หลังจากที่เมิ่งฉิงร่อนลงสู่พื้น สาวงามผู้นั้นพลันกลับมาเยือกเย็น เจตจำนงอันหนาวเหน็บรอบตัวนางได้กลายเป็แสงที่โปร่งใส ใครก็ตามที่เข้าใกล้นางจะถูกแช่แข็ง ทุกคนต่างก็ถอยหลัง แม้แต่กองกำลังดาบนภาโลหิตเองก็เช่นกัน
“ช่างเยือกเย็นเกินไปแล้ว”
ทว่าหญิงสาวที่สวยงามขนาดนี้ หลายๆ คนต่างทราบแล้วว่ามีเพียงหลินเฟิงเท่านั้นที่อยู่ในใจของนาง
เมิ่งฉิงเดินไปเบื้องหน้ารูปปั้นและถามอย่างเ็าว่า “นี่คือทางเข้าสู่เขตต้องห้าม?”
“ใช่แล้ว นี่คือทางเข้าสู่เขตต้องห้ามของตระกูลจื่อ”
บางคนในฝูงชนกล่าวขณะพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาต่างไม่กล้าเดินไปไหน เพราะใครๆ ก็หวาดกลัวเมิ่งฉิง หากอีกฝ่ายโกรธขึ้นมาอีกรอบ พวกเขาคงพบจุดจบอย่างผู้คนของตระกูลจื่ออย่างแน่นอน
ความแข็งแกร่งของเมิ่งฉิงนั้นทรงพลังเกินไป แม้แต่ผู้าุโตระกูลจื่อยังต้องถูกสังหารในพริบตาเดียว
เมื่อเมิ่งฉิงมองไปที่ทางเข้าของเขตต้องห้าม นางพลันยกมือขึ้นมา ทันใดนั้นก็ปล่อยหมัดปะทะกับประตูทางเข้าของเขตต้องห้ามอย่างรุนแรง
“ตูม! ตูม! ตูม!”
ผืนดินสั่นะเือย่างต่อเนื่องและมีเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ อย่างไรก็ตามประตูทางเข้าเขตต้องห้ามกลับไม่สั่นไหว มันยังคงปิดสนิท แม้กระทั่งรูปปั้นก็ไม่ขยับเขยื้อน
“ตูม! ตูม! ตูม!”
เมิ่งฉิงกระหน่ำรัวหมัดใส่ประตูทางเข้าสู่เขตต้องห้ามไม่มีหยุด แววตาของนางยังคงเยือกเย็น ไม่มีความผันผวนแม้แต่น้อย
ในที่สุดหลังจากลงมือไปหลายครั้งก็ไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ เมิ่งฉิงก็ยอมแพ้ จากนั้นนางก็หันไปทางฝูงชนและกล่าวว่า “ข้าจะเปิดประตูได้อย่างไร?”
“มันต้องใช้เืทายาทสายตรงของตระกูลจื่อ แล้วหยดเืลงในรูของรูปปั้น มันถึงจะเปิดออกได้ แต่ตอนนี้ตระกูลจื่อได้…”
มีบางคนตอบคำถามของนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ คนที่กล่าวก็หันไปมองซากศพที่นอนเกลื่อนพื้น เห็นได้ชัดว่าสายเืโดยตรงของตระกูลจื่อได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว
“เื”
สีหน้าของเมิ่งฉิงดูอึมครึมคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จึงหันไปทางร่างของผู้าุโตระกูลจื่อ เมื่อนางโบกมือคราหนึ่งซากศพของอีกฝ่ายก็ลอยเข้ามา แล้วเืที่ถูกแช่แข็งก็ถูกนำออกจากซากศพที่เพิ่งตายไปหมาดๆ นั้น
เมิ่งฉิงโบกมืออีกครั้ง แล้วเืที่ถูกแช่แข็งก็ไหลเข้าไปในรูของรูปปั้น เมื่อเข้าไปในรู เืก็ละลายลงในพริบตา ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สายตาของเมิ่งฉิงดูเลื่อนลอย จนกระทั่งนางหันไปมองคนที่ตอบคำถามนางเมื่อครู่ ทำให้คนผู้นั้นรู้สึกได้ว่า เพียงแค่นางเหลือบมองเท่านั้นก็สามารถแช่แข็งร่างกายคนที่ถูกมองได้ คนธรรมดาทั่วไปอย่างพวกเขาไม่อาจัันาง พวกเขาทำได้เพียงมองดูจากระยะไกลเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าประตูบานนี้น่าจะไม่เปิดอีกรอบ มิเช่นนั้นหลังจากที่หลินเฟิงเข้าไปด้านในล่ะก็ ผู้าุโตระกูลจื่อน่าจะไล่ตามเขาเข้าไปแล้ว คงไม่รออยู่ข้างนอกจนถึงเมื่อครู่” คนในฝูงชนอธิบายและกล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ผู้คนของตระกูลจื่อต่างก็ต้องเข้าไปในเขตต้องห้ามเช่นกัน แต่มักจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาทุกคนออกมาได้โดยไม่พึ่งความช่วยเหลือจากด้านนอก หรือบางทีมันอาจควบคุมจากภายในนั้นก็ได้”
“นานแค่ไหนที่คนของตระกูลใช้เวลาอยู่ข้างในนั้น?”
เมิ่งฉิงถามกลับทันที เมื่อนางได้ยินว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่เข้าไปด้านในก่อนหน้านี้ ตอนนี้นางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
“ข้าไม่แน่ใจ บางทีอาจหลายเดือนหรือหลายปี”
“หลายเดือน… หลายปี…”
เมิ่งฉิงพึมพำกับตัวเอง แล้วหันไปรอบๆ ก่อนกล่าวกับกองกำลังดาบนภาโลหิตว่า “พวกเ้าอยากไปก็จงไปก่อนเถอะ”
ไม่มีใครตอบรับคำสั่งของนาง พวกเขายังคงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ราวกับรูปปั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจอีกครั้ง จริงๆ แล้วหลินเฟิงเป็ใครกันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้คนจำนวนมากมารอเขา แม้จะต้องรอไปอีกหลายเดือนหรือหลายปีด้วยความเต็มใจ
…
ภายในเขตต้องห้าม หลินเฟิงในตอนนี้ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ตอนนี้หลินเฟิงยังคงยืนจ้องรูปปั้นอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
แน่นอนว่าหลินเฟิงทราบดีว่า รูปปั้นตรงหน้าไม่ใช่รูปปั้นของจริง แต่เป็ร่างไร้ลมหายใจของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว ทว่าร่างกายกลับไม่เน่าเปื่อย และนั่งนิ่งอยู่ตรงนั่นเหมือนกับเป็รูปปั้นของจริง
ต้วนซินเยี่ยยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังหลินเฟิง ขณะที่สายตาก็จับจ้องรูปปั้นประหลาดตรงนั้นเช่นกัน นางราวกับถูกรูปปั้นดึงดูดความสนใจไปทั้งหมด
ในขณะนั้นจิตใจของต้วนซินเยี่ยและหลินเฟิงก็ราวกับย้ายมาสู่โลกอีกใบที่กว้างใหญ่ บนท้องฟ้ามีร่างเงากำลังขี่สัตว์อสูรปีศาจอยู่ สัตว์อสูรปีศาจตนนั้นเป็ปีศาจงูสีม่วงมีความยาวประมาณร้อยเมตร มันกำลังกลืนกินหมอกสีม่วงแล้วคายออก จนเมฆกระจายหายไปทั้งหมด ช่างเป็ฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
เหนือท้องฟ้ามีสายฟ้าฟาดราวกับเทพพิโรธ สายฟ้าสีม่วงนั่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง เมื่อสายฟ้าได้ฟาดไปที่ร่างเงาและปีศาจงูนั่น แสงสีม่วงก็ได้หมุนไปรอบร่างของพวกเขา
ร่างเงาที่สง่างามและน่าเกรงขามดังกล่าวหาใช่ใครอื่น นอกเสียจากร่างไร้ชีวิตที่อยู่หน้าตำหน้าใกล้แม่น้ำสีม่วงนั่น
ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังจะเหาะเหินไปทั่วใต้หล้า เสาะหาหนทางไปทั่วทวีป ไร้ซึ่งความอ่อนแอ
หลินเฟิงรู้สึกว่าสิ่งที่ปรากฏในหัวของเขาทั้งหมด มันทำให้หัวใจของเขาต้องเต้นแรง เมื่อครู่เขาได้ยืนอยู่หน้ารูปปั้น ทันใดนั้นดูเหมือนว่ารูปปั้นประหลาดนั้นจะลืมตาขึ้น ทำให้เขาจมดิ่งเข้าสู่โลกอีกใบ
นี่ถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง ตอนนี้หลินเฟิงยังนับว่าอ่อนแอนักเมื่อเทียบกับผู้คนอีกจำนวนมาก หนทางของเขายังอีกยาวไกล
ในขณะนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่ทะยานอยู่บนท้องฟ้าก็หันหน้ามา ทำให้หลินเฟิงเริ่มสั่นเทา เพราะเขารู้สึกว่า ดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นั้นกำลังมองทะลุดวงิญญาของเขา
“ในที่สุดก็มีคนเข้ามายังโลกของข้า”
เสียงที่ดูคลุมเครือได้ลอดออกจากปากของอีกฝ่าย ทำให้ร่างกายของหลินเฟิงต้องสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขายังมีชีวิตอยู่... เขายังมีสติและยังไม่ตาย
“ไม่ต้องแปลกใจไป จิติญญานั้นเป็สิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก แม้ร่างกายจะตายไป แต่จิติญญาก็ยังไม่ดับสูญ แม้เนื้อหนังของข้าจะเน่าสลายไปตามกาลเวลา แต่เพราะเมื่อก่อนข้ามีจิติญญาที่แข็งแกร่ง หลังจากที่ตายไปก็ยังเหลือเศษเสี้ยวของจิติญญาและจิตสำนึก ทำให้ข้าอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามหลังจากวันนี้ข้าก็จะอันตรธานไปแล้ว!”
เนื้อหนังแม้ถูกทำลายไป แต่จิติญญากลับไม่ดับสูญ!
หลินเฟิงทั้งประหลาดใจและสงสัยว่า เขามีระดับการบ่มเพาะระดับไหน
จากเสียงพูดของเขาที่ประทับลงในใจของหลินเฟิงนั้น ราวกับว่าเขาเป็วีรบุรุษผู้เดียวดาย หลังจากนี้ไปชายผู้นี้ก็จะลาจากโลกใบนี้ไปชั่วนิรันดร์
“ั้แ่ครั้งแรกที่จื่อเชียนมาที่นี่ ข้าก็ได้ตั้งกฎเอาไว้สำหรับรุ่นต่อๆ ไปว่า มีเพียงคนที่มีความรักเท่านั้นถึงสามารถเข้ามาหาและรับพรจากข้าได้ แล้วจื่อเชียนก็ปฏิบัติตามกฎข้อนี้อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เขายอมให้ลูกหลานของเขาเข้ามา ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้ทั้งที่พวกเ้าไม่ใช่ลูกหลานของเขา แต่กลับเข้ามาที่นี่ได้ หรือบางทีนี่อาจเป็โชคชะตา ข้าได้พบกับจื่อเชียนในครั้งแรก แต่ตอนนี้… ในยามที่ข้ากำลังจะจากไปนั้น ข้ากลับพบพวกเ้า ข้ารู้ว่าพวกเ้าทั้งสองต่างก็จิติญญาทางสายเื และหนึ่งในพวกเ้าจะมีอัจฉริยะที่แท้จริง”
ชายผู้นี้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาดังกังวานอยู่ในหัวของหลินเฟิงและต้วนซินเยี่ย คำพูดของเขาทำให้หลินเฟิงถึงกับต้องสั่นสะท้าน พวกเขาทั้งสองมีจิติญญาทางสายเื?
ต้วนซินเยี่ยนั้นมีจิติญญาทางสายเื เื่นี้หลินเฟิงย่อมทราบดีอยู่แล้ว
แต่หลินเฟิงก็มีจิติญญาทางสายเืเช่นกัน?
“จิติญญากลืน์” หลินเฟิงตัวสั่นสะท้านราวกับนึกขึ้นได้ ครั้งหนึ่งมันต่างถูกผู้คนคิดว่ามันเป็จิติญญาขยะ แต่แท้จริงแล้วมันคือจิติญญาทางสายเือันทรงพลัง
แต่ทำไมบิดาของหลินเฟิงถึงไม่ได้จิติญญากลืน์ มิหนำซ้ำผู้คนจากตระกูลหลินก็ไม่มีจิติญญากลืน์ จึงมีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น นั่นคือมารดาที่เขาไม่เคยพบมาก่อนผู้นั้น เป็เ้าของจิติญญาทางสายเื!
“สาวน้อย ข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว เ้าอ่อนแอกว่าเขาก็จริง แต่ข้าทำให้เ้าแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่เ้าต้องทำความเข้าใจกับมันไปสักระยะ ถ้าเ้าตกลงล่ะก็ เ้าแค่พยักหน้าแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
คนผู้นั้นกล่าวอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนหมายถึงต้วนซินเยี่ย
หลินเฟิงไม่รู้ว่าต้วนซินเยี่ยจะตอบโต้เช่นไร แต่หลังจากนั้นเขาได้ยินผู้นั้นกล่าวขึ้นมาอีกว่า “เยี่ยม ข้าจะมอบความรู้บางอย่างให้แก่เ้าด้วยเช่นกัน เ้าควรพยายามและทำความเข้าใจมันต่อไป”
สิ้นเสียงของคนผู้นั้นแล้ว ต้วนซินเยี่ยก็รู้สึกว่าร่างกายของนางกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง ภาพเหตุการณ์บางอย่างในสมองของนางได้หายไปและความแข็งแกร่งอันน่าอัศจรรย์ได้แทรกซึมเข้าสู่สมองของนางโดยตรง
ในขณะที่ความคิดหลายอย่างกำลังตีกันในหัวของหลินเฟิงจนวุ่นวาย เมื่อเขาหันไปหาคนผู้นั้นแล้ว เขากลับเห็นเพียงดวงตาและรอยยิ้มที่จริงใจประดับอยู่บนใบหน้านั้น
“ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แม้ข้าจะกำชับกับลูกหลานของตระกูลจื่อที่เข้ามาว่า ให้เขาส่งคนเข้ามาที่นี่ แต่เพราะครั้งนี้จะเป็ครั้งสุดท้าย ข้าจึง้าผู้มีพร์ที่สามารถสืบทอดพลังของข้าได้ ข้าไม่ได้้าผู้สืบทอดเป็จำนวนมาก แต่เ้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว การบ่มเพาะของเ้าแม้จะไม่สูงนัก แต่พลังจิติญญานั้นมากกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาเสียอีก ดังนั้นเ้าจึงเป็คนที่เหมาะสมที่สุด”
หลินเฟิงอายุแค่ 17 ปี มีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 แต่ในสายตาของอีกฝ่ายนั้นกลับมองว่าเป็การบ่มเพาะที่ไม่สูง ในใต้หล้านี้มีอัจฉริยะอยู่มากมาย แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาคือพลังจิติญญาของหลินเฟิงเท่านั้น