เหล่าผู้คนมองเงาร่างตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ชายผู้นี้ปฏิเสธข้อเสนอของฟู่หยิงอย่างไร้เยื่อใย ทั้งยังเหยียดหยามอีกฝ่าย ช่างเ็ายิ่งนัก
แต่ขณะเดียวกันเปลวไฟยังคงแผดเผาร่างฟู่เจิน ฟู่เจินจึงส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด เขาดูอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ คล้ายกำลังจะตาย
“พี่เย่ ช่วยฟังข้าหน่อยได้หรือไม่?” ตอนนั้นเองเซี่ยจวิ้นหลงเดินออกมาจากท่ามกลางฝูงชน ก่อนกล่าวพร้อมโค้งตัวให้เย่เฟิง
“ได้แน่นอน” เย่เฟิงกล่าว ซึ่งเขานั้นเห็นอีกฝ่ายเป็สหายมานานแล้ว
“แม้คนผู้นี้จะเลวทราม แต่ยังไงซะก็เป็คนของวังเทพโอสถข้า ถือว่าเห็นแก่ข้า เ้าจะปล่อยตัวเขาสักครั้งจะได้หรือไม่?” เซี่ยจวิ้นหลงกล่าวขณะมองเย่เฟิง เมื่อพูดจบ เขาทำการสื่อสารผ่านจิตไปหาเย่เฟิงทันที “เย่เฟิง ในวังเทพโอสถ บิดาของฟู่เจินเป็อาจารย์ลุงข้า คนผู้นี้โหดร้ายมาก เ้าไม่จำเป็ต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเพราะฟู่เจิน ถ้าต่อไปฟู่เจินกล้ายั่วยุพี่เย่ ก็เชิญจัดการที่นอกวังเทพโอสถได้ตามสบาย ”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ลอบพยักหน้า เมื่อคิดทบทวนไปมา คำพูดของเซี่ยจวิ้นหลงก็สมเหตุสมผล ในสายตาเย่เฟิง ฟู่เจินเป็แค่ตัวตลกเท่านั้น เขาไม่จำเป็ต้องเอาชีวิตตนไปเสี่ยงอันตรายเพราะฟู่เจิน ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็อยู่ในถิ่นของอีกฝ่าย เย่เฟิงรู้ว่าเซี่ยจวิ้นหลงหวังดีกับเขาจึงกล่าวเช่นนี้ “ในเมื่อพี่เซี่ยขอร้องให้ปล่อยคนต่ำต้อยนี่ งั้นข้าก็จะปล่อย หากเขากล้ายั่วยุข้าอีก ข้าจะไม่ปรานีอีกต่อไป!”
จากนั้นเขาสะบัดมือออกไป พลันเปลวไฟที่ลุกโชนบนร่างฟู่เจินก็ดับมอดลง ร่างกายเต็มไปด้วยคราบเขม่าควันสีดำ ราวกับไม่มีใคร แต่ยังพอััได้ถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ตอนนั้นเองเห็นเย่เฟิงยกเท้าขวาขึ้น ก่อนจะเตะร่างฟู่เจินออกไปจากแดนมรดก เสียงโอดครวญดังขึ้นอีกครั้ง ฟู่หยิงเห็นฉากนี้ก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาตและรีบไปพยุงพี่ชายของนาง
ฟู่หยางที่มองดูอยู่ที่โลกภายนอกกัดฟันแน่น บุตรธิดาของเขาล้วนเป็อัจฉริยะและควรจะมีคนหนึ่งได้รับมรดกสูงสุด แต่เพราะการปรากฏตัวของเย่เฟิง ทั้งสองจึงสูญเสียโอกาสแย่งชิงมรดกสูงสุดไป อีกอย่างฟู่เจินยังถูกเปลวไฟของเย่เฟิงทำร้ายจนได้รับาเ็สาหัส กระทั่งไม่รู้ว่าอนาคตจะรักษาให้กลับมาเป็เหมือนเดิมได้ทั้งหมดหรือไม่ นี่ทำให้ฟู่หยางเกลียดเย่เฟิงเข้ากระดูกดำ จนแทบอยากกระโจนเข้าไปในแดนลับแล้วฆ่าเย่เฟิงทิ้งเสีย
ในแดนลับ เย่เฟิงไม่สนใจสองพี่น้องตระกูลฟู่ เมื่อสักครู่เขาถูกฟู่เจินกับอี้ชิงโจมตี ทำให้เขาได้รับาเ็ จำต้องฟื้นฟูโดยเร็ว จากนั้นเขาหยิบขวดหยกออกมา ก่อนจะเทยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วนำเข้าปากทันที เขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มปรับสมดุลลมปราณ
ผู้คนมองไปยังแดนมรดกแถวที่สอง ั้แ่อี้ชิงกับฟู่เจินถูกเย่เฟิงเตะออกจากแดนมรดก บัดนี้ในแดนมรดกแถวที่สองเหลือเพียงนี่จ้านเทียนและเย่เฟิงสองคน ส่วนแดนมรดกแถวที่หนึ่งมีผู้ฝึกยุทธ์หลายสิบคน แต่กลับไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปยังแถวที่สอง พวกเขาน่าจะกลัวเย่เฟิง นอกจากเย่เฟิงแล้ว นี่จ้านเทียนก็แข็งแกร่งใช่ย่อย ก่อนหน้านี้พลังของเขาไม่ใช่เล่นๆเลย เพราะทำให้อี้ชิงยอมศิโรราบในหนึ่งกระบวนท่า ดังนั้นแม้พวกเขา้าจะไปเยือนแถวที่สองมากแค่ไหน แต่ก็มีเพียงความตายที่รออยู่ ทุกคนจึงตัดสินใจอยู่แถวที่หนึ่งน่าจะดีกว่า
