ตลอดการเดินทาง สวี่ตี้ให้ความสำคัญกับของที่ตนเองจะเอากลับมาเป็อย่างยิ่ง จากที่เขาบอก ของพวกนี้ถูกเพาะปลูกที่ทางภาคใต้ แต่ว่าเพราะทุกคนไม่คุ้นเคยกับการเติบโตของพืชชนิดนี้มากนัก ดังนั้นหลายคนจึงปลูกมันจนได้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก อีกทั้งไม่รู้ว่าใช้วิธีการปลูกที่ถูกต้องหรือไม่
ทุกคนช่วยกันจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับที่แสนครึกครื้นให้กับครอบครัวจาง หลังจากจบงานเลี้ยงก็จัดที่พักให้ ครอบครัวสวี่สามคนพ่อแม่ลูกกำลังสนทนากันในห้องนอนของเรือนหลัก
จางจ้าวฉือคว้าเมล็ดข้าวโพดขึ้นมาจากถุง มองดูแล้วก็ถอนหายใจ “พวกเ้าดูเมล็ดข้าวโพดพวกนี้สิ แห้งขนาดนี้จะงอกได้อย่างไร? ถึงแม้จะเป็เมล็ดที่ปลูกลงดินแต่มันจะสามารถเติบโตจนออกฝักได้หรือ?”
สวี่เหรามองมันเทศกับมันฝรั่งหลายหัวในถุงก่อนจะเอ่ยออกมา “ข้าจำได้ว่ามันเทศกับมันฝรั่งจะต้องรอให้มันรากงอกก่อน จากนั้นก็ค่อยเอารากที่งอกใส่ลงไปในดิน ของพวกนี้ไม่ค่อยเลือกดิน ที่ไหนก็สามารถเติบโตได้”
สวี่ตี้เอาถุงที่ใส่เมล็ดแต่ละถุงมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเอ่ย “ความจริงแล้วพวกนี้เป็เมล็ดอะไรบ้างข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด รู้แค่ว่าด้านในนี้มีปวยเล้ง แต่ไม่รู้ว่านอกจากนั้นแล้วยังมีเมล็ดอะไรอีกบ้าง ถึงตอนนั้นค่อยลองดูด้วยกันแล้วกันนะขอรับ”
สวี่เหราเอ่ย “ข้าจำได้ว่าปวยเล้งจะต้องรออากาศหนาวมากๆ ถึงจะปลูกลงดินได้ ชาติก่อนตอนเพิ่งจะฤดูใบไม้ผลิในปีนั้น ตอนที่พวกเราไปค้นคว้าที่แถบชนบท ก็ยังขุดปวยเล้งออกมาจากทุ่งข้าวสาลีเลย ปวยเล้งนั่นสูงพอๆ กับข้าวสาลี คงจะหว่านเมล็ดพร้อมๆ กับข้าวสาลีได้เป็แน”
จางจ้าวฉือกล่าว “ตอนเด็กๆ ที่บ้านนอก ข้าเห็นคนแก่ปลูกข้าวสาลี ซึ่งเลย่เวลาที่ปลูกมันมาแล้ว ตอนนี้ยังสามารถเอาไปปลูกในดินได้หรือ? อีกทั้งอากาศที่นี่ก็หนาวมาก เมล็ดของพวกเรามีเพียงแค่นี้ ข้ากลัวว่าหากมันเย็นเกินไปจนตาย พวกเราจะไม่มีเมล็ดมาปลูกอีกแล้ว”
สวี่ตี้เอ่ย “ไม่เช่นนั้นพวกเราปลูกแค่ไม่กี่เมล็ดก่อน หากระถางมาสองสามใบแล้วปลูกมันลงไป ข้าคิดว่าอุณหภูมิในเรือนยังพอใช้ได้อยู่ ตอนกลางวันก็ยังสามารถตากแดดได้ เช่นนี้ก็เหมือนกับปลูกผักในเรือนเพาะชำแล้ว”
สวี่เหราเอ่ยต่อ “เช่นนั้นก็ลองปลูกในเรือนดูก่อน ส่วนอย่างอื่น รอฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่อยว่ากัน ่นี้อากาศหนาวแล้ว สถานการณ์ทางด่านเยี่ยนเหมินค่อนข้างตึงเครียด ทางพวกเราก็ต้องเพิ่มคนเดินตรวจตราเสียหน่อยแล้ว”
