หากถามซ่างกวนจือหลินการมาเกิดใหม่ในชาตินี้ สิ่งที่ล้นเหลือที่อยู่ในจิตใจของข้าก็คือความกล้า กล้าที่จะทำทุกสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง พู่ยอดหมวกเกราะปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดผ่านมา ในใจคิดวนเวียนถึงเื่ราวผกผันในชาติก่อนไม่หยุด ยามนี้ประตูอู่เหมิน เปิดกว้าง ต้อนรับการมาของข้าอย่างสมเกียรติ
กองศึกลั่นเป็สัญญาณดังสนั่นไปทั่วเปี้ยนจิง
อย่าได้ถามว่าเมืองหลวงแห่งนี้ผู้เป็เป็ผู้วางแผนผัง
แน่นนอนว่าต้องเป็ ซ่างกวนซิ่นจี
จัตุรัสหน้าประตูอู่เหมินคือใจกลางคือใจกลางค่ายกลที่มีพลังอำนาจรองมาจากค่ากลเก้าสังหาร
กระบวนแปดทิศ
ตอนนี้ทหารทั้งสองแสนนายต่างประจำอยู่ในตำแหน่งของค่ายกลเป็ที่เรียบร้อย
*ขอบคุณรูปภาพจาก:ภาพยนต์ red cliff สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ 2008
ทหารที่สังเกตการณ์อยู่บนยอดหอคอยต่างตื่นตะลึงกับภาพเบื้องหน้าจนร่างกายสั่นเทา นี่ถึงกับกล้าปิดล้อมเมืองหลวงเชียวหรือ นายทหารอีกคนกำลังวาดกระบวนทัพของอีกฝ่ายเพื่อนนำไปรายงานอิงกั๋วกง
ข้ามองประตูอู่เหมินที่เปิดกว้าง ความเย้ยหยันวาบผ่านสายตาอันเ็าราวกับูเาน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ ข้ายกมือขึ้นเป็สัญญาณเป็การบอกว่าให้ทหารส่วนหนึ่งตามเข้าไปในพระราชวัง ด้านหน้าขบวนคือซ่างกวนจือหลินตามมาด้วยรองแม่ทัพกวน ถัดไปเป็รถม้าของฮ่องเต้น้อย และรถลากสัมภาระบางอย่างอีกสองคันรถ
กุบ...กับ
กุบ...กับ
เกือกม้าย่ำบนพื้นหินอ่อนเป็เสียงดังสะท้อนเข้าไปในใจของเหล่าองครักษ์หลวงที่ยืนคุมเชิงอยู่ ส่วนผู้มาเยือนก็ไม่ได้สนใจสายตารอบด้านที่มองมาแม้แต่น้อย ใช้เวลาไม่นานซ่างกวนจือหลินก็ขี่ม้ามาหยุดอยู่หน้าตำหนักจินหลวนอันยิ่งใหญ่
“เ้าหนูลงมา” ซ่างกวนจือหลินเรียกฮ่องเต้น้อยลงมาจากรถม้า เมื่อเห็นมาคนลงมาเป็ที่เรียบร้อยแล้วนางก็ส่งสัญญาณให้รองแม่ทัพกวน อิงปู้และอิงเหอ ลงจากหลังม้าไปเดินคุ้มกันฮ่องเต้น้อย
คนถูกจัดแจงให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยซ่างกวนจือหลินก็บังคับม้าให้ออกเดินทันที ประตูตำหนักเปิดกว้าง ไม่มีการทูลขอเข้าเฝ้า ไม่รอให้ฮ่องเต้เรียกพบ อาชาศึกตัวโตก้าวขึ้นขั้นบันไดตำหนักไปด้วยท่วงท่าอันสง่างาม มีทหารองครักษ์คิดที่จะออกมาขวางแต่เมื่อได้เห็นสายตาของแม่ทัพที่อยู่บนหลังม้าพวกเขาก็ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกสาบ
ภายในท้องพระโรง
เหล่าขุนนางต่างมองผู้มาเยือนเป็ตาเดียว อาชาศึกเยื่องย่างผ่านไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงจนกระทั่งเข้าใกล้ฮ่องเต้มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนั้นก็มีชายชราก้าวเท้าออกมาขวางทาง
ทั้งสองหยังเชิงกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดซ่างกวนจือหลินก็เป็ฝ่ายยอมถอยหนึ่งก้าว เล่นสนุกมาเกินพอแล้วถ้าหากว่าเลยเถิดมากเกินไปเดี๋ยวจะผิดใจกันโดยใช่เหตุ
“อิงกั๋วกง” ประสานมือคำนับอย่างมีมารยาทเล็กน้อย
“ท่านแม่ทัพซ่างกวน ฝ่าาทรงรอท่านอยู่นานแล้ว” เฉินปินก้าวไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้แม่ทัพรุ่นหลาน วันนี้ช่างเป็การเปิดตัวตระกูลซ่างกวนได้ยิ่งใหญ่ ไม่ขายหน้าบรรพบุรุษ ดี!
ซ่างกวนจือหลินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวเดินออกไปหยุดอยู่หน้าบันไดขั้นแรกสุดกวาดสายตามองรอบด้านเล็กน้อย แล้วเ้าตัวก็ออกเดินต่อแล้วไปหยุดอยู่ตำแหน่งที่เหล่าอ๋องและหวงไท่จื่อยืนอยู่ไม่ใช่ตรงที่ตำแหน่งขุนนางตามที่ควรจะเป็ ขุนนางทั้งหลายที่เฝ้ามองการกระทำทุกย่างก้าวของแม่ทัพซ่างกวนผู้นี้ก็ได้แต่เบิกตากว้างราวกับเห็นผี
“ขุนศึกตระกูลซ่างกวน ซ่างกวนจือหลินถวายพระพรฝ่าาขอให้ฝ่าาทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” หญิงสาวทำเพียงประสานมือก้มหัวลงเล็กน้อย เมื่อกล่าววาจาทำความเคารพเสร็จก็กลับมายืนตรงในทันทีเ้าตัวไม่ได้รอให้ฮ่องเต้ตรัสอนุญาต อย่าว่าแต่รอให้พระองค์รับสั่งอนุญาตแม้แต่จะคุกเข่าทำความเคารพยังไม่ทำ!
“บังอาจ!เห็นฮ่องเต้แล้วเหตุใดจึงไม่คุกเขาทำความเคารพนี่มันผิดจารีต!เ้าจะฏหรือ!!” ผู้ที่ออกมาต่อว่าการกระทำของซ่างกวนจือหลินเป็ชายชราผู้หนึ่ง ดูจากอายุของเขาน่าจะมากกว่าอิงกั๋วกงด้วยซ้ำ แม้จะแก่ชราแต่น้ำเสียงยังกล่าวได้ฉะฉานยังนัก นั่นคือใต้เท้าผู้ตรวจการ ขุนนางขั้นสี่รับราชการมาสองรัชสมัย ที่เป็ที่เลื่องลือที่สุดคือความเที่ยงตรงของใต้เท้าเว่ย แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าทัดทาน ร้องเรียนเชื้อพระวงค์ขุนนางน้อยใหญ่มาก็มาก ตามจริงสมควรได้เลื่อนขั้นนานแล้วแต่ว่ากันว่านี่เป็คำสั่งลับของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ทรงอยากจะกลั่นแกล้งใต้เท้าเว่ยผู้นี้
“ใต้เท้าเว่ย...” ฮ่องเต้หลี่เจินกำลังจะตรัสห้ามขุนนางรักของตนแต่ก็โดนเ้าตัวเอ่ยปากห้ามเสียก่อน
“ฝ่าาเื่เช่นนี้จะทรงปล่อยผ่านไม่ได้นะพะยะค่ะ”
“เว่ยเจิงข้ารู้มาว่าบ้านเกิดเ้าอยู่มณฑลเหอเป่ยใช่หรือไม่” ก่อนที่ฮ่องเต้และขุนนางจะออกนอกเื่ไปไกลซ่างกวนจือหลินต้องพาพวกเขาทั้งสองกลับมาก่อน
“ใช่แล้วจะทำไม เื่นี้มิได้เป็ความลับเสียหน่อย”
“รองแม่ทัพกวน นำรายงานทางทหารไปให้ใต้เท้าเว่ยอ่านให้ทุกท่านในที่นี้ฟัง”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“เหตุใดข้าต้องอ่าน”
“เว่ยเจิงอ่านซะ” เป็ฮ่องเต้ที่ตรัสขึ้นมายามนี้ข้างกายของเขามีฮองเฮาประทับอยู่เคียงข้าง เมื่อมองภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของตนเองก็พบว่า นางกำลังจับจ้องบางสิ่งอยู่พร้อมกับร่ำไห้ออกมาเงียบๆ หลี่เจินมองตามสายตาของภรรยาก็พบเข้ากับเด็กชายตัวน้อยที่กำลังอุ้มอัฐิอยู่ นั่น...นั่น
ใช่หรือไม่
อาเซวียน...
รายงานทางทหารถูกอ่านด้วยเสียงดังก้องสะท้อนไปทั่วท้องพระโรง เนื้อหาใจความสร้างความตื่นตระหนกให้ขุนนางและเหล่าเชื้อพระวงค์ทั้งหลาย เริ่มจากการสิ้นพระชนของจิ้งเหอจ่างกงจู่ ต่อมาแคว้นเหลียวเกรงว่าจะโดนทวงถามความรับผิดชอบจึงเป็ฝ่ายชิงลงมือก่อนโดยการยกทัพมาหวังเปิดศึกกับต้าซ่ง เป็กองทัพที่มีกำลังทหารถึงห้าแสนนาย เพราะมีฏขายชาตินำความลับทางยุทศาสตร์สามหัวเมืองด่านหน้าไปให้ศัตรู หนำซ้ำยังปิดบังราชสำนัก นี่เป็เหตุให้ตระกูลซ่างกวนต้องออกมารบเพื่อปกป้องประเทศชาติ กรีธาทัพบุกแคว้นเหลียว กำจัดราชวงเย่ว์ลู่ที่บังอาจลบหลู่ ต้าซ่ง ให้สิ้นซาก และสุดท้ายแต่งตั้งโอรสในจิ้งเหอจ่างกงจู่ขึ้นครองบัลลังก์ สถาปนาราชวงค์ใหม่แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ นำเสด็จฮ่องเต้น้อยและอัฐิจิ้งเหอจ่างกงจู่กลับต้าซ่ง
นี่เป็การกระทำของคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าบังลังก์โดยไม่ไหวติงจริงหรือ
เื่ราวเหล่านี้ฮ่องเต้หลี่เจินต่างทราบรายละเอียดจากอิงกั๋วกงแล้ว นั่นจึงเป็สาเหตุให้เขาเปิดประตูเมืองต้อนรับการมาของแม่ทัพผู้นี้
“หลานสาวได้พบหน้ากันครั้งแรกอย่าทำหน้าบึ้งใส่เสด็จลุงนักสิ” ฮ่องเต้หลี่เจินยิ้มอย่างเมตตาให้สตรีตัวน้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
ด้านคนที่ถูกเรียกหลาสาวนางตวัดสายตามองชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างหงุดหงิด หลานบ้านท่านสิ! ข้ากำลังจริงจังอยู่อย่ามาขัด
“ฮองเฮาเ้าดูใบหน้าเล็กๆ นั่นสิเหมือนเ้าตอนสาวๆ ไม่มีผิด” ฮ่องเต้ชี้ให้ฮองเฮาหันมามองหน้าซ่างกวนจือหลินให้ชัดๆ เมื่อฮองเฮาปรับอารมณ์ของตนเองได้แล้วก็ทรงพินิจหน้าของแม่ทัพนางนี้อย่างจริงจัง
ด้านซ่างกวนจือหลินเมื่อเห็นพระพักตร์ฮองเฮาชัดๆ ก็ต้องใ นั่น...ท่านแม่ไม่ใช่หรือ
“เป็อย่างที่ฝ่าาตรัส เหมือนจริงๆ เพคะ ขอถามท่านแม่ทัพมารดาเ้ามีนามว่าอะไรหรือ”
“ทูลฮองเฮา โจวอิงเพคะ”
ฮองเฮาหันหน้าไปยิ้มเล็กน้อยให้ฮ่องเต้ เป็อย่างที่คิดจริงๆ
“ตระกูลโจวแห่งหลานหลิง โจวอิง?”
“ใช่เพคะ”
“เช่นนั้นเ้าก็เป็หลานแท้ๆ ของข้า โจวอิงคือน้องสาวร่วมอุทรของข้า”
ซ่างกวนจือหลินกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย
มาไกลขนาดนี้ยังมาเจอญาติ
ข้ากำลังจิงจังอยู่นะ
จริงจัง!