นี่จ้านเทียนยังคงอยู่ในสภาวะเรียนรู้พร้อมแสงโคจรรอบกาย คล้ายมีเจตจำนงต่อสู้แผ่ออกมาจากร่างเขาจาง ๆ ประหนึ่งนักรบแต่กำเนิด เหมือนกับว่าพลังที่เขาเรียนรู้ในแดนมรดกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการปรุงยาแม้แต่น้อย แต่เป็พลังต่อสู้ที่เขาเชี่ยวชาญ ในห้วงแห่งการเรียนรู้นี้ นี่จ้านเทียนเปลี่ยนไปจนดูน่าหวาดกลัวขึ้น
เย่เฟิงนั่งฌานในแดนมรดก ยาเม็ดแปรเปลี่ยนเป็ฤทธิ์ยาแล้วไหลเวียนตามเส้นชีพจรของเขา ก่อเกิดพลังประหลาดห่อหุ้มร่าง ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นฟูอาการาเ็ของเขา แม้อยู่ในขั้นตอนการรักษา แต่เขาก็ััความน่ามหัศจรรย์ของแดนมรดกนี้ได้ ในขณะที่าแค่อย ๆ ฟื้นฟู เขาปล่อยพลังจิตไปัักับพลังที่อยู่รอบกาย จากการฝึกฝนทักษะหล่อิญญา ทำให้พลังจิตของเย่เฟิงแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันมาก จากนั้นเขายังเรียนรู้อำนาจฟ้าดินที่ลึกลับ ดังนั้นเย่เฟิงจึงเรียนรู้พลังทุกอย่างในแดนมรดกได้อย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานเย่เฟิงก็เข้าสู่ห้วงเรียนรู้อันลึกซึ้ง พร้อมกับร่างกายเปล่งแสงแห่งการเรียนรู้คล้ายเชื่อมโยงกับฟ้าดิน
ฉากนี้ทำให้ผู้คนกะพริบตาปริบ ๆ พลางคิดในใจว่า “เย่เฟิงผู้นี้สมกับเป็อัจฉริยะที่สามารถเอาชนะอี้ชิงและฟู่เจินได้ แม้อยู่ในขั้นตอนการรักษาตัวก็ยังตกสู่ห้วงเรียนรู้ลึกซึ้งได้ด้วย”
ตอนนี้ทุกคนต่างให้ความสนใจกับเย่เฟิงและนี่จ้านเทียน พวกเขารู้ว่าผู้สืบทอดมรดกสูงสุดอาจเป็หนึ่งในสองคนนี้ แม้พวกเขาไม่สามารถคว้ามรดกสูงสุดมาได้ แต่ก็ยินดีเป็ผู้ชม พวกเขาต่างอยากรู้ว่าใครกันที่จะได้รับมรดกสูงสุดไปครอง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่หลาย ๆ คนคิดว่าผู้ที่จะได้มรดกสูงสุดคงจะเป็นี่จ้านเทียน ส่วนเย่เฟิงแม้จะมีความสามารถและพลังต่อสู้แก่กล้า แต่เมื่อเทียบกับนี่จ้านเทียน ยังถือว่าด้อยกว่ามาก
“วูบ!” ผ่านไปสักพัก จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้คนหันไปมอง ก่อนจะเห็นร่างนี่จ้านเทียนเปล่งแสงสว่างไสว กลิ่นอายแห่งการต่อสู้พวยพุ่ง ราวกับสถานที่แห่งนั้นกลายเป็สนามรบ
“ดูนั่นสิ นี่จ้านเทียนเหมือนตื่นขึ้นมาแล้ว เขาน่าจะเรียนรู้พลังแห่งการต่อสู้ที่พิเศษ ร่างกายจึงแข็งแรงทนทาน พลังต่อสู้ก็กล้าแกร่งขึ้นหลายเท่า!” มีคนหนึ่งกล่าวขณะมองนี่จ้านเทียนด้วยความเหลือเชื่อ โอกาสในแดนลับยอดเขาเทพโอสถขึ้นอยู่กับตัวเ้าว่าจะคว้ามาได้หรือไม่ ส่วนนี่จ้านเทียนเป็คนหนึ่งที่คว้าโอกาสนั้นไว้แน่น เขาไม่เพียงแต่มีพร์ แต่ยังเก็บชะตาได้มหาศาล สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาประสบความสำเร็จ
“นี่จ้านเทียนแข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้ เขาตื่นขึ้นมารอบนี้คงจะได้รับมรดกสูงสุด ทีนี้จะไม่มีใครต่อสู้กับเขาได้แล้ว ส่วนเย่เฟิงนั่นต่อให้แกร่งแค่ไหนก็ไม่ใช่คู่ปรับของเขา เพราะงั้นเขาจะต้องก้มหัวให้กับนี่จ้านเทียนแต่โดยดี” ผู้คนตกตะลึงขณะมองแสงโชติ่โคจรรอบกายนี่จ้านเทียน นี่จ้านเทียนคือผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะต่อต้านได้ หลาย ๆ คนคิดเช่นนี้
ในขณะที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา จู่ ๆ นี่จ้านเทียนลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็สีทองแฝงด้วยความน่าเกรงขาม ราวกับดวงตาแห่งาาา ที่ซึ่งในใต้หล้ามิมีใครสู้ได้!