พอจบเื่พืชพันธุ์พวกนี้ สวี่ตี้ก็เริ่มเล่าประสบการณ์ที่ตนเองพบเจอให้บิดาและมารดาฟัง
จางจ้าวจื่อเดินทางจากเหอซีมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ระหว่างทางก็ผ่านเขตต่างๆ หรือเมืองอื่นๆ เห็นสินค้าที่เหมาะสมก็ซื้อมา แล้วนำของพวกนี้เดินทางไปยังทิศใต้ ขณะที่เดินทางไปก็ค่อยๆ จัดการของในมือไปด้วย เดินทางไปเช่นนี้เรื่อยๆ ระหว่างทางก็ขายของออกไปด้วยเพื่อเป็การระบายสินค้า ตลอดทางไม่ค่อยได้พักผ่อนกันสักเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินทางได้หนึ่งเดือนกว่าก็ถึงกว่างโจวที่อยู่ทางทิศใต้
จากกว่างโจวนั่งเรือไปเรื่อยๆ ก็ไปถึงเกาะไห่หนานจริงๆ แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้เรียกว่าเกาะไห่หนาน เรียกว่าหยาโจว
ที่นี่ไม่ได้เป็อาณาเขตของต้าเหลียง แต่เป็ระบอบปกครองตนเอง ไม่เช่นนั้นครอบครัวจางก็คงไม่ไปที่นั่น นายท่านสกุลจางทำการค้ากับที่นี่มานานหลายปี รู้จักกับผู้นำเกา ตอนนั้นที่พาครอบครัวย้ายไป ก็เพราะความสัมพันธ์ที่มีมาหลายปีเขาถึงได้ให้ครอบครัวสกุลจางหาที่พักซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ต่อมาคนบนเกาะก็พึ่งพาครอบครัวสกุลจางเป็ส่วนใหญ่ ทำการพัฒนาการค้าทางทะเล เอาสินค้าจากทะเลไปดำเนินการแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าในต้าเหลียง หลายปีมานี้คนบนเกาะหาเงินมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากที่สวี่ตี้เจอท่านตากับท่านยายและพวกท่านลุงของตนเองแล้ว หลายวันต่อมาที่อาศัยอยู่บนเกาะ ก็ตามท่านลุงใหญ่ออกทะเลไป
เพราะว่าเป็ฤดูร้อน บนทะเลมักจะมีพายุไต้ฝุ่น เรือเองก็ไม่ได้เดินทางออกไปไกล ไปแค่แคว้นเล็กๆ ใกล้ๆ เพื่อทำการแลกเปลี่ยนเท่านั้น หลังจากสวี่ตี้ไปถึงแล้ว ก็ได้เชิญให้คนท้องถิ่นมาล่ามให้โดยเฉพาะเพื่อหาเมล็ดพันธุ์ของพื้นที่นั้นๆ ของที่เอากลับมาพวกนี้ ล้วนเป็ของที่เอากลับมาจากแคว้นเล็กๆ ที่ไปเยือน
หลังจากกลับมาแล้ว ท่านตาก็ให้พวกลุงๆ เดินทางมาที่นี่ ท่านตากับท่านยายอายุอานามก็มากแล้ว จึงไม่กล้าเดินทางไกล ให้พวกท่านลุงเดินทางมาแทน และกำชับว่าไม่ว่าอย่างไรจะต้องดูแลบุตรสาวของตนเองให้ดี หากมีโอกาสให้บุตรสาวเดินทางมาเยี่ยมตนเองที่นี่ พวกท่านแก่แล้วไม่รู้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกปี จึงอยากจะมองลูกๆ ของตนเองให้มากหน่อย โดยเฉพาะจางจ้าวฉือที่แต่งออกไป แยกจากกันไปเป็เวลานานสิบกว่าปี พวกท่านคิดถึงนางมากจริงๆ
