“เศร้าอย่างนั้นรึ” เขาพูดออกมาเบาๆ ในขณะที่ดวงตาคมจับจ้องไปยังหญิงสาวชุในชุดสีฟ้าคราม เสียงเลื่อนเก้าอี้จากชายสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างทำให้องค์รัชทายาทได้สติ หันมองทั้งคู่กำลังเดินตรงไปยังสาวงามที่ว่า ชายทั้งสองมีกิริยาแปลกประหลาด เขาชูเงินจำนวนมากขึ้นสูงสุดแล้วโบกไปมา หวังให้สาวปริศนาเงยหน้ามอง ทว่านางยังคงก้มหน้าเล่นพิณโดยไม่สนใจ
องค์รัชทายาทเบี่ยงตัวในท่าถนัดแล้วหรี่ตามองกิริยาของสองหนุ่มอย่างตั้งมั่น หลังจากเสียงพิณบรรเลงจบ หญิงสาวเงยหน้าขึ้น พร้อมกับท่าทีใกับสิ่งที่เห็นเล็กน้อย เพราะผู้คนจำนวนมากปรบมือสนั่น และถูกล้อมไว้ ราวกับตนเป็ผู้วิเศษ หญิงสาวทำตัวไม่ถูกได้แต่หันซ้ายแลขวาก่อนจะ หาจังหวะก้าวออกจากบริเวณนั้น
“ช้าก่อนแม่นาง เ้าเป็ใคร เหตุใดจึงได้งามเยี่ยงนี้” หนึ่งในสองหนุ่มเดินชูเงินเข้าไปหา หวังว่าเงินจำนวนนั้นจะพอซื้อตัวสาวงามมาได้ ท่าทางกักขฬะทำให้ซูเจินรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงก้มหน้าลงเล็กน้อย พยายามไม่สบตา
“ข้าขอตัวก่อน” นางเดินเลี่ยงออกมาทางด้านซ้าย หากแต่รู้สึกว่าทั้งสองยังเดินตามหลังมาไม่ลดละ ก่อนพวกเขาจะเข้ามาดักด้านหน้าอย่างไร้ความเกรงใจ ดวงตาแสนเ้าเล่ห์ไล่มองความงามั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วยกมือเช็ดขอบปากพลางกัดกรามแน่น
“เดี๋ยวสิ แม่นางคนสวยจะรีบไปไหน หากข้าอยากทำความรู้จักกับเ้าพอจะได้ฤาไม่” นางก้มหน้าไม่ตอบคำถาม ภายในใจสั่นไหวเพราะความกลัว
“บ้านข้ามีเงินทองมากมาย พ่อข้ารับราชการในวังหลวง อยากให้ข้าแต่งงานเป็เื่เป็ราว แต่ข้าไม่เคยคิดจะผูกพันกับผู้ใด จนเมื่อได้พบเ้า” ชายหนุ่มส่งสายตาหวานฉ่ำมอบให้ ก่อนสองเท้าเล็กของซูเจินจะขยับออกช้าๆ แล้วหยุดลงเมื่อเห็นว่าระยะห่างพอแล้ว
“แม่นาง ไปกับลูกพี่ข้าเถิด ลูกพี่ของข้าเป็บุตรของขุนนางในวัง มีเบี้ยอัดมากมายนับไม่ถ้วน หากเ้าปฏิเสธชีวิตนี้เ้าจะหาผู้ชายที่เพียบพร้อมแบบลูกพี่ข้าไม่ได้อีก”
“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าขอตัว” หลังจากซูเจินปฏิเสธ แล้วพยายามเบี่ยงตัวเดินออกเป็ครั้งที่สอง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหน้าชาวูบ เกิดมาเขาไม่เคยโดนใครปฏิเสธเช่นนี้ เป็การหักหน้าท่ามกลางฝูงชนที่กำลังจับจ้อง ก่อนตัดสินใจคว้ามือแล้วรั้งตัวนางเข้าหา ดวงตาคมเข้มขมึงใส่ราวกับจะกินเืกินเนื้อ
“เล่นตัวนักเหรอ พูดดีๆ มิได้ ต้องให้ข้าออกกำลัง”
“ปล่อยข้านะ” สิ้นเสียงของซูเจิน เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ชายคนดังกล่าวพลันกระเด็นไปนอนร้องครวญครางอยู่ด้านหน้า หญิงสาวใยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันรวดเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ติด ดวงตากลมไหวระริกยืนมองร่างของชายที่กำลังร้องครวญด้วยความเ็ป
“ลูกพี่ เป็อะไรมากไหม” ผู้ติดตามเดินเข้าไปประคอง พลางกล่าวถามด้วยความงุนงงเช่นเดียวกัน
“นางทำข้า” ชายหนุ่มจอมเกเรชี้มือมายังซูเจิน ก่อนจะมองรอบๆ ด้วยความละอายใจ เพราะผู้คนในตลาดต่างพากันหัวเราะเยาะ บ้างก็พากันกระซิบกระซาบ เขาคือหนุ่มเกเรประจำตลาดแห่งนี้ กิริยาที่ชาวบ้านแสดงออกมานั้นเป็การสมน้ำหน้าเขาทางอ้อม สองชายหนุ่มลุกขึ้นปัดตัวไปมาอย่างหงุดหงิด แล้วเดินหลบไปด้วยเพราะกำลังขายหน้า
ซูเจินมองไปรอบๆ นางแปลกใจว่าเขาผู้นั้นกระเด็นออกจากตัวนางได้อย่างไร เสมือนกับโดนพลังเวทเล่นงาน หากแต่ชาวบ้านธรรมดาจะไม่มีสิทธิ์ได้ฝึกพลังเวท ซูเจินกวาดสายตามองไปรอบๆ สังเกตผู้คนพลางนึกตรึกตรอง
“ผู้ใดกัน ใช้พลังเวทได้รวดเร็ว แม้แต่พี่ลี่เซียนที่ว่าเก่งหนักหนา ยังไม่อาจใช้เวทได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แลคนที่จะได้รับการฝึกเวท จักต้องได้รับอนุญาตจากท่านพ่อก่อน ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น หรือว่า...” ซูเจินตาลุกวาว อย่างมีความหวัง นางมองไปรอบๆ เพื่อหายอดฝีมือผู้นั้น หญิงสาวออกแรงเดินวนจนทั่ว หันซ้ายและขวาเพื่อมองหาผู้มีพระคุณที่ไม่แสดงตน
“ท่านเป็ใครกัน” หญิงสาวพึมพำตัดพ้อ พลางทิ้งกายลงนั่งหมดความหวัง หลังจากหายอดฝีมือปริศนาไม่พบ ดวงตากลมฉายแววความเศร้าออกมาอีกระลอก
“คุณชายจะรับอะไรเพิ่มอีกไหม” เสียงเถ้าแก่ร้านน้ำชาเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“ไม่แล้วล่ะ” สุรเสียงนุ่มลึกหากแต่มีพลังแฝงอยู่ ทำให้ซูเจินหันไปพบกับชายในชุดขาว ผมดำสนิทยาวจรดแผ่นหลัง รูปงามอย่างไม่น่าเชื่อ ผิวขาวละเอียดราวกับไม่ใช่เพียงคนธรรมดาสามัญ พลังเวทที่มือด้านซ้ายวูบขึ้นเพื่อดึงเงินออกจากถุง แม้ไม่ตั้งใจให้ผู้ใดเห็นพลังเวท หากไม่อาจรอดพ้นสายตาของนาง
“เป็ท่านหรอกเหรอ” หญิงสาวรอบคิดในใจ ก่อนปล่อยยิ้มกว้าง แล้วตั้งมั่นมองตรงไปยังชายหนุ่มรูปงาม รอยยิ้มแสนหวานยังคงเคลือบไว้บนใบหน้าอย่างมีความหวัง ก่อนชายปริศนาเดินออกจากร้านไป ซูเจินรีบเดินตามไปติดๆ ตั้งมั่นไม่ให้เขารู้ตัว ระยะเวลาหลายชั่วยามพาให้นางเดินห่างจากตลาด ซูเจินเริ่มมองรอบๆ อย่างแปลกตา เพราะสองข้างทางแปรเปลี่ยนกลายเป็ป่าไม้และลำธาร ไม่อาจรู้ว่าอีกนานเท่าใด จึงจะพ้นจากแคว้นจ้านหลิว
สายตาจับจ้องตรงไปที่ร่างของชายปริศนา ที่เริ่มเดินห่างไกลออกไปทุกที หญิงสาวรวบรวมกำลังแล้วเดินตามต่อไปได้อีกสักระยะ ก่อนชะงักแล้วรีบหลบหลังต้นไม้ในทันที หลังจากเขาหันกลับมา เพียงชั่วพริบตานางถูกดึงออกจากต้นไม้ที่ใช้เป็ที่หลบ พลังเวทอันแรงกล้าดึงร่างบางเข้าไปหาเพียงชั่วอึดใจ ใบหน้าของนางเกือบชนกับใบหน้าหล่อเหลาของเขา มือหนาจับแขนเรียวเล็กทั้งสองข้างของนางไว้ ดวงตาทั้งสองประสานสบกันท่ามกลางความเงียบสงัดของธรรมชาติ ซูเจินมองความงามของยอดฝีมือตรงหน้าด้วยหัวใจสั่นไหว นางไม่เคยพบชายใดงดงามราวกับหลุดออกมาจากความฝันเช่นนี้มาก่อน
“ตามข้ามาด้วยเหตุใด” องค์รัชทายาทค่อยๆ คลายมือออกจากแขนเล็กช้าๆ แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขะ...ข้า..” ซูเจินพูดตะกุกตะกัก พลางถอยออกมาตั้งหลักสองสามก้าว ในเมื่อเขารู้ตัวแล้ว คงไม่มีความหมาย
“ข้าอยากมาขอบคุณ ที่ท่านช่วยข้าไว้จากคนพาล” คำตอบของหญิงสาวทำให้โจวอี้เฟยหรี่ตามอง
“เพียงเท่านี้ฤา”
“....”
“เช่นนั้นข้ารับรู้แล้ว” ท่านยอดฝีมือกล่าวด้วยถ้อยคำแสนสั้น แล้วเบี่ยงหน้าออก เตรียมตัวเดินจากไป ในขณะนั้น ซูเจินมองตามด้วยความรู้สึกนับร้อยพัน ใจหนึ่งไม่อยากรบเร้าหรือก่อความรำคาญให้เขา หากแต่อีกใจไม่อาจละทิ้งจุดมุ่งหมายได้ เขาเป็คนเดียวที่อาจพาเธอออกจากแคว้นจ้านหลิว หากไม่คว้าโอกาสนี้ไว้นับว่าน่าเสียดายยิ่ง สองเท้าเล็กยังคงก้าวเดินตามหลังท่านยอดฝีมือรูปงามต่อไป ในขณะที่เสียงฝีเท้าเล็กย่ำเหยียบใบไม้แห้งตามมาอีกสักระยะ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โจวอี้เฟยสังเกตเห็นดังนั้นจึงตัดปัญหา เขาหยุดเดินแล้วหันใบหน้าหล่อเหลากลับมา พร้อมกับฝีเท้าเล็กสะดุ้งแล้วหยุดเดินตาม ดวงตากลมเล็กมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่พูดอันใด สองมือเล็กกุมรวมกันไว้ด้านหน้าแล้วพันเกี่ยวกันไปมาเพราะความไม่มั่นใจ
“เหตุใดยังตามติดไม่ลดละ” น้ำคำราบเรียบเอ่ยถามเช่นเคย ซูเจินหลุบตาต่ำลง
“เพราะท่านมีพลังเวท” เสียงอ่อนหวานตอบกลับตามความเป็จริง สองเท้าของโจวอี้เฟยขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาคมยังคงจับจ้องไม่วาง
“หากท่านมีพลังเวท ท่านย่อมไม่ใช่คนของแคว้นจ้านหลิวใช่ฤาไม่” ชายหนุ่มมองตรงไปยังั์ตาแสนมีเสน่ห์คู่นั้น เขากำลังดึงความรู้สึกภายในที่แท้จริงของนางออกมา หากพบเพียงแต่ความเศร้าที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในนั้น คำถามพร้อมสายตาอ่อนไหวของหญิงงาม ฉายแววมีความหวังระหว่างรอคำตอบ ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม ก่อนก้าวเท้าเข้ามาหาซูเจินในระยะประชิด
“เ้า้าอะไร”
“พาข้าไปด้วยได้ฤาไม่ ข้า้าออกจากแคว้นจ้านหลิว”
“ตามกฎแล้ว แต่ละแคว้นจะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ยิ่งเป็พลเมืองด้วยแล้วหากไม่ได้รับอนุญาตจากพระาายิ่งเป็ไปไม่ได้ที่จะข้ามไปมาหาสู่ ดูเหมือนเ้าจะรู้อะไรหลายอย่างเหตุใดจึงไม่รู้เื่นี้” เป็ประโยคที่ยอดฝีมือพูดกับนางได้ยาวที่สุด หากแต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบ ไม่สามารถเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์พอใจฤาไม่
“เช่นนั้นแล้ว...เหตุใดท่านจึงเดินทางข้ามแคว้นได้”
“เพราะข้าคือข้อยกเว้น จากกฎทั้งหมด” หญิงสาวดวงตาแววระริก เอียงศีรษะไปมาเพราะสับสนในคำพูดกำกวมของยอดฝีมือ ในเสี้ยววินาทีรู้สึกถึงความไม่เป็ธรรม เหตุใดเขาจึงได้รับข้อยกเว้นจากกฎนี้ หญิงสาวจับจ้องไปยังใบหน้าของโจวอี้เฟย