อันหนิงรอแล้วรอเล่าให้สามีว่างจากการทำงานแล้วพานางกลับบ้านเดิมบ้าง ทว่าั้แ่วันนั้นนางก็ไม่เคยได้พบหน้ากันจริง ๆ จัง ๆ สักที นอกจากตื่นนอนและกินข้าวเช้าด้วยกันทุกวันแล้ว ที่เหลือนางก็ไม่เคยเห็นได้เจอหวังเหล่ยอีกเลย
นี่มันเดือนหนึ่งเต็ม ๆ แล้วที่ต้องมานั่งรออย่างไร้จุดหมาย คิดอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเขาตั้งใจแกล้งพูดเพื่อตัดปัญหา ในเมื่อไม่มีเวลานักถ้าเช่นนั้นนางก็จะไปเอง
อันหนิงออกจากจวนไปโดยไม่บอกใคร เพราะถึงอย่างไรคนที่นี่ก็มิได้สนใจนางแต่แรกอยู่แล้ว บ้านเดิมอยู่ไม่ไกลจากบ้านสามีนัก แค่เดินเท้าเปล่าใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อก็ถึงแล้ว ไม่จำเป็ต้องเรียกรถม้าแต่อย่างใด
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังหญิงสาวใช้ผ้าผืนบางปกปิดใบหน้าครึ่งล่าง เขาเคยพูดว่ารู้การเคลื่อนไหวทั้งหมด เพื่อไม่ให้คนของหวังเหล่ยจับได้ว่านางแอบออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต นางจึงไม่ทำตัวให้โดดเด่นสวมใส่ชุดที่แสนจะธรรมดา เดินปะปนไปกับชาวบ้านที่เดินทางสัญจรไปมาด้านนอกได้อย่างกลมกลืน
แต่แล้วเมื่อมาถึงหน้าจวนตระกูลหลี่นางกลับก้าวขาไม่ออก ไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไรหากต้องเจอสายตารังเกียจเดียดฉันท์ของคนในครอบครัว เกรงว่าพวกเขาจะไม่ต้อนรับ ขับไล่ให้กลับบ้านสามี ทว่าหากนางถอดใจเสียแต่ตอนนี้ จิตใจอันแรงกล้าอ้อนวอนย้อนเวลากลับมาได้สำเร็จก็เป็อันเปล่าประโยชน์ เท่ากับว่านางได้ทรยศความเมตตาของ์มิใช่หรือ
เมื่อเรียกความมั่นใจให้กับตนเองได้ จึงเคาะประตูจวนเรียกคนด้านในให้เปิดประตู ยังดีที่บ่าวรับใช้ในจวนนี้ไม่เหมือนบ้านสามี พวกเขายังพอเคารพนางอยู่บ้างในฐานะเ้านาย ไม่แสดงความกระด้างกระเดื่องต่อหน้าให้รู้สึกรำคาญใจ
“ท่านพ่อท่านแม่อยู่จวนหรือไม่”
“อยู่เ้าค่ะ นายท่านกับฮูหยินกำลังนั่งจิบชายามบ่ายอยู่เรือนรับรองเ้าค่ะ”
“ขอบใจมาก เ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ”
“เ้าค่ะคุณหนู” บ่าวรับใช้สาวถึงกับทำสีหน้าไม่ถูก คุณหนูใหญ่พูดขอบคุณตนที่เป็แค่บ่าวเช่นนั้นหรือ เป็ไปได้อย่างไร ปกติจะต้องพ่นคำแรง ๆ ใส่แล้วค่อยไล่ไปให้พ้นมิใช่หรือ ไม่อยากจะเชื่อหรือว่าคุณหนูกำลังป่วย ถึงได้พูดอะไรที่ไม่ใช่ตนเองแบบนี้
กระนั้นแม้ลึก ๆ จะเป็ห่วงแต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ เกรงว่าคุณหนูใหญ่จะแผลงฤทธิ์ใส่ สาวใช้จึงเลือกที่จะถอยห่างตามคำสั่ง
อันหนิงเดินทอดน่องไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อนจนกระทั่งถึงเรือนรับรอง ในหัวก็เอาแต่คิดหาวิธีทำอย่างไรถึงจะให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองวางใจและให้อภัย
“ท่านพี่ข้าไม่เห็นอันหนิงกลับบ้านมาสองเดือนแล้วนะ จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับลูกหรือเปล่า ข้าเป็ห่วงอย่างไรไม่รู้” ฟางเหนียงนั่งปรับทุกข์กับสามีเื่บุตรสาวคนโต ปกติอันหนิงจะต้องหนีกลับบ้านมาเสียเดือนละหนึ่งครั้ง ทว่าตอนนี้สองเดือนเข้าไปแล้วก็ยังไม่เห็นว่าบุตรสาวโผล่หน้ามาเสียที
“นั่นสิ ข้าได้เจอกับลูกเขยเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เห็นเ้าตัวจะพูดถึงลูกเราสักคำ หรือจะมีปากเสียงกันอีกแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับหายหน้าหายตาไปนานเช่นนี้” หลี่จิ่นลูบเคราพลางใช้ความคิด อยากจะเอ่ยถามหวังเหล่ยเหมือนกันแต่วันนั้นดูเหมือนเ้าตัวจะยุ่งมากไม่มีเวลาได้คุยกันนาน เขาเลยปล่อยผ่านมิได้ถามถึงอันหนิง หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้น่าจะถามสักหน่อยก็คงดี
“ท่านพี่เราไปหาลูกดีหรือไม่ ท่านก็รู้อันหนิงแต่งงานเพราะจำยอม ข้ากลัวลูกจะทำเื่โง่ ๆ อีก” คราวที่แล้วกว่าจะเกลี้ยกล่อมหวังเหล่ยให้ใจเย็นลงได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ดีที่บุตรเขยเชื่อฟังไม่ตามไปเอาเื่กับโจวเชิน ไม่เช่นนั้นได้เกิดเื่ราวฉาวโฉ่ไปทั่วเมือง
“ดี พรุ่งนี้เราไปหาลูกกัน ช่างลูกเขยปะไรถ้าอันหนิงอยากกลับมาอยู่บ้านอย่างไรก็ต้องได้กลับ” บุตรสาวเคยร่ำร่ำว่าจะกลับมาอยู่บ้านถาวรอยู่หลายครั้ง พวกเขาไม่เห็นด้วยจึงให้ทนอยู่กันไปก่อน ทั้งหวังเหล่ยยืนยันเป็มั่นเป็เหมาะจะไม่ทอดทิ้งจะดีและรักใคร่อย่างดี แต่ถ้าหากอันหนิงไปจนกู่ไม่กลับก็คงต้องให้หย่า จะได้ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย บุตรเขยก็จะได้มีคนใหม่ไม่ต้องทนกับความเ้าอารมณ์ของอันหนิง
อันหนิงที่ได้ยินถ้อยคำห่วงใยจากปากผู้ให้กำเนิด ทำเอาน้ำตาเอ่อคลอด้วยความรู้สึกผิด หากเมื่อก่อนนางยอมฟังคนอื่นสักนิด หยุดคิดหาเหตุผลสักหน่อย ก็จะรู้ว่าพ่อกับแม่รักตนมากแค่ไหน เอาแต่อยากจะชนะน้องสาวโดยที่ไม่ลืมหูลืมตา กระทำแต่เื่ผิด ๆ
นางรีบปาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะเข้าไปหาบุพการีทั้งสอง พลางเรียกพวกเขาด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ทำเอานายท่านหลี่และฮูหยินใรีบอ้าแขนรับ กังวลใจไม่รู้ว่าเ้าตัวไปเจออะไรมา ถึงได้ร้องไห้วิ่งเข้าหาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ท่านพ่อ ท่านแม่”