“ในชาติที่แล้ว ข้ามุ่งมั่นไปกับการบ่มเพาะพลัง จนละเลยการฝึกพลังจิต”
หลังจากหยวนจุนถือกำเนิดใหม่ เขามีดวงิญญาสองดวงผสานรวมเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดพลังจิตที่กระจัดกระจายในทางตรงกันข้าม
เมื่อนึกถึงชาติก่อนที่มิได้ใส่ใจการฝึกฝนพลังจิต หยวนจุนรู้สึกเสียใจเป็อย่างมาก หากเขาสามารถควบคุมวิชายุทธ์กับพลังจิตได้ในเวลาเดียวกัน คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพสิ้นกระแสปราณ และร่างกายถูกทำลายเช่นนี้
“ในเมื่อมีโอกาสฝึกฝนอีกครั้ง ข้าจะต้องคว้าเอาไว้!” หยวนจุนเม้มริมฝีปาก ทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจพลังจิตของตนเอง
พลังโอสถของยาต้าฮ่วนยังถูกดูดซึมอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่อวัยวะภายในแล้ว พลังโอสถยังแพร่ไปที่จุดตันเถียนบนด้วย
“ซู่”
ศีรษะของหยวนจุนมีแสงสีน้ำเงินจางๆ ส่องออกมาก่อนจะแผ่ลงมาปกคลุมทั่วร่าง ท่ามกลางคืนที่มืดมิดและเงียบสงัดเช่นนี้ ทำให้เขาโดดเด่นเป็พิเศษ
เมื่อมองไปเห็นหยวนจุน ปู่ของเสี่ยวเมิ่งที่นั่งอยู่บนธรณีประตูนอกตัวบ้านก็ทำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์ “การฝึกพลังจิตนั้นยากกว่าการบ่มเพาะพลังยุทธ์ ข้าว่าทำเช่นนี้ เขาคงไม่ได้ใช้วิธีที่ถูกต้องแน่”
“ยาต้าฮ่วนเป็โอสถระดับสาม แม้แต่ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับตะวันยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกว่าจะกลั่นพลังโอสถ หากหยวนจุนสามารถดูดซับพลังโอสถได้ทั้งหมด จะสามารถเลื่อนระดับพลังจิตให้สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน!”
ชายชราลูบเครายาวและกล่าวต่อ “เพียงแต่ เขามิได้ฝึกฝนวิธีการเปิดพลังจิต จึงทำให้พลังจิตนั้นถูกจำกัด”
คิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายชราจึงลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นเศษดินบนตัว แล้วเดินแกว่งแขนทั้งสองไปหาหยวนจุน
บนจุดตันเถียนบน ยาต้าฮ่วนขยายพลังอย่างต่อเนื่องจนปกคลุมทั่วร่างกาย ทำให้เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย แต่หยวนจุนก็ยังกัดฟันทน ปล่อยให้พลังจิตเคลื่อนไหวภายในจุดตันเถียนบน เพื่อจะได้เพิ่มความแข็งแกร่งในการควบคุมพลังจิต
ทันใดนั้น หยวนจุนััได้ว่ามีมือชราที่หยาบกร้านกำลังกดไปที่หน้าผากของเขา ก่อนที่หยวนจุนจะลืมตา วิธีฝึกพลังจิตทั้งหมดก็เข้ามาในสมองของเขา
หยวนจุนเพ่งมองตัวอักษรที่หนาแน่นอยู่ในสมองอย่างละเอียด อดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจออกมา
นึกไม่ถึงว่านี่คือวิธีฝึกพลังจิตที่สมบูรณ์ที่สุด!
