โหวชิ่งใช้มืออีกข้างกุมาแ ขณะที่เืทะลักออกมาจากาแไม่หยุด สีหน้าของเขาดูอ่อนเพลียและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เ้ามันดวงดีจริงๆ” โหวชิ่งจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างน่ากลัว แม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่เชื่อว่าหลินเฟิงจะสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยพลังของตัวเอง ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็เพราะหลินเฟิงดวงดี จังหวะที่หลินเฟิงกำลังฟันดาบ เป็จังหวะเดียวกับที่เขาลดการป้องกัน และไม่ได้มีแค่โหวชิ่งที่คิดแบบนี้ เหล่าศิษย์สายนอกส่วนใหญ่ก็คิดแบบนี้เช่นกัน พวกเขาไม่เชื่อว่าขยะอย่างหลินเฟิงจะสามารถเอาชนะโหวชิ่งในกระบวนท่าเดียวได้
“ดวงดี?” หลินเฟิงอึ้งก่อนจะหัวเราะออกมา ก็อาจเป็ได้
“ครั้งหน้าข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่” โหวชิ่งรีบเดินออกไปจากกลุ่มฝูงชน เพราะร่างกายของเขาได้รับาเ็สาหัส ดังนั้นต้องรีบกลับไปรักษา
“หวังว่าคงจะไม่มีครั้งหน้าอีก” หลินเฟิงลอบส่ายศีรษะด้วยความระอา ทั้งๆ ที่โหวชิ่งก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเเพ้ให้กับหลินเฟิงได้อย่างไร แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็เพราะหลินเฟิงโชคดี ถ้ายังคิดแบบนี้ต่อไปในอนาคตข้างหน้าเขาคงแพ้หลินเฟิงอีกแน่
“แม้แต่ผู้คุมกฎเ้าก็ยังกล้าทำร้ายเขา ดูเหมือนว่าเ้าจะไม่เห็นนิกายหยุนไห่อยู่ในสายตาเลยสินะ” ม่อเสียเพิ่มข้อกล่าวหาให้หลินเฟิงอีกข้อ
หลินเฟิงปรายตามองม่อเสียพลางแสยะยิ้มอย่างเ็า “ดีแต่เพิ่มข้อกล่าวหา แต่ไร้ซึ่งหลักฐาน เป็ท่านไม่ใช่หรือที่สั่งให้เขามาตัดแขนของข้า แล้วไล่ข้าออกจากนิกายหยุนไห่ ถึงแม้ว่าข้าจะเห็นนิกายหยุนไห่อยู่ในสายตา แต่ตัวท่านก็ยังคงตั้งมั่นที่จะไล่ข้าไปอยู่ดี ท่านไม่รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขำไปหน่อยเหรอ ท่านผู้าุโ!”
หลินเฟิงเน้นคำว่า ‘ผู้าุโ’ สามพยางค์นี้อย่างหนักแน่น เพราะคนคนนี้้าตัดแขนของเขาและไล่เขาออกจากนิกาย ในเมื่อทำกันถึงขนาดนี้แล้วยังจะให้หลินเฟิงเห็นนิกายหยุนไห่อยู่ในสายตาอีกเหรอ? ความจริงแล้วหลินเฟิงก็แอบชื่นชมในความหน้าด้านของม่อเสีย ที่ยังสามารถพูดประโยคเ่าั้ออกมาได้
“ท่านประมุข ข้าสามารถพูดอะไรเพื่อตัวข้าเองได้หรือไม่?” หลินเฟิงไม่สนใจม่อเสีย เพราะคนที่มีอำนาจในการตัดสินก็คือหนานกงหลิงแต่เพียงผู้เดียว
หนานกงหลิงเผยแววตาสนใจขึ้นมา เขาค่อนข้างสนใจในตัวของหลินเฟิงเป็อย่างมาก เพราะั้แ่ต้นจนจบ เด็กคนนี้วางตัวได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งท่าทางก็ยังคงสงบนิ่ง ผู้บ่มเพาะที่ดีควรจะมีลักษณะเช่นนี้
“ว่ามา” หนานกงหลิงพยักหน้า
“ท่านประมุข ข้าน้อยถูกเรียกตัวมา พอมาถึงที่นี่ก็ได้ยินแต่ผู้าุโยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ บอกว่าข้าน้อยไม่มีกาลเทศะบ้างล่ะ เป็ปลาเน่าในนิกายบ้างล่ะ พอข้าน้อยเอ่ยปากเพื่อแก้ต่าง ท่านผู้าุโก็ด่าทอข้าน้อย หาว่าไม่ให้ความเคารพต่อผู้าุโ และ้าตัดแขนของข้าน้อย จากนั้นก็ขับไล่ข้าน้อยออกจากนิกาย ข้าน้อยอยากเรียนถามว่า การลงโทษของนิกาย หากผู้าุโบอกว่าผิด ก็ต้องผิด ต่อให้ไม่มีหลักฐานใดๆ มายืนยันข้อกล่าวหาก็ตาม หากเป็เช่นนี้แล้วมิใช่ว่าคำพูดของผู้าุโเป็กฎของนิกายอย่างแท้จริงหรือ?”
คำพูดของหลินเฟิงประหนึ่งหนามอันแหลมคมที่จ้วงแทงไปยังร่างของม่อเสีย หลายคนล้วนคิดว่าไอ้เด็กคนนี้มันบ้าไปแล้ว
“บังอาจ” กลิ่นอายอันทรงพลังแพร่กระจายออกมากดทับร่างของหลินเฟิงไว้ ม่อเสียแทบอยากจะสังหารหลินเฟิงเดี๋ยวนี้
“ข้าไม่ได้บังอาจ แต่ข้าถูกใส่ความและกำลังจะโดนไล่ออกจากนิกายอย่างไม่เป็ธรรม ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ข้าอยากถามท่านผู้าุโว่า ความผิดของข้ามาจากไหน?” หลินเฟิงเผชิญหน้ากับม่อเสียอย่างไม่กลัวเกรง
“ไอ้เดรัจฉาน!!! เ้าทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง สบประมาทผู้าุโ ทั้งที่ทำถึงขนาดนี้แล้ว เ้ายังกล้าบอกว่าไม่ได้ทำอีกหรือ?” หลินเชียนกล่าวอย่างเยือกเย็น
“อ่อ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง” หลินเฟิงแสยะยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าความผิดที่ท่านผู้าุโกล่าวหาข้า จะมาจากคำพูดของเ้าสินะ”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?” จุดประสงค์อันชั่วร้ายของม่อเสียค่อยๆ เผยออกมาอย่างชัดเจน ต่อให้หลินเชียนกับฉู่จ่านเผิงไม่ฆ่ามัน เขาก็จะจัดการมันเอง
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อท่านผู้าุโยอมรับเช่นนี้ ข้าน้อยขอถามท่านผู้าุโต่อหน้าท่านประมุขว่า ในเมื่อท่านฟังคำพูดของนางแล้วมายัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับข้า แล้วทำไมถึงไม่ฟังคำอธิบายของข้าบ้าง? แท้ที่จริงแล้วท่านเป็ผู้าุโของนิกายหยุนไห่ หรือว่าเป็ผู้าุโของนิกายเฮ่าเย่วกันแน่”
“เ้าเด็กปากดี แม้แต่ผู้าุโสายในอย่างข้า เ้าก็กล้าดูิ่ ข้าจะทำลายการบ่มเพาะของเ้า นิกายของเราจะได้สะอาดขึ้น” ม่อเสียทนไม่ไหวแล้ว หากหลินเฟิงยังพูดต่อไปอีก ชื่อเสียงและเกียรติยศในฐานะผู้าุโของเขาคงถูกทำลายจนย่อยยับ
“ผิดถูกทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงเพราะข้าเป็ศิษย์สายนอกคนหนึ่งงั้นหรือ หากเป็เช่นนั้นท่านก็ลงมือทำลายการบ่มเพาะของข้าเถอะ จำเป็จะต้องสร้างข้อกล่าวหามากมายทำไม” ขณะที่หลินเฟิงพูด สายตาก็เอาแต่มองหนานกงหลิงไม่คลาดสายตา
ถ้าหากหนานกงหลิงหยุดม่อเสีย นั่นก็หมายความว่าเขายังคงเป็ศิษย์นิกายหยุนไห่อยู่ แต่ถ้าหากว่าหนานกงหลิงเข้าข้างม่อเสีย เขาก็จะบอกเื่หน้าผาจงกู่ ถึงมันจะเสี่ยงมาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่นับว่าเป็ศิษย์ของนิกายแล้ว ในเมื่อนิกายทิ้งข้า ข้าก็ไม่้านิกาย หลินเฟิงคิดอย่างแน่วแน่
ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับหนานกงหลิงแต่เพียงผู้เดียว
ม่อเสียค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้
หนานกงหลิงสบสายตาของหลินเฟิง
“จิตใจของเด็กคนนี้แน่วแน่และมั่นคง แม้จะเผชิญหน้ากับอันตรายก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า อีกทั้งพร์ก็ถือว่าไม่เลว หลังจากนี้ไม่กี่ปีเขาคงสามารถเข้ามาเป็ศิษย์สายในได้ เผลอๆ อาจได้เป็ถึงศิษย์หลักด้วยซ้ำ”
“ม่อเสียมีฐานะเป็ถึงผู้าุโสายใน พลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร และพร์ก็ไม่เลว ภายภาคหน้าเขามีโอกาสที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะผิด แต่เขาก็ยังถือว่าเป็ผู้าุโสายใน อีกทั้งยังเป็บุตรชายของม่อช่างหลานอีกด้วย”
เพียงชั่วพริบตาหนานกงหลิงก็คิดอะไรมากมาย ในฐานะประมุขไม่ว่าจะเป็เื่อะไรก็ต้องตัดสินอย่างรอบคอบเพื่อประโยชน์ของนิกาย อะไรที่ดีต่อนิกายก็ต้องทำ อะไรที่เป็ภัยต่อนิกายก็ต้องกำจัด
แน่นอน หนานกงหลิงรู้ดีว่าม่อเสียเป็คนผิด แต่ปัญหาก็คือถ้าเข้าข้างหลินเฟิง ก็เท่ากับว่าทำให้ม่อเสียขายขี้หน้า อีกฝ่ายอาจเกิดความรู้สึกคับข้องใจขึ้นมาได้ และที่สำคัญ เขายังจะต้องรักษาหน้าของม่อช่างหลานอีกด้วย เพราะม่อช่างหลานเป็ถึงผู้าุโใหญ่ของนิกาย ทั้งยังสร้างคุณงามความดีต่อนิกายหยุนไห่อีกด้วย
เมื่อพิจารณาแล้ว สำหรับศักยภาพที่หลินเฟิงมีนั้นมันยังไม่เพียงพอ
การนิ่งเงียบของหนานกงหลิง ทำให้หลินเฟิงหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจ หัวเราะประชดในความโง่เขลาของตัวเอง ถึงแม้เขาจะสามารถเอาชนะโหวชิ่งได้ แต่อีกฝ่ายก็เป็แค่อันดับ 10 ของศิษย์สายนอกเท่านั้น อีกทั้งเขาก็เป็เพียงศิษย์สายนอกคนหนึ่งของนิกาย จะมีอะไรเทียบได้กับม่อเสียที่เป็ผู้าุโภายในของนิกายได้? ทำไมเขาถึงได้คิดว่าหนานกงหลิงจะยอมหักหน้าม่อเสียเพื่อตัวเอง???
มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น ที่จะไม่ยอมเอาตัวเองมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้
“เ้าเด็กโง่” ม่อเสียอยู่ห่างจากตัวหลินเฟิงไม่ไกล เสียงด่าทออันแ่เบาดังไปถึงหูของหลินเฟิง บนใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้มและจิตสังหาร เป็แค่ศิษย์สายนอกคนหนึ่ง แต่กลับกล้ามาต่อต้านข้า ช่างไม่รู้จักที่ตายจริงๆ
“มันจบแล้ว หลินเฟิง” ทุกคนต่างแอบคิดในใจว่า หลินเฟิงหาเื่ใส่ตัวแท้ๆ
“น่าเสียดาย ที่ข้าไม่ได้จัดการเขาด้วยมือของตัวเอง” หลิงเชียนยิ้มที่มุมปาก บทสรุปแบบนี้ทำให้เธอประหลาดใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรหลินเฟิงก็จะต้องตายอยู่ดี
ลมปราณอันแข็งแกร่งกดทับที่ร่างของหลินเฟิง จนหลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง ตอนนั้นเองแรงกดดันอันหนาวเหน็บก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หืม?” หลินเฟิงชะงักไปชั่วครู่ มีบางอย่างผิดปกติ ทำไมแรงกดดันอันหนาวเหน็บถึงหายไป?
ม่อเสียที่อยู่ห่างจากตัวหลินเฟิงไม่ไกลก็หยุดเดิน ดวงตาที่ชั่วร้ายพลันเบิกกว้างขึ้นราวกับได้เห็นเื่ที่ไม่คาดฝัน ขณะเดียวกันแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ก็ถาโถมมาที่ร่างของเขา
ทุกคนล้วนไม่เข้าใจว่าทำไมท่านผู้าุโม่อเสียถึงได้หยุดเดิน ผิดกับหนานกงหลิงและม่อช่างหลานที่เผยแววตาตื่นตระหนกออกมา
“นั่นคือ...” หลินเฟิงหรี่ตามองไปที่ม่อเสีย ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ฉายแววใขึ้นมา เขาแทบไม่จะเชื่อสายตาของตัวเอง
“ไม่ผิดแน่” หลินเฟิงเบิกตากว้าง ขณะที่จ้องไปยังร่างของม่อเสีย ตรงนั้นมีเงาอยู่ เป็เงาดำๆ ที่มีลักษณะเหมือนคน และถึงแม้ว่าม่อเสียจะไม่ขยับ แต่เงานั่นกลับเคลื่อนไหวไม่หยุด
นี่มันคือเงาคน เป็เงาคนจริงๆ
หลินเฟิงเห็นเพียงแค่เงาคนเท่านั้น แต่กลับไม่เห็นเ้าของเงาอยู่แถวนี้เลย
ไม่ใช่แค่หลินเฟิงคนเดียวเท่านั้นที่สังเกตเห็น แม้แต่ท่านประมุขและคนอื่นๆ ต่างก็สังเกตเห็นเงาดำบนตัวของม่อเสีย
“ไปให้พ้น” เสียงแหบพร่าดังขึ้นมาในอากาศ ได้ยินแค่เสียงแต่กลับไม่เห็นตัวคนพูด
สถานการณ์อันแปลกประหลาดนี้ทำให้ทุกคนพากันเหงื่อไหลอาบใบหน้า การปรากฏตัวของเงากลางอากาศ ได้สลักความกลัวลงไปในจิติญญาของทุกคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้