“ให้คนอื่นลงมือแต่กลับไม่กล้าลงมือเอง แล้วอย่างนี้จะเรียกตัวเองว่าเป็ผู้าุโของนิกายได้อย่างไร?” หลินเฟิงกล่าวแดกดันออกมาอีกประโยค จากนั้นก็หันกลับไปตัดหัวสัตว์อสูรปีศาจงูหลามั์ต่อ
เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นะเืของหลินเฟิง เห่อฉงก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเขา และเชื่อในคำพูