หลี่เจี้ยนอันพูดเบาๆ ว่า “คนสกุลจางไม่เลวเลย จางอิ๋นฟางดูไปแล้วก็เป็คนดี เ้าไม่พิจารณาสักหน่อยหรือ”
“ข้าคิดว่าจางอิ๋นฟางพูดมากเกินไปและร่าเริงสดใสเกินไป”
“เ้าชอบคนเรียบร้อยหรือ”
“อืม...”
หลี่เจี้ยนอันก็หวังดีต่อน้องชาย จึงเตือนไปว่า “สตรีเรียบร้อยโดยมากแล้วมักมีแผนล้ำลึก เ้าเป็คนไม่คิดมากถ้าแต่งกับสตรีเช่นนี้ หากวันใดถูกหักหลังขึ้นมาก็จะไม่ทันรู้ตัว”
หลี่ฝูคังคิดถึงจางอวิ๋น นางช่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่นางกลับไม่ชอบเขา และยังเหยียบเรือสองแคม เฮ้อ... ที่พี่ใหญ่พูดก็มีเหตุผล
หลี่เจี้ยนอันพูดต่อว่า “แรกสร้างครอบครัว หลังสร้างฐานะ ถ้าจะตัดสินใจเื่หมั้นหมายก็ให้ตัดสินใจเสีย จะได้ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไว้ที่การเรียน”
หลังเทศกาลโคมไฟ หลี่ฝูคังมักจะใจลอยตอนอ่านหนังสือและยังเคยถูกเจียงชิงอวิ๋นตำหนิด้วย หลี่เจี้ยนอันเป็คู่แฝดของเขาและยังเป็พี่ใหญ่ ล้วนมองเห็นความเป็ไปอยู่ตลอด จึงร้อนใจยิ่งนัก
หลี่เจี้ยนอันกลัวว่าหลี่ฝูคังยังคงคิดจะแต่งกับจางอวิ๋นอยู่ หากเป็ดังนั้นจะทำให้บิดามารดาลำบากใจอย่างยิ่ง และจะทำให้สกุลหลี่กลายเป็ศัตรูกับหม่าจาวพ่อลูกไปโดยปริยาย
แม้เวลานี้สกุลหลี่จะรู้จักกับผู้สูงศักดิ์ แต่ก็ไม่มีรากเหง้าใดๆ ไม่เหมือนหม่าจาวพ่อลูกที่มีเส้นสายอยู่ทั่วไปหมด
ทวนทางแจ้งหลบง่าย ศรทางลับยากป้อง หม่าจาวพ่อลูกนับว่าเป็ผู้มีอิทธิพลในอำเภอซั่ง ย่อมมีวิธีลอบจัดการสกุลหลี่
ใช่ว่าหลี่เจี้ยนอันจะขี้ขลาดตาขาว แต่เพราะครอบครัวต้องเสียเงินมากมายเพื่อให้พวกเขาได้เรียนหนังสือ ซ้ำยังต้องหมั้นหมายให้พวกเขาอีก แล้วจะมาเป็ศัตรูกับผู้มีอิทธิพลเพราะพวกเขาได้อย่างไร
“อืม...” หลี่ฝูคังถามอย่างเนิบช้า “พวกเรายังต้องไปเรียนที่สำนักเล่าเรียนอีกหรือไม่”
พวกเขายังต้องไปที่เรือนของจางซิ่วไฉ จึงไม่รู้ว่าจะพบหน้ากับเขาเช่นใดดี
เขาไม่ได้ทำเื่ผิด แต่แค่ไม่กล้าพบหน้าจางซิ่วไฉ อาจเพราะจางซิ่วไฉฝากความหวังที่ตัวเขาสูงมาก แต่เขากลับไม่อาจเป็บุตรเขยของจางซิ่วไฉ หรืออาจเพราะความแข็งกร้าวยอมหักไม่ยอมงอของจางซิ่วไฉที่สั่นะเืจิติญญาของเขา และทำให้เขารู้สึกเสียดายการแต่งงานคราวนี้เสียยิ่งนัก
ชีวิตคนช่างเต็มไปด้วยความเสียใจอยู่ทุกขณะ
“ข้าได้ยินน้องสาวคุยกับท่านพ่อท่านแม่ ตัดสินใจว่าเดือนสองจะให้พวกเราไปเรียนหนังสือในสำนักเล่าเรียนที่ตัวอำเภอ อีกครึ่งปีจากนั้นก็เข้าสอบสำนักศึกษาในฤดูใบไม้ร่วง”
“มิใช่ว่าพวกเราจะเข้าสอบในฤดูใบไม้ผลิหรอกหรือ”
“น้องสาวบอกว่า เพื่อให้พวกเรามีโอกาสสอบได้มากขึ้น และอยากให้พวกเราสอบเข้าสำนักศึกษาที่ดีที่สุด”
หลี่ฝูคังเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจะฟังคำน้องสาว”
หลี่เจี้ยนอันบอกอีกว่า “เดือนสองครอบครัวเราจะไปสร้างเรือนที่นอกตัวอำเภอ อีกหนึ่งเดือนกว่าๆ พวกเราก็จะย้ายจากหมู่บ้านหลี่เข้าไปอยู่ในเรือนใหม่แล้ว”
“เร็วเพียงนั้นเชียว ซื้อที่ดินเรียบร้อยแล้วหรือ”
“ซื้อแล้ว ตอนอาหารเย็นเ้าไม่ได้ยินท่านพ่อท่านแม่พูดหรอกหรือ คนทั้งบ้านล้วนรู้ว่าบ้านเราซื้อที่ดินข้างๆ จวนเจียงแล้ว เดิมทีพวกเราซื้อไม่ได้ แต่เป็เพราะได้พี่เจียงช่วยเหลือจึงซื้อมาได้” หลี่เจี้ยนอันเอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า “เ้ารีบจัดการเื่แต่งงานให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นก็จะเอาแต่คิดฟุ้งซ่านอยู่ทั้งวัน”
หลี่ฝูคังคิดในใจว่า พี่ใหญ่พูดถูกว่าควรหาสตรีที่มีนิสัย เหมือนกับข้า และเป็คนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
เขาข่มตาลง แต่หางตากลับเปียกชื้นขึ้นมา ให้ทุกสิ่งสิ้นสุดลงตรงนี้ แล้วเริ่มต้นใหม่ในวันพรุ่ง
หลี่เจี้ยนอันรออยู่เป็ครึ่งค่อนวันกลับไม่ได้ยินคำตอบของหลี่ฝูคัง ในใจพลันนึกถึงคำที่น้องสาวบอกว่า อ่านเจอในหนังสือและท่องให้ฟังตอนกลางวันว่า
‘ครั้งหนุ่มสาวไม่ประจักษ์รสทุกข์โศก ชอบขึ้นหอสูง[1]
ชอบขึ้นหอสูง เพื่อเสกสรรค์กวีบทใหม่ ขืนบอกว่าทุกข์โศก
หากยามนี้รู้ซึ้งรสทุกข์โศก อยากเอื้อนมิอาจเอ่ย…’ (ประพันธ์โดย ซินชี่จี๋)
“น้องรอง?”
สิ่งที่ตอบหลี่เจี้ยนอันกลับมากลายเป็เสียงกรนของหลี่ฝูคัง คนผู้นี้ช่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ จริงๆ ผู้อื่นยังเป็กังวลอยู่ ตนเองกลับมาหลับไปเสียได้
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ฝูคังไปหาหลี่ซานที่โรงเต้าหู้ ด้วยว่ามีเื่สำคัญ
สองพ่อลูกยืนอยู่ที่ลานหลังเรือนนั่นเอง
“ท่านพ่อขอรับ หากท่านและท่านแม่เห็นว่า บ้านท่านลุงจางดีและรู้สึกว่าจางอิ๋นฟางดี ก็ให้ลูกหมั้นหมายกับจางอิ๋นฟางเถิดขอรับ”
วานนี้หลี่ซานกับจ้าวซื่อยังทบทวนเื่แต่งงานของหลี่ฝูคังและพูดคุยกันจนดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะเข้านอน คิดว่าจะเรียกหลี่ฝูคังมาพูดคุยกันคืนนี้ และเกลี้ยกล่อมให้เขาแต่งกับจางอิ๋นฟาง ผู้ใดจะรู้ว่าไม่ต้องเรียกเขาแล้ว เพราะเขากลับเป็คนมาเอ่ยปากเอง
“เ้าคิดดีแล้วหรือ”
“คิดดีแล้วขอรับ หลายวันมานี้ทำเอาลูกจิตใจไม่สงบเพราะเื่แต่งงาน และยังทำให้ท่านพ่อท่านแม่และพี่น้องเป็ห่วง เมื่อคืนพี่ใหญ่บอกว่า แรกสร้างครอบครัว หลังสร้างฐานะ ให้ลูกเริ่มต้นใหม่และตัดสินใจหมั้นหมายกับจางอิ๋นฟาง วันหน้าจะได้ร่ำเรียนอย่างมีสมาธิขอรับ”
หลี่ซานตบไหล่ลูกชายเบาๆ กล่าวว่า “ดี เ้าคิดได้แล้วก็ดี”
“ท่านพ่อเห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”
หลี่ซานดึงตัวลูกชายมาข้างๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “บ้านสกุลจางมีวาสนากับบ้านเรา ท่านปู่จางและท่านลุงจางของเ้าล้วนเป็คนดี จางจินไห่ร่ำเรียนสูงกว่าพวกเ้า ทั้งนิสัยและการเรียนล้วนคล่องแคล่วกว่าพวกเ้า วันหน้าต้องไม่มีทางผิดจากนี้ไปได้ ส่วนจางถงเจียงก็เป็สหายร่วมสำนักกับพวกเ้า พวกเ้าก็บอกว่า เขาเป็คนซื่อตรงจิตใจดี แม่เ้าบอกว่า หลิวซื่อดูแลสามี อบรมลูกๆ และจัดการงานในบ้านดียิ่งนัก น้องสาวเ้าก็บอกว่า จางอิ๋นฟางฉลาด มีจิตใจกว้างขวาง ร่าเริงแจ่มใส ซึ่งก็ดีเช่นกัน ข้ากับแม่เ้าเห็นดีด้วยที่จะเป็ดองกับสกุลจาง”
วันรุ่งขึ้นสกุลหลี่จึงเชิญแม่สื่อไปเอ่ยเื่สู่ขอที่เรือนของคนขายเนื้อแซ่จาง
ตาเฒ่าจางปลื้มใจจนแทบเป็ลมล้มพับและตอบตกลงในทันที จากนั้นก็มอบอักษรทั้งแปด[2]ของจางอิ๋นฟางแก่แม่สื่อ
คนขายเนื้อแซ่จางดีใจอย่างยิ่ง กระทั่งขายเนื้อหมูในวันนั้นให้หมดในราคาถูกๆ จากนั้นก็กลับเรือนมาดื่มสุราฉลองกับตาเฒ่าจาง
ั้แ่หลิวซื่อไปที่เรือนสกุลหลี่มา ท่าทีของนางที่มีต่อสกุลหลี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จึงเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้อย่างยิ่ง แต่ต่อให้นางไม่เห็นด้วย คนที่ตัดสินใจในสกุลจางก็เป็ตาเฒ่าจาง นางจะพูดอย่างไรก็ไม่เป็ผล
จางซิ่วไฉอยู่ในตำบลเดียวกัน จึงรู้เื่แต่งงานของสกุลจางกับสกุลหลี่สองเรือนนี้อย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเสียใจยิ่งนักว่าไม่ควรฟังคำของหม่าซื่อ และควรจะหมั้นหมายไปเสียั้แ่ปีก่อน เฮ้อ... ผิดก้าวเดียวทำให้ผิดไปเสียทั้งหมด
จางซิ่วไฉเป็คนจิตใจเข้มแข็งไม่ว่าเื่ใดก็ปลงได้ตก แต่ด้วยเื่นี้กลับถึงกับล้มป่วย
หม่าซงรู้ว่าจางซิ่วไฉกักบริเวณหม่าซื่อแม่ลูก และตนเองก็ยังล้มป่วย จึงรีบมาเยี่ยม
จางซิ่วไฉมีความสัมพันธ์อันดีกับหม่าซง จึงเล่าเื่ที่หม่าจาวพ่อลูกวางแผนเล่นงานครอบครัวตน โดยการทำลายชื่อเสียงจางอวิ๋นและยังทำให้เสียโอกาสในการแต่งงานดีๆ ไปด้วย
หม่าซงเป็พี่ชายแท้ๆ ของหม่าจาว แต่เมื่อได้รู้เื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็บันดาลโทสะและพูดต่อหน้าจางซิ่วไฉว่า “น้องสามพ่อลูกลงมือต่ำช้าไร้ยางอาย ทำเกินไปจริงๆ! ครอบครัวเ้าต้องรับเคราะห์แล้ว ข้าจะไปบอกกับพี่ใหญ่ให้พี่ใหญ่ตำหนิพวกเขา”
ในยุคสมัยนี้คนทั้งตระกูลเมื่อเสียหายก็เสียหายด้วยกันทั้งหมด ยามที่มีเกียรติก็มีเกียรติไปด้วยกัน
หม่าซงขึ้นเหนือล่องใต้รู้จักคนตั้งมากมาย จึงไม่เห็นตำแหน่งหัวหน้ามือปราบอำเภอซั่งของหม่าจาวพ่อลูกอยู่ในสายตาแต่อย่างใด
หม่าซงกลัวว่าหม่าจาวพ่อลูกจะทะเยอทะยานเกินไป ถึงยามนั้นหากก่อความเดือดร้อนใหญ่หลวงที่อำเภอซั่ง ก็จะพลอยทำให้สกุลหม่าทุกคนเดือดร้อนตามไปด้วย
จางซิ่วไฉไอสองสามครั้ง เอ่ยช้าๆ ว่า “ฝูคัง ศิษย์ข้าผู้นั้นดีงามเป็ที่สุด แต่กลับกลายไปเป็บุตรเขยบ้านอื่นไปเสียแล้ว”
หม่าซงติดต่อคบหากับสกุลหลี่มาไม่น้อย “ไม่ใช่หลี่ฝูคัง คนอื่นๆ ในสกุลหลี่ก็ล้วนดีกันทั้งนั้น”
หม่าซื่อนั่งฟังอยู่ข้างๆ พอได้ยินหม่าซงพูดเช่นนี้กลับเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา
หม่าซงปลอบจางซิ่วไฉและเมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าอ่อนล้า จึงบอกให้พักผ่อนให้ดีๆ ก่อนจะพาหม่าซื่อไปพูดคุยกันที่โถงด้านข้าง
“น้องพี่ เ้าปรามาสสกุลหลี่แล้ว ข้าได้ยินว่า เื้ัของสกุลหลี่มีท่านชายแห่งจวนเยี่ยนอ๋อง ดินแดนทางเหนือเป็ใต้หล้าของเยี่ยนอ๋อง เมื่อสกุลหลี่มีท่านชายหนุนหลัง สกุลหลี่พี่น้องจะต้องสอบได้และมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน”
“นั่นยังเป็เพียงเื่เมื่อปีกลาย ยามเดือนหนึ่งมีคนตั้งมากมายเห็นท่านชายทรงพาคนสกุลหลี่ไปที่จวนแม่ทัพหลายท่านด้วยพระองค์เอง” หม่าซงได้รู้จักคนมากมายจากการทำการค้า มีสังคมที่กว้างขวางอย่างยิ่ง มีคนเคยบอกเื่เื้ัของสกุลหลี่มาไม่ใช่แค่คนเดียวแล้ว ซ้ำยังอยากอาศัยเขาให้พาไปขอซื้อสินค้าที่ทำจากถั่วของสกุลหลี่ไปขายที่ดินแดนทางใต้ของเมืองเยี่ยนอีกด้วย
ณ อำเภอซั่ง ที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ ภายในศาลาขนาดใหญ่หลังหนึ่งในหมู่บ้านชนบท เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมเครื่องแบบสีดำของหัวหน้ามือปราบแห่งที่ว่าการอำเภอ พร้อมเหน็บดาบไว้ที่เอว กำลังยืนสนทนาเื่ของสกุลหลี่อยู่กับชายร่างอ้วนท้วนผู้หนึ่ง
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ขึ้นหอสูง หมายถึง อยากรู้ เสาะแสวงหาเพื่อให้มองได้กว้างไกล (ขึ้นที่สูงจะมองเห็นได้กว้างไกล)
[2] อักษรทั้งแปด (八字ปาจื้อ) คือ อักษรประจำวันเกิดทั้งแปด เรียกว่าเป็พื้นดวง ใช้ในการทำนายดวงชะตา ในการแต่งงานจะดูว่าสองฝ่ายมีชะตาต้องกันหรือไม่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้