต่หลังจากนางรู้ว่ายวี้เอ๋อร์เป็หนอนบ่อนไส้ ใจดำอำมหิต นางย่อมไม่สามารถปฏิบัติกับยวี้เอ๋อร์ด้วยความเมตตาดังเช่นที่นางเคยทำมาก่อนได้ ขณะที่กำลังขบคิดวิธีจัดการยวี้เอ๋อร์ต่อจากนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับนาง
นี่นับว่าเป็ความประสงค์ของ์หรือไม่? ด้วยวิธีข้างต้นวันข้างหน้าหาก้าทรมานยวี้เอ๋อร์ นางแค่มอบหน้าที่ให้ชุ่ยเอ๋อร์จัดการก็ได้แล้ว มิหนำซ้ำยังช่วยประหยัดเวลาให้นางด้วย นางจะได้มีเวลาคิดวิธีช่วยพี่ใหญ่
ในใจมีความสุขแต่ไม่อาจเผยออกมาให้เห็นได้ ท้ายที่สุดแล้ว เื่นี้ก็มีความชัดเจนมาก ไม่มีใครอยากให้มีคนจับจ้องคอยอยู่เคียงข้าง
หลังจากคิดอยู่ในใจ มู่หรงฉิงก็ออกอาการลำบากใจ ทว่าเมื่อเห็นการจ้องมองที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงลดสายตาลงและเอ่ยตอบเสียงเบา “ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่า”
เื่ราวได้รับการแก้ไขเช่นนี้แล้ว ฝ่ายฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่า มู่หรงฉิงยอมรับสาวใช้คนนี้ นางก็บอกว่าตนเหนื่อยและบอกให้มู่หรงฉิงกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ออกคำสั่งขับไล่แขกแล้ว แม่รองที่นั่งอยู่ด้านข้างโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดย่อมต้องออกจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเช่นกัน แม่รองเฉินเดินเข้าไปหามู่หรงฉิง มองมู่หรงฉิงด้วยท่าทางคล้ายกังวล ก่อนมองยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมู่หรงฉิงด้วยความหมายลึกซึ้ง จากนั้นถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ เด็กดี...”
มู่หรงฉิงเย้ยหยันในใจ ละครฉากนี้ทำได้อย่างหลักแหลมจริงๆ แต่การแสดงออกของนางกลับมองแม่รองเฉินด้วยสีหน้างุนงง แม่รองเฉินเห็นสีหน้าท่าทางคล้ายไม่เข้าใจของเด็กสาว กระแสแสงแวบในดวงตาของนางจึงปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ขณะที่นางยกมือขึ้นเพื่อจับปอยผม
ละครของแม่รองแสดงเสร็จแล้วย่อมไม่มีความจำเป็ที่จะอยู่ต่อ มู่หรงฉิงคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเฉินอย่างมีมารยาทและนอบน้อม ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างสุภาพเรียบร้อย
ครั้นทุกคนออกไปแล้ว ฮูหยินเฉินก็ถอนหายใจเบาๆ “ท้ายที่สุดแล้ว บุตรีจากครอบครัวขุนนางย่อมสอนให้เป็เด็กที่รู้จักกาลเทศะและรู้ขอบเขต ได้ยินผู้คนร่ำลือกันมานานแล้วว่าซูชิงหย่าคนนั้นเป็ผู้หญิงที่มีความสามารถที่หายาก และเป็คนโปร่งใสชัดเจนคนหนึ่ง แม้จะจากไปเร็ว แต่บุตรสาวที่นางสอนนั้นมีจิตใจดีไม่มีผิดเพี้ยน แค่ไม่ชัดเจนและไม่ค่อยมีไหวพริบเท่านั้น...”
ฮูหยินผู้เฒ่าหรี่ตาเล็กลง และเม็ดลูกประคำในมือของนางก็ส่งเสียงเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหว...