ดวงตาสีทองของนี่จ้านเทียนกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบอี้ชิงและฟู่เจินหายไปจากแดนมรดกแล้ว แต่แทนที่ด้วยเงาร่างหนึ่ง ทำให้นี่จ้านเทียนชะงักไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดว่าคนสุดท้ายที่เขาจะต่อสู้ด้วยก็คือเย่เฟิง!
สวะขั้นบ่มเพาะกายาผู้ที่เขาเคยดูถูก กลับกำจัดอี้ชิงและฟู่เจิน ทั้งยังอยู่ในแดนมรดกเดียวกับเขา
จากนั้นสีหน้าของนี่จ้านเทียนกลับมาเป็ปกติ ดวงตาสีทองเผยประกายแสงประหลาด ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ไม่ว่าเย่เฟิงจะมายังแดนมรดกแถวที่สองได้อย่างไร แต่การที่ได้สู้กับเขานี่จ้านเทียนนับว่าเป็โชคร้ายของเย่เฟิง อีกเดี๋ยวเขาจะใช้วิธีที่โหดร้ายอำมหิตกำราบเย่เฟิงเสีย เพื่อให้ได้มาซึ่งมรดกสูงสุด และทำให้เย่เฟิงลิ้มรสชาติของการตายทั้งเป็ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน เพียงมองเย่เฟิงอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเย่เฟิงตื่นขึ้นมา นี่จ้านเทียนถึงเคลื่อนไหว
ดวงตาสีทองเผยประกายคมกริบ ก่อนจะมองไปที่เย่เฟิง พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “ในที่สุดเ้าก็ตื่นแล้ว”
เสียงนี้ประหนึ่งเสียงระฆัง ราวกับมีพลังบางอย่างที่ทำให้ผู้คนยอมศิโรราบ
“เ้ารอข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถามขณะมองนี่จ้านเทียนที่มีลมปราณแกร่งขึ้น
“ใช่” นี่จ้านเทียนพยักหน้า “เ้ามีพร์ไม่เลว แต่เ้าก็เป็ได้แค่หินทางเท้าที่ปูให้ข้าไปสู่มรดกสูงสุด โดยที่ไม่มีโอกาสโต้ตอบ”
น้ำเสียงของนี่จ้านเทียนดูโอหัง ราวกับเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอันแรงกล้า
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?” เย่เฟิงกล่าว ความแค้นระหว่างเขากับนี่จ้านเทียนถือว่าลึกซึ้งมาก
“อย่าคิดว่าเอาชนะอี้ชิงกับฟู่เจินแล้วจะสู้กับข้าได้ ถ้าเ้าคิดเช่นนั้นก็ไร้เดียงสายิ่งนัก!” นี่จ้านเทียนกล่าวเสียงเย็น
“เ้าจงยอมแพ้กับมรดกสูงสุดซะ ไปให้พ้นจากหน้าข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาของผู้คนก็เผยประกายแหลมคม นี่จ้านเทียนผู้นี้ก็เช่นกัน เขาเอ่ยวาจาแข็งกร้าว สั่งให้เย่เฟิงยอมแพ้กับมรดกสูงสุด ราวกับกำลังมอบของขวัญให้เย่เฟิงอย่างไรอย่างนั้น
“ฝันไปเถอะ!”
เย่เฟิงกล่าวพร้อมกับมีแสงที่น่ากลัวปะทุออกจากร่าง เขาเดินออกมาโดยไม่รอให้นี่จ้านเทียนพูดสิ่งใด ก่อนจะไปเยือนแดนมรดกที่นี่จ้านเทียนอยู่ ขณะเดียวกันเขายังปล่อยพลังฝ่ามือเข้าโจมตีนี่จ้านเทียน
ศึกต่อสู้ของพวกเขาสองคน ไยต้องมัวแต่พิรี้พิไรเล่า?
พลังฝ่ามือของเย่เฟิงก่อให้เกิดลมกระโชกแรง มันไปเยือนนี่จ้านเทียนในพริบตา ทำให้นี่จ้านเทียนชะงักไปชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าเย่เฟิงจะโจมตีตรง ๆ เช่นนี้!