วิธีฝึกพลังจิตและวิชาจิตพลังยุทธ์นั้นเหมือนกัน เพราะเป็วิธีที่สามารถชี้นำให้ใช้พลังจิตได้อย่างถูกต้อง ซึ่งแบ่งเป็ 4 ประเภทเช่นกัน คือ เ้าฮั่ว เนี่ยผาน เจวี๋ยซื่อ และจิงเสิน
ชายชราถ่ายทอดวิธีการฝึกพลังจิตให้หยวนจุน วิธีนั้นเรียกว่า เจ็ดหฤทัยสูตร เป็ระดับเนี่ยผานขั้นสูงที่พบเห็นได้ยาก
“เพื่อเห็นแก่เสี่ยวเมิ่ง ข้าจะมอบของขวัญให้เ้าอีกอย่างหนึ่ง”
หยวนจุนพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ เขาได้ยาต้าฮ่วนอันล้ำค่ามาจากมือของชายชรา ตอนนี้เขายังได้รับการถ่ายทอดวิธีฝึกพลังจิตอีก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาต้องมองชายชราเนื้อตัวเปื้อนเปรอะผู้นี้ใหม่เสียแล้ว
เขาไม่กล้าคิดอะไรมากจึงทำได้เพียงสงบจิตใจ และพยายามทำความเข้าใจเจ็ดหฤทัยสูตรอย่างละเอียดต่อไป
“การฝึกพลังจิตระดับเนี่ยผานให้สำเร็จไม่ใช่เื่ง่าย อาศัยเพียงสติปัญญาของเ้า อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน!”
ชายชรามองหยวนจุนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเอ่ยปากพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ
เมื่อเห็นหยวนจุนไม่พูดอะไร เขาจึงค่อยๆ เดินกลับเข้าไปยังบ้านไม้
“วี้”
พลังจิตบริเวณจุดตันเถียนบนของหยวนจุนถูกแบ่งออกเป็ 7 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนอยู่ภายใต้แรงปรารถนาที่แตกต่างกัน
ความเย่อหยิ่ง ความริษยา ความโกรธ ความเกียจคร้าน ความโลภ ราคะ และความละโมบ!
ความทรงจำในชาติที่แล้ว และความทรงจำในตอนนี้ของหยวนจุน ต่างพรั่งพรูออกมาเหมือนดั่งสายน้ำ
ด้วยแรงปรารถนาที่ปรากฏออกมาทุกส่วน ทำให้พลังจิตบริเวณจุดตันเถียนบนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ความแตกต่างของเจ็ดหฤทัยสูตร คือ ทุกครั้งที่จิตใจของหยวนจุนเอาชนะแรงปรารถนาส่วนหนึ่งได้ อีกส่วนหนึ่งจะตามต่อกันมา ทำให้เขาวนเวียนอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกทั้งเจ็ดตลอดเวลา
ภาพในใจของเขาที่เกิดจากความทรงจำและจินตนาการ ปรากฏขึ้นราวกับว่ากำลังเกิดขึ้นจริง แม้หยุดฝึกไปแล้วก็ยังทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอยู่
“เจ็ดหฤทัยสูตรสมกับเป็วิธีการฝึกพลังจิตระดับเนี่ยผานจริงๆ การเริ่มต้นนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด ทั้งยังยากที่จะยับยั้งความรู้สึกทั้งเจ็ด ก่อนจะกลั่นออกมาเป็พลังจิตกับพลังควบคุมอารมณ์!”
หลังจากพูดจบ สีหน้าของหยวนจุนดูซีดเซียว เขาใช้ฝ่ามือยันก้อนหินแล้วสูดหายใจเข้า เมื่อได้สติ เขาพบว่าเสื้อคลุมยุทธ์บนตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อนานแล้ว
หยวนจุนฉีกเสื้อคลุมยุทธ์ของตระกูลหลิว และเปลี่ยนเป็เสื้อคลุมยุทธ์ที่เสี่ยวเมิ่งซื้อให้เขาแทน ทำให้รู้สึกเบาตัวขึ้นไม่น้อย
หยวนจุนรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อมีลมจากูเาพัดมา เขายืนมองูเาที่อยู่รายรอบ แล้วปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ
“ซ่า ซ่า”
ขณะที่หยวนจุนกำลังผ่อนคลาย แผ่นกระดาษปริศนาที่ลอยเหนือกระแสปราณของเขาก็ส่งเสียงชัดขึ้นกว่าเดิม
เมื่อมองไปรอบๆ เขาไม่เห็นผู้คน และไม่รู้สึกถึงร่องรอยของนักยุทธ์หรือสัตว์อสูรด้วย หยวนจุนยกริมฝีปากขึ้นด้วยความประหลาดใจ โดยที่มิได้สนใจความเปลี่ยนแปลงของกระดาษนั่นเลย
เมื่อเขากลับมาที่จวนตระกูลหลิวอีกครั้ง ทหารยามทั้งสองไม่ได้ห้ามเขาเหมือนเมื่อวาน แต่กลับโค้งคำนับและแสดงท่าทีต้อนรับอย่างสุภาพ
ที่ศาลาสวนดอกไม้ นอกจากหญิงรับใช้ที่กำลังนั่งสัปหงกแล้ว หยวนจุนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิวหรูเยียน
“เ้ามาแต่เช้าเชียว กลัวว่าข้าจะโกรธอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเขานั่งลง น้ำเสียงงัวเงียของหลิวหรูเยียนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง นางกำลังพูดจาล้อหยวนจุน เขาจึงค่อยๆ หันไป ก่อนพบว่าหลิวหรูเยียนสวมเพียงชุดกระโปรงสั้นที่มีสายคาด สองขาขาวเคลื่อนไหว ทำให้หน้าอกของผู้ที่ได้มองใจเต้นแทบไม่เป็จังหวะ
หยวนจุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อยับยั้งไฟราคะในตัวแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีเวลาคุยกับเ้าตลอด หากไม่ใช่เพราะเื่ในเมือง ข้าคงไม่มาเหยียบจวนตระกูลหลิวแน่นอน”
หลิวหรูเยียนนั่งบนม้าหินข้างศาลาสวนดอกไม้อย่างผ่อนคลาย ยิ้มกริ่มแล้วถามว่า “เพื่อเื่ในเมืองจริงหรือ? หรือเพื่อแม่นางเสี่ยวเมิ่งกันแน่?”
หยวนจุนหางตากระตุกทันที เขาไม่รู้ว่าการที่เข้ามาจวนตระกูลหลิว เพื่อเมืองเทียนอวิ่น หรือเพื่อเสี่ยวเมิ่งกันแน่
เขามิใช่คนชั่วร้าย แต่ก็มิใช่คนดี เขาเพียงแค่รู้สึกว่าการมีอยู่ของทหารรักษาเมืองเทียนอวิ่นทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“แม้ไม่มีทหารรักษาเมือง อำนาจและบารมีของตระกูลหลิวก็มีมากอยู่แล้ว ในเมื่อเป็ถึงผู้นำอันดับหนึ่งของเมือง เหตุใดต้องทำเื่ที่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงด้วยล่ะ?”
เมื่อหลิวหรูเยียนได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นางกล่าวว่า “หยวนจุน เ้าคงมิได้อยากสอดรู้เื่ของผู้อื่นใช่หรือไม่?”
“เนื่องจากตระกูลหลิวเป็ผู้นำอันดับหนึ่งของเมือง ตอนนี้จึงมีทั้งอำนาจและบารมี แม้แต่อาวุธที่มีก็ไม่เคยด้อยกำลังและเสียเปรียบให้แก่ผู้ใด ในโลกนี้สิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญที่สุดคือพละกำลัง เ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้ว ชาวบ้านในเมืองเทียนอวิ่นจะชื่นชมเ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ขอกล่าวกับเ้าตามตรง พวกเขาเกิดมาฐานะต้อยต่ำ คุ้นชินกับชีวิตที่ถูกกดขี่อยู่แล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้