แววตาของเซียวซู่ซู่ทำให้ป๋ายหลี่ม่อนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นวันนั้นเขามิได้เห็นหน้าของเซียวซู่ซู่ชัดเท่าใดนักจึงไม่มั่นใจว่าสาวน้อยที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าของสกุลเซียวนั้นจะใช่...ผู้ถูกลือว่าเป็หญิงปัญญาอ่อนผู้นั้นหรือไม่
ถ้าหากเป็หญิงปัญญาอ่อนจริงนางจะสามารถมีบารมีและความโดดเด่นสง่างามรวมถึงแววตาเช่นนั้นได้อย่างนั้นหรือ?
แววตานั้นของนางทำให้ในชั่วขณะหนึ่งเขามิอาจลืมเลือนหรือละสายตาจากมันไปได้
การที่ไม่อาจละสายตาไปได้นั้นหาได้เกี่ยวข้องกับรูปโฉมที่งดงามไร้ที่ติของเซียวซู่ซู่ไม่แต่เป็เพียงแค่แววตาของนาง
แต่เซียวซู่ซู่มิได้แลมองไปทางเขาต่อนางรีบดึงสายตาของตนกลับมาสิ่งที่นาง้าก็คือการทำให้บุรุษผู้นี้นึกเสียใจกับการกระทำทั้งหมดของตน
วันนี้นางมิได้้าจะยื้อเอาการหมั้นหมายของคนทั้งสองกลับมา แต่กลับทำเพื่ออยากให้ป๋ายหลี่ม่อรู้ว่าสกุลเซียวนั้นมิใช่คนที่เขาจะมาิ่หยามได้ง่ายๆ
เสียงพิณค่อยๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องหนุ่มสาวเดินขึ้นๆ ลงๆ สวนกันไปมา ท่าทางและสีหน้าของพวกเขาล้วนแตกต่างกันออกไป
แต่ว่าสิ่งเ่าั้ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่กำลังชมการสดงเพราะสำหรับพวกเขาแล้ววันนี้นับว่าเป็บุญตาอย่างมากแล้วบุรุษสตรีที่มิได้มีรูปโฉมและฝีมือที่เก่งกาจก็ล้วนมิกล้ามาแสดงความสามารถให้ขายหน้าเช่นกัน
เมื่อถึงคราของเหล่าบุรุษของสกุลเซียวนั้นบรรยากาศโดยรอบก็เงียบสงบผิดปกติ
เหล่าขุนนางยศสูงของแคว้นป่ายฮวาล้วนหันไปมองทางเวทีกันอย่างพร้อมเพรียงเป็ที่รู้กันว่าบุรุษสกุลเซียวนั้นถือเป็ตัวแทนทางด้านภาพลักษณ์ของเมืองอวิ๋นมาโดยตลอดพวกเขามิเพียงมีรูปร่างที่สูงโปร่ง โครงหน้าก็หล่อเหลากันทุกคน อีกทั้งความสามารถยังเหนือกว่าผู้อื่นถึงขั้นหนึ่ง
ยอดบุปผาของกลุ่มบุรุษนั้นก็มักจะเป็สกุลเซียวที่คว้าชัยไปได้
วันนี้ผู้ที่มีหวังจะคว้าตำแหน่งยอดบุปผาก็คือบุตรชายคนโตของเซียวเหยียนเซียวเอิน เพราะฉะนั้นการปราฏตัวบนเวทีของเขาก็ถือเป็ที่จับตามองของผู้คน
เซียวเอินดีดบรรเลงเพียงหนึ่งเพลงแล้วจึงค่อยๆเดินลงจากเวทีไป ท่าทางบรรเลงของเขามิได้อ่อนนุ่มแต่กลับแฝงด้วยความแข็งแกร่งของบุรุษอยู่ไม่น้อยทำให้ผลคะแนนของเขาลดลงไปกว่าที่คาดไว้มาก
ทว่าเขาหาได้ใส่ใจไม่งานชมดอกฉยงฮวานั้นมิเคยอยู่ในสายตาของเขามาก่อน โดยปกติแล้วสิ่งที่เขาให้ความสนใจนั้นมิใช่กาพย์กลอนพิณดนตรีแต่กลับเป็ศิลปะการต่อสู้
แม้ว่าเซียวเหยียนจะคัดค้านต่อการฝึกฝนการต่อสู้ของเขาเป็อย่างมากทว่าฮูหยินเฒ่ากลับให้การสนับสนุน เพราะฉะนั้น ยามว่างเขามักจะเอาเวลาไปฝึกฝนกระบวนดาบของตนอยู่เสมอ