เมื่อกลับมาถึงเรือนม่อเหอ ใบหูของมู่หรงฉิงเกือบจะกลายเป็รังผึ้งจากเสียงของเฉินเทียนหยู ระหว่างทางเขาเอาแต่ร้องขอจะกินข้าวเหนียวห่อใบบัว เนื่องจากมีสาวใช้สองสามคนเดินตามจากด้านหลัง มู่หรงฉิงจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก ด้วยกลัวว่าเฉินเทียนหยูจะปากพล่อยพูดถึงเื่ก่อนหน้า ดังนั้นนางทำได้เพียงจับข้อมือของเฉินเทียนหยูพร้อมกระซิบข้างใบหูอย่างแ่เบา “เมื่อกลับถึงเรือน ข้าจะทำให้ท่านพี่ทาน”
ทันทีที่กลับมาถึงเรือน มู่หรงฉิงก็ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะสังเกตชุ่ยเอ๋อร์ นางเอ่ยสั่งให้คนสองสามคนไปหาใบบัวสดและเมล็ดบัวอ่อน สาวใช้ระดับสองที่เหลือก็ทำหน้าที่บดงา ถั่วเขียวและถั่วลิสง
“ฮูหยินน้อย ท่านคิดว่าบดถั่วลิสงประมาณนี้พอใช้ได้หรือไม่?”
เด็กผู้หญิงซึ่งเป็บ่าวรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้ามู่หรงฉิงพร้อมจานถั่วลิสงบด พลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง มู่หรงฉิงเพิ่งปอกองุ่นลูกหนึ่งให้เฉินเทียนหยู เมื่อนางได้ยินคำถามของเด็กหญิงคนนั้น นางก็เช็ดมือและมองอย่างระมัดระวังจากนั้นพูดว่า “ยังไม่พอ จะต้องบดให้ละเอียดมากที่สุด บดให้เหมือนแป้งกวาวเครือขาว”
บ่าวตอบรับและในจังหวะที่กำลังจะเดินจากไป มู่หรงฉิงก็กล่าวว่า “บอกกับคนเ่าั้ด้วยว่าถั่วเขียวและเมล็ดงาก็บดให้ละเอียดที่สุดด้วยเช่นกัน”
“น้องหญิง น้องหญิงบอกว่าจะทำข้าวเหนียวห่อใบบัวไม่ใช่หรือ?” เฉินเทียนหยูเอ่ยถามมู่หรงฉิงด้วยท่าทางงุนงง
“พอเตรียมส่วนผสมเสร็จเรียบร้อย รวมถึงทำทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ต้องใช้เวลาราวสี่หรือห้าชั่วยาม นี่ก็ถึงเวลาทานอาหารกลางวันแล้ว ท่านพี่ทานอาหารกลางวันรอไปก่อน บางทีพอถึงเวลาดื่มน้ำชายามบ่าย ก็จะสามารถกินข้าวเหนียวห่อใบบัวได้แล้ว”
ระหว่างพยายามเกลี้ยกล่อมเฉินเทียนหยู นางก็มองสภาพแวดล้อมรอบๆ ทำให้พบว่าทุกคนง่วนอยู่กับการเตรียมส่วนผสมสำหรับทำข้าวเหนียวห่อใบบัว มู่หรงฉิงจึงเข้าใกล้เฉินเทียนหยูเล็กน้อย พร้อมลดเสียงลง “ท่านพี่ได้ให้สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่เล่าเื่ในวันนี้แก่คนอื่น ท่านพี่ต้องรักษาคำพูด”
“รักษาคำพูดหรือ?” เฉินเทียนหยูดูงุนงง
“…” หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง มู่หรงฉิงก็อดไม่ได้ที่จะลูบหน้าผากของตนเอง “ท่านพี่บอกแล้วว่าจะไม่บอกเื่วันนี้ให้คนอื่นฟัง ดังนั้นถึงจะถูกฆ่าให้ตายอย่างไรก็ต้องไม่พูดถึงเื่ในวันนี้อย่างเด็ดขาด”
พูดอย่างกระจ่างแจ้งแล้วถ้ายังไม่เข้าใจ นางจะตักเกลือหนึ่งช้อนแล้วยัดใส่ปากของเขา!
เฉินเทียนหยูไม่รู้ว่ามู่หรงฉิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของนาง เขาก็พลอยจริงจังและเคร่งขรึมไปด้วย “ตีให้ตายอย่างไร ข้าก็จะไม่พูดถึงมันอย่างเด็ดขาด!”