สวี่ตี้อาศัยอยู่กับครอบครัวสกุลจางหลายวัน เมื่ออยู่กับพวกท่านลุงทั้งสี่ พวกเขาได้พาสวี่ตี้ออกไปหาของทะเล นั่งเรือกลับไปที่กว่างโจวด้วยกัน หลังจากสาละวนอยู่กับร้านค้าในกว่างโจวแล้ว ก็นำของที่เหลือเดินทางไปที่อวี๋หาง
ที่อวี๋หาง สกุลจางมีร้านค้าของตนเองอยู่ เอาไว้ใช้จัดการกับของที่นำกลับมาจากทะเลโดยเฉพาะ เมื่อเอาของเก็บไว้ที่ร้านค้าแล้ว ก็ซื้อผ้าไหมจากอวี๋หาง จากนั้นก็รีบเดินทางด้วยม้าเร็วมาที่เหอซี
ตลอดการเดินทางสวี่ตี้ได้รับความรู้มามากมายมหาศาล สายตาก็เปิดกว้างขึ้นไปอีก ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตลอดทางนี้เขาได้รับความรู้ใหม่ๆ จากต่างพื้นที่มากมาย เขานำกระดาษมาหนึ่งใบเขียนชื่อสถานที่จากใต้ไปเหนือ ถึงแม้จะเรียบง่ายไปเสียหน่อย แต่ก็ทำให้สวี่เหรากับจางจ้าวฉือเข้าใจเกี่ยวกับแคว้นนี้มากยิ่งขึ้น
หิมะแรกตกลงมาไม่มากนัก ตอนเช้าตื่นขึ้นมาหิมะก็กองอยู่บนพื้นเป็ชั้นบางๆ สาวใช้ที่รับหน้าที่กวาดพื้นตื่นขึ้นมาเก็บกวาดทำความสะอาดในเรือนั้แ่เช้ามืด ยามที่สวี่จือซึ่งสวมเสื้อผ้าหลายชั้นจนเหมือนกับลูกกลมๆ สักอย่างเดินมาถึงเรือน ก็เห็นบนหลังคาของเรือนยังมีเกล็ดหิมะสีขาวเกาะอยู่เล็กน้อย
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หลังจากที่สี่พี่น้องสกุลจางสนทนากับจางจ้าวฉือไปครู่หนึ่งก็ออกไปเดินเล่นด้านนอก ผู้ที่ติดตามพวกเขาสี่คนพี่น้องมาด้วยนอกจากคนใช้ไม่กี่คนแล้ว ยังมีบุตรชายของจางจ้าวเฉิงพี่ชายใหญ่ของจางจ้าวฉือ บุตรสาวของจางจ้าวชงผู้เป็พี่รอง ซึ่งก็คือญาติผู้พี่ชายหญิงของสวี่จือนั่นเอง ในครอบครัวจางจ้าวเฉิงมีบุตรสาวคนโตคนหนึ่งซึ่งได้แต่งงานออกไปแล้ว ในครอบครัวสกุลจางบุตรสาวคนโตของจางจ้าวชงเป็ลูกหลานลำดับที่สอง ดังนั้นจึงเป็พี่สาวคนรองของสวี่จือ
บุตรชายของจางจ้าวเฉิงชื่อว่าจางอวี้อัน อายุสิบหกปี บุตรสาวของจางจ้าวชงชื่อว่าจางอวี้หลาน อายุสิบสองปี ทั้งสองคนไม่เพียงแต่จะติดตามจากทางใต้มาทางเหนือแล้ว ได้ยินมาว่ายังนั่งเรือออกทะเลไปด้วย ดังนั้นนิสัยจึงร่าเริงกันเป็อย่างยิ่ง
ตอนที่จางจ้าวฉือแต่งออกมา จางอวี้อันเพิ่งจะอายุห้าหนาว ลูกของจางจ้าวชงเพิ่งจะคลอดออกมาได้ไม่นาน ผู้คนต่างพูดกันว่าครอบครัวของน้าจะปฏิบัติต่อหลานชายหลานสาวของตนเองอย่างดี เมื่อมาดูที่จางจ้าวฉือแล้วก็ยิ่งไม่มีคำใดๆ จะค้าน
ทุกคนเดินทางมาจากตอนใต้ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมไม่ได้หนามากนัก เมื่อคืนวานจางจ้าวฉือจึงเปิดกล่องหาผ้ากับนุ่นออกมา งานเย็บปักของนางฝีมือก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ฝีมือของแม่นมลู่นั้นดีมาก นางจึงขอให้แม่นมลู่ช่วยทำชุดผ้าฝ้ายตัวใหม่ให้กับพวกเด็กๆ ด้วยกลัวว่าแม่นมลู่จะทำออกมาไม่ทัน จึงให้ป้าจ้าวไปหาผู้ที่ถนัดเื่การตัดเย็บมาสองคน จะต้องให้พวกนางทำชุดยัดนุ่นของเด็กทั้งสองคนให้เสร็จภายในวันนี้
เื่การกินยิ่งไม่ต้องพูดถึง บ้านเก่าของสกุลจางอยู่ที่อวี๋หาง ปกติแล้วในครอบครัวจะทานข้าวเป็หลัก ซึ่งข้าวที่จางจ้าวฉือตุนเอาไว้มีไม่มาก จึงให้ป้าจ้าวไปที่ร้านขายของชำ ซื้อข้าวที่ดีที่สุดมา ซื้อมาให้เยอะที่สุด ซื้อได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น
จางอวี้อันกับจางอวี้หลานเห็นท่านน้าของตนเองยุ่งทั้งนอกเรือนในเรือนก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังอยู่กับสวี่ตี้ หาอุปกรณ์มาช่วยกันปลูกพืชในเรือน
สวี่ตี้คิดมาทั้งคืนแล้วว่าการใช้กระถางเพาะปลูกนั้นให้ผลลัพธ์ไม่ค่อยดี สุดท้ายจึงตัดสินใจไปหาร้านช่างไม้ ให้คนทำกล่องไม้ออกมาหลายใบ
ช่างไม้ลงมือทำรวดเร็วมาก อีกทั้งยังทำกล่องไม้ออกมาได้ถูกต้องตามที่สวี่ตี้้าโดยที่ไม่ได้ใช้ตะปูเลยสักตัว หลังจากตัดไม้ที่ต้องใช้ออกมาเป็ซี่แล้ว ก็ใช้สิ่วแกะออกมาเป็ช่องเล็กๆ สองสามทีจากนั้นก็นำกล่องไม้เสียบเข้าไป งานฝีมือที่ทำเป็ช่องตัวต่อตามวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาเช่นนี้ ทำให้สวี่ตี้ผู้ที่เป็นักวิจัยถึงกับตาวาว
กล่องก็ทำออกมาแล้ว พวกเขาใช้ห้องทางฝั่งตะวันตกของจางจ้าวฉือมาทำเป็ห้องทดลอง เดิมทีห้องทางทิศตะวันตกนั้นใช้เป็ห้องตำราของสวี่เหรา แต่ว่าตอนนี้สวี่เหราไม่ได้ใช้ พอดีกับที่ในห้องติดกับหน้าต่างและเตาขนาดใหญ่ จึงสามารถจุดไฟขึ้นในห้องนั้นได้ ตรงหน้าต่างติดกระดาษเอาไว้ ซึ่งถึงแม้มันจะใสจนมองทะลุสู้กระจกไม่ได้ แต่ตอนนี้ทำได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
สวี่ตี้กับจางจ้าวฉือพาผู้ช่วยอีกสามคนทำสัญลักษณ์ของแต่ละเมล็ดเอาไว้ จากนั้นก็ปลูกลงไปในกล่อง สวี่ตี้ยังทำสมุดเอาไว้เล่มหนึ่งโดยเฉพาะ ทุกวันจะมาสังเกตุและจดบันทึกลงไป ทำเช่นนี้ถึงจะเข้าใจการเจริญเติบโตของแต่ละเมล็ดได้มากยิ่งขึ้น ต่อไปหากจะปลูกพืชในพื้นที่ขนาดใหญ่ก็จะสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
ส่วนข้าวโพด มันฝรั่ง มันเทศ สวี่ตี้ไม่ได้ลองปลูก ตอนที่อยู่ทางใต้ เขาเห็นพืชพันธุ์เยอะแล้ว แต่เพราะว่าบางสถานที่ไม่เหมาะสม หรือบางทีเพราะว่าปลูกพืชไม่ถูกวิธีทำให้ปลูกไม่ขึ้น บวกกับของที่ชาวบ้านได้มาก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรนอกจากกรรมวิธีการต้มแล้วก็ต้มเท่านั้น วิธีกินอย่างอื่นยังไม่ได้พัฒนาออกไป ดังนั้นคนที่ปลูกจึงไม่ได้เยอะมาก
สวี่ตี้คิดเอาไว้ดีแล้ว รอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า จะหาพื้นที่ใกล้ๆ กับที่จางจ้าวฉือปลูกข้าวสาลีมาทำการทดลองกับของพวกนี้ รอจนตนเองทดลองดีแล้วค่อยเผยแพร่ออกไป ตอนนี้หรือ ยังต้องปลูกของที่อยู่ในมือนี้ให้ขึ้นก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ทำงานไม่ได้พักกันมาสองวัน ในที่สุดก็ปลูกเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับเื่พวกนี้ จางจ้าวฉือให้ความไว้วางใจในตัวของสวี่ตี้เป็อย่างยิ่ง ตอนนั้นนางกับสวี่ตี้ต่างเคยอยู่ในห้องทดลองกันมาก่อน สิ่งที่นางทำได้ดีที่สุดก็คือผ่าแยกชิ้นส่วน ส่วนสวี่ตี้ถึงแม้จะทำการทดลองเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต แต่เพื่อข้อมูลเขาก็เคยตามไปทดลองที่ที่นาด้วยกันมาก่อน ในสามคนพ่อแม่ลูกหากจะพูดถึงความสามารถในการปลูกพืช สวี่ตี้ดีกว่าพวกนางสองคนเล็กน้อย
สวี่จือมองกล่องไม้หลายใบที่เพิ่มเข้ามาในเรือนตะวันตก หลังจากปลูกเมล็ดพวกนี้ลงไป พี่ชายก็ยังทำสัญลักษณ์ให้กับกล่องทุกใบ จากนั้นทุกวันตอนเช้าก็จะมาที่นี่ จดบันทึกลงไปบนสมุดเล่มหนึ่ง สมุดเล่มนั้นถูกวางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งตัวนางเองก็เคยเห็นมาก่อน แต่ว่าข้อมูลที่เขียนอยู่ในสมุดเล่มนั้นสวี่จือไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใด
ครอบครัวสกุลจางมาในครั้งนี้ ยังมอบผ้าฝ้ายให้กับทหารเฝ้ารักษาการณ์ของทางด่านเยี่ยนเหมิน นี่คือสิ่งที่จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อทำการค้าขายกับจางจ้าวจื่อ ส่วนค่าตอบแทนไม่ได้ใช้เงินจ่าย แต่จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อส่งคนที่มีความสามารถสูงในจวนแม่ทัพมาให้แทน
คนในจวนแม่ทัพั้แ่เด็กจะต้องเรียนศิลปะการต่อสู้ ความสามารถจึงสูงมาก ตลอดทางที่เดินทางได้ติดตามครอบครัวสกุลจางทั้งยังช่วยครอบครัวนี้ได้มาก บวกกับต่อมาครอบครัวนี้ยังทำการซื้อขายกับจวนจิ้งเป่ยโหว ครั้งนี้จึงทำตามความ้าของซื่อจื่อ โดยการซื้อผ้าหยาบกับผ้าฝ้ายมาแล้วนำมาให้ที่นี่
ใกล้ๆ กับด่านเยี่ยนเหมิน ตรงนั้นถึง่หน้าหนาวแล้ว อากาศหนาวเย็นมาก ถึงแม้มีเครื่องนุ่งห่มกันความหนาวที่ราชสำนักมอบให้มา แต่เสื้อผ้าแค่นั้นไม่สามารถลดทอนความหนาวไปได้ทั้งหมด ทุกปีจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อจะต้องคิดหาวิธีซื้อผ้ากลับมา ทั้งยังจ้างคนที่นี่มาทำชุดกันหนาวให้กับทหารรักษาการณ์ และหารายได้ให้ประชาชนของเหอซีด้วยเงินเล็กๆ น้อยๆ จากการทำเสื้อกันหนาวพวกนี้
เื่นี้ตอนที่พูดคุยกันในตอนแรก สวี่เหราก็อยู่ด้วย อย่างไรก็ต้องใช้ประชาชนของเหอซี หลังจากพูดคุยกับผู้ปกครองของเหอซีแล้ว สวี่เหราจึงสั่งคนไปจัดสรรกลุ่มสตรีและพามายังเรือนใกล้ๆ กับจวนแม่ทัพ จากนั้นก็เริ่มทำเสื้อผ้า
ทางด้านแผนของสวี่เหรา ชาวบ้านทำเสื้อผ้าฝ้ายออกมาอย่างรวดเร็ว ส่วนทางด้านจางจ้าวฉือเองก็รีบคว้าเวลานี้รีบชี้แนะแพทย์ทหารหลังจากที่ผ่านอากาศหนาวเย็นไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าอากาศหนาว จึงสอนวิธีการจัดการเมื่อได้รับาเ็จากความหนาวเพิ่มเข้าไป ต่อมาก็พาแพทย์ทหารรวมทั้งผู้ช่วยของแพทย์สนามเริ่มต้นปรุงยา ยาทาแผลที่เกิดจากความหนาวเย็น ฤดูหนาวนี้หนาวมาก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าต่อไปจะเกิดเื่อะไรขึ้น จึงทำได้แค่พยายามทำในสิ่งที่ตนเองจะสามารถทำได้ เพื่อเตรียมตัวรับมือกับอุบัติเหตุต่างๆ ที่จะถาโถมเข้ามา
หลังจากที่ครอบครัวจางอาศัยอยู่ที่เหอซีได้ไม่กี่วัน ก็ทิ้งของขวัญชิ้นใหญ่ที่นำมาด้วยเอาไว้ จากนั้นจึงพากันกลับทางใต้
ตอนที่ครอบครัวสกุลจางกลับไป ก็ได้ทิ้งคนเอาไว้ให้ นอกจากสองคนที่เตรียมตัวเปิดร้านค้าขายที่นี่แล้ว ยังมีอีกสองคนที่คอยคุ้มกันเรือนของสกุลสวี่ และอีกคนคืออาจารย์ที่เตรียมเอาไว้สอนสวี่ตี้เรียนหมัดมวย อาจารย์ผู้นี้เป็คนที่สวี่ตี้เอ่ยปากขอกับครอบครัวสกุลจางด้วยตนเอง ตอนนี้เขารู้สึกว่าถึงแม้จะอายุเลยสิบสองปีมาแล้ว อายุเกินวัยที่เรียนศิลปะการต่อสู้ได้ดีที่สุดไปแล้ว แต่ต่อไปตนเองจะต้องเดินทางไปด้านนอกบ่อยครั้ง จะต้องมีความสามารถในการป้องกันตัวเองเอาไว้ ถึงแม้แคว้นนี้จะเป็สถานที่ที่สงบสุข แต่กลับไม่ใช่โลกใบเดิมที่สุขสงบอย่างที่ตนเองเคยอยู่อาศัย ไม่มีใครรู้ว่าข้างกายตนเองจะมีเื่ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ตอนนี้สามารถเพิ่มความสามารถของตนเองได้ หากมีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็จะได้สามารถปกป้องตนเองได้