ท่าทางแข็งแกร่งของบุรุษเมื่อครู่ทำให้คะแนนของเขาลดต่ำไปมากทว่าก็ยังคงได้รับเสียงปรบมืออย่างดังสนั่นกลับมา
โครงหน้าของเขาผสมผสานระหว่างความอ่อนโยนและแข็งแกร่งความสง่างามที่เผยออกมาโดยธรรมชาติก็ทำให้สตรีจำนวนไม่น้อยเกิดอาการหวั่นไหว
เซียวซู่ซู่เห็นภาพเ่าั้กับตาของตนมุมปากที่กระดกยิ้มของนางก็พลอยเด่นชัดขึ้นไปด้วยพี่ชายผู้นี้ของนางช่างเป็ที่โปรดปรานของผู้คนเสียจริงๆโดยปกติแล้วนางมิได้ทันสังเกตเท่าใดนัก
เซียวเอินที่กลับมานั่งประจำที่ของตนแล้วก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กๆของเซียวซู่ซู่เบาๆ “เ้ายังจะยิ้มอยู่อีก...” ทำให้เซียวซู่ซู่หัวเราะออกมาเสียงดัง
ในร่างของนางคือดวงิญญาของซูฉีฉีเดิมนางเกิดในแคว้นต้าเยียน แม้ว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้เป็ระยะเวลาถึงสองเดือนแล้วแต่ว่านางก็ยังคงไม่อาจยอมรับสถานภาพที่สตรีสูงส่งและบุรุษต่ำต่อยอยู่ดี เพราะว่ามันช่างต่างกับชีวิตในชาติก่อนของนางลิบลับ เื่นี้นางจำเป็ต้องใช้เวลาในการคุ้นชินกับมัน
“รอจนน้องชายคนเล็กแสดงเสร็จก็จะถึงตาเ้าแล้ว” เซียวเอินมีสีหน้าเอือมระอา สำหรับน้องสาวคนนี้นอกจากความรักใคร่แล้วเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางได้อีกจึงได้แต่ยอมให้นางหัวเราะเสียงดังใส่ตนอย่างมากที่สุดเขาก็แค่กลายเป็ตัวสร้างเสียงหัวเราะให้กับนางเท่านั้นเอง
เป็ดังที่คาดเอาไว้บนเวทีได้มีเสียงประกาศ “เซียวซู่ซู่” สามคำนี้ดังขึ้น
ชื่อของเซียวซู่ซู่ดังสนั่นก้องมากกว่าผู้อื่นเสมือนว่าจงใจให้เป็เช่นนี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบที่กำลังครึกครื้นอยู่นั้นเงียบสนิทลงทันที
ใครบ้างไม่รู้ว่าเซียวซู่ซู่นั้นปัญญาอ่อนมาเป็เวลาสิบห้าปีเวลาถึงสิบห้าปีเต็ม นางไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยคำใดออกมา ไม่ร้องไห้ ไม่ยิ้ม ไม่โวยวายไม่ส่งเสียง...แต่นางกลับมาร่วมงามชมดอกฉยงฮวานี้ได้ แน่นอนว่ามันทำให้คนที่อยู่ในงานล้วนเกิดอาการตกตะลึง
หลังจากที่ตกตะลึงนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังสนั่นไปทั่ว
บุรุษสตรีทั่วทั้งแคว้นป่ายฮวาก็ล้วนแหงนหน้าขึ้นหัวเราะกันอย่างเสียงดังอีกทั้งยังมีเสียงซุบซิบนินทาดังไม่หยุด ซึ่งแน่นอนว่าเสียงเ่าั้มิได้เกิดจากประชาชนชาวอ้าวอวิ๋นและโยวเจิ้น
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าสกุลเซียวมีคนปัญญาอ่อนเช่นนั้นอยู่
และในขณะเดียวกันคนในสกุลเซียวก็ล้วนเงียบสงบ พวกเขาล้วนมองไปทางเซียวซู่ซู่ ในแววตาเต็มไปด้วยความสนับสนุน ความรักใคร่ ความเชื่อมั่นและความสงสาร!
เซียวซู่ซู่หุบรอยยิ้มของตนก่อนจะค่อยๆยืนขึ้น ก้าวขึ้นไปบนเวทีที่ทำจากหยกขาวช้าๆ ทีละก้าว ท่าทางของนางไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้าสีหน้าสงบนิ่ง ไร้ซึ่งอารมณ์ แต่กลับแฝงไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อนางเดินไปถึงบนเวทีแล้ว ก็ค่อยๆหมุนตัวกลับมา เผชิญหน้ากลับเหล่าขุนนางลูกผู้ดีและเชื้อพระวงศ์ยศสูงจากทั้งสามแคว้น
เซียวซู่ซู่ที่ยืนตระหง่านอยู่บนเวทีหยกขาวนั้นดูใสบริสุทธิ์ไร้มลทินเสมือนเซียนหญิงลงมาจุติบนโลกมนุษย์ก็มิปานทำให้คนไม่กล้ามองนางด้วยสายตาิ่หยาม ชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนของนางพลิ้วไหวตามสายลมผมยาวสลวยทิ้งตัวลงยาว ตรงเอวมีป้ายหยกสลักรูปัแขวนไว้ป้ายหนึ่ง ดูเรียบง่ายแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราดูงามสง่าอย่างมิอาจบรรยายออกมาได้ สูงส่งอยู่เหนือผู้คนทั้งมวล
นางกวาดตามองคนรอบๆ แต่เพียงแค่แวบหนึ่งที่นางมองมานั้นก็ทำให้เสียงหัวเราะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้านล่างเงียบลงในทันที สายตาของหนานกงม่อยิ่งหยุดค้างอยู่ตรงนั้นที่แท้พวกเขาทั้งหมดล้วนคิดผิดไปแล้ว
นางเพียงแค่ยืนอยู่บนเวทีเช่นนั้นก็ดูเหนือกว่าบุรุษสตรีนับหมื่นเสียแล้วบารมีและท่วงท่าอันสง่างามของเซียวซู่ซู่นั้นเสมือนว่านางเกิดมาก็เป็เช่นนี้ ทำให้ผู้คนมิกล้าละสายตาไปจากนาง กระทั่งฮ่องเต้หญิงฮวาหรูเสวี่ยเองก็นิ่งอึ้งไป
เมื่อใดกันที่สตรีปัญญาอ่อนของสกุลเซียวผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้ อีกทั้งแววตาคู่นั้น บุคลิกเช่นนั้นมิใช่สิ่งที่คนปัญญาอ่อนจะมีได้อย่างแน่นอน
ฮูหยินเฒ่าที่อยู่ท่ามกลางองครักษ์รักษาความปลอดภัยก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันแม้นางจะรู้สึกว่าเซียวซู่ซู่เปรียบเสมือนไข่มุกล้ำค่าในมหาสมุทรแต่กลับมิเคยรู้ว่าหลานสาวผู้นี้ของตนจะโดดเด่นได้ถึงเพียงนี้
“นาง...”คำพูดของป๋ายหลี่ม่อเงียบหายไปเสียอย่างนั้นตอนนี้เขามิได้รู้สึกเสียใจที่ถอนการหมั้น แต่ว่าเขากลับรู้สึกไม่อาจยอมรับได้อยู่บ้างความจริงแล้วตนเคยรู้สึกจงเกลียดจงชังสตรีปัญญาอ่อนผู้นั้นจริงหรือ?
เมื่อได้ยินว่าคุณหนูเล็กแห่งสกุลเซียวนั้นเป็คนปัญญาอ่อนที่สลบไม่ได้สติอยู่ถึงสิบห้าปีนั้นเขาก็โกรธแค้นจนถึงขั้นคิดอยากจะฆ่าคนในสกุลเซียวทิ้งไปเสียให้หมด เขารู้สึกว่าสกุลเซียวได้ทำการิ่หยามราชสำนักของอ้าวอวิ๋นอีกครั้งพวกเขาล้วนโทษสมควรตาย
และในวันที่เขาได้คืนของหมั้นกลับไปนั้นแม้ว่าตนจะรู้สึกหงุดหงิดในหัวใจ แต่ก็รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายโล่งสบายยิ่ง เพราะว่าในที่สุดเขาก็สามารถหลุดพ้นจากสตรีปัญญาอ่อนผู้นั้นได้แล้ว! แต่ว่าตอนนี้ในใจของเขากลับมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้น
เป็ความยินดีหรือความผิดหวังกันแน่? แม้แต่เขาก็ไม่อาจอธิบายออกมาได้
หนานกงม่อไม่กล้าหันไปมองป๋ายหลี่ม่อเขาเพียงแค่เหลือบตาไปมองเซียวซู่ซู่สตรีผู้ที่ทำให้เขาต้องเกิดอาการตกตะลึงในวันนั้น นางกลับเป็บุตรสาวคนเล็กของสกุลเซียวเซียวซู่ซู่จริงๆ
เซียวซู่ซู่ที่ไม่มีสัมพันธ์ใดๆผูกมัดอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้น...
ป๋ายหลี่ม่อกำมือแน่นก่อนจะจ้องไปที่เซียวซู่ซู่ที่ยืนอยู่บนเวที เขาเห็นเพียงแค่นางกำลังค่อยๆเดินไปเบื้องหน้าโต๊ะพิณ ก่อนจะนั่งลงด้วยสีหน้าราบเรียบและเริ่มดีดนิ้วมือลงบนสายพิณเบาๆ
หลังจากที่นางปรับเสียงพิณแล้วนิ้วมือเรียวยาวก็ค่อยๆ ลากผ่านหน้าพิณ สำหรับพิณ นางรักใคร่มันไม่เปลี่ยน อีกทั้งั้แ่เล็กนางก็ได้ทุ่มเทฝึกฝนมาอย่างหนัก
เสียงใสกังวานของพิณค่อยๆ ดังขึ้น ไม่นานมันก็เป็เสมือนคลื่นน้ำที่แผ่กระจายไปบริเวณโดยรอบทำให้บรรยากาศรอบข้างอัดแน่นไปด้วยเสียงพิณที่บรรเลงขึ้นของนาง
ในเสียงพิณนั้นเสมือนมีภูติสีขาวตัวน้อยกำลังร่ายระบำอยู่ท่วงท่าของมันงดงามมีสง่า แต่ก็เป็เสมือนทุ่งกุหลาบที่ค่อยๆ ผลิบานทีละดอกกระจายกลิ่นหอมไปพร้อมกับเสียงเพลงที่ดังขึ้น
ความนุ่มนวลและเชื่องช้าของเสียงพิณผสมผสานกับความแข็งแกร่งรวดเร็วของเสียงพิณที่บรรเลงตามมานั้นเสมือนเสียงหยดน้ำค้างที่ตกกระทบใบบัวใสบริสุทธิ์แต่ขณะเดียวกันก็ก้องกังวานไปทั่ว...
ทำให้ใจของผู้ฟังนั้นก็เริ่มเต้นรัวไม่เป็จังหวะ
อารมณ์ของผู้คนในที่นั้นได้ล่องลอยไปพร้อมกับเสียงพิณของนางแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่ข้างกายฮวาหรูเสวี่ยนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเดิมเขาก็รู้สึกชื่นชมต่อรูปโฉมที่งดงามไร้ที่ติของเซียวซู่ซู่ที่อยู่ๆก็ปรากฎตัวในที่แห่งนี้แล้ว แต่เมื่อนางมีฝีมือดีดพิณได้เก่งกาจถึงเพียงนี้ก็ยิ่งทำให้เขาจดจำนางมิลืม
แต่ว่าเสียงพิณนี้กลับทำให้ผู้ที่รอบรู้ในพิณเช่นเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
ตอนนี้เขากำลังพยายามคิดอยู่ว่าเขาเคยได้ยินเสียงพิณที่ใสกังวานนี้จากที่ใดมาก่อน...
ในสมองก็มีเงาของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาจางๆจากนั้นเขาก็รีบส่ายศีรษะของตน บังคับให้ตนไม่ต้องคิดเพ้อเจ้อคนผู้นั้นได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แม้ว่าจะหาศพมิพบแต่ว่าทุกคนล้วนเชื่อกันว่านางได้ตายไปแล้วอย่างแน่นอน อีกทั้งสตรีที่อยู่บนเวทีในตอนนี้ก็ไม่มีเค้าโครงเหมือนนางแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็ท่าทางหรือว่ารูปโฉม
มีเพียงรัศมีบารมีที่แผ่ออกมานั้นกลับดูละม้ายคล้ายกันอยู่บ้างแต่ว่าสตรีเบื้องหน้านี้กลับดูเจิดจรัสผิดกับอีกผู้หนึ่งที่มีเพียงความสงบนิ่งอย่างเยือกเย็น
เหลยอวี๊เฟิงส่ายศีรษะอีกครั้งและบอกกับตนเองว่าให้สงบสติอารมณ์ลง
เมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นอีกครั้งเซียวซู่ซู่ก็ได้ค่อยๆ ก้าวเท้าลงจากเวทีหยกขาวแล้ว สงบนิ่งเหมือนตอนที่นางก้าวขึ้นมาเสมือนเซียนหญิงที่มีเสน่ห์สะกดสายตาผู้คน