สวี่เหรากับจางจ้าวฉืองานยุ่งทุกวันจนแทบไม่เห็นเงา สวี่ตี้ชินกับสภาพงานที่ยุ่งของบิดามารดาตนเองมานานแล้ว เขาจึงอยู่ในเรือนเลี้ยงน้องสาว มีบางครั้งก็ไปดูผักในกล่องที่ตอนนี้รากงอกออกมาแล้ว มีบางครั้งก็พาสวี่จือเขียนตัวอักษรที่โต๊ะในห้องฝั่งตะวันออก ตอนนี้สวี่จือจำตัวอักษรได้หลายตัวแล้ว แต่ตัวอักษรยังเขียนได้ไม่สวยงามนัก สวี่ตี้ได้ฟังพ่อกับแม่พูดเอาไว้ว่า น้องสาวไม่ใช่สายการเรียนจริงๆ คนในครอบครัวไม่หวังให้น้องสาวเรียนเก่ง หรือจะต้องเป็สตรีที่อัจฉริยะ ขอแค่สามารถจดจำตัวหนังสือได้ ต่อไปเพียงบันทึกบัญชีเป็ อ่านจดหมายเขียนจดหมายได้ก็เพียงพอแล้ว
ความจริงแล้วสวี่จือเศร้ามาก บิดามารดาและพี่ชายต่างเป็คนที่เก่งกาจ สามารถอ่านตำราที่ตนเองไม่เข้าใจได้ ทั้งยังเข้าใจเื่ราวที่ตนเองไม่รู้อีกมากมาย พอย้อนกลับมาดูตนเอง ไม่ใช่ว่านางไม่พยายาม เื่พวกนี้ตนจะเรียนอย่างไรก็ไม่เข้าสมอง สวี่จือรู้สึกหดหู่อยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าตนเองจะไม่เหมาะสมที่จะเป็เหมือนกับคุณหนูสองสวี่เถา ที่คนทั้งเมืองหลวงต่างเรียกว่าเป็สตรีที่แสนเก่งกาจ
สวี่ตี้มองใบหน้าเศร้าสลดของน้องสาว จึงเอ่ยปากถามนางออกไปว่า “จือเอ๋อร์ เ้าดูไม่มีความสุขเลย เป็อันใดไปหรือ? หิวแล้วหรือไม่? เกอเกอไปเอาของหวานมาให้ดีหรือไม่?”
่นี้สวี่จือกินเยอะไปหน่อย ใบหน้าเล็กจึงกลมขึ้นมาก อีกทั้งรูปร่างถึงแม้จะไม่สวมชุดผ้าฝ้ายหนาๆ ตัวก็ดูพองๆ
สวี่จือถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “เกอเกอเ้าคะ จือเอ๋อร์โง่เกินไป เื่พวกนี้มักจะท่องจำได้ไม่ดีเลยเ้าค่ะ”
สวี่ตี้มองตำราพันตัวอักษรที่กางอยู่ตรงหน้าสวี่จือ แล้วพูดยิ้มๆ ว่า“เหตุใดจือเอ๋อร์ถึงพูดเช่นนั้นล่ะ เ้าไม่ได้โง่นะ จือเอ๋อร์ของพวกเราเป็เด็กที่ฉลาดที่สุด ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีใครตั้งกฎว่าจะต้องเขียนให้ได้นี่ ใช่หรือไม่? พวกเราก็ดูตัวอักษรบนตำรา สามารถจำได้ก็พอแล้ว”
สวี่จือส่ายหน้า “เกอเกอเ้าคะ ท่านไม่ต้องมาปลอบใจข้าหรอกเ้าค่ะ ความจริงแล้วในใจของข้าย่อมรู้ดี ตอนพี่สองอายุเท่าข้า ของพวกนี้ก็สามารถท่องได้แล้ว แต่ข้าท่องมาสองเดือนแล้ว ก็ยังท่องได้ไม่หมด ข้ารู้สึกว่านี่มันโง่เกินไปแล้วเ้าค่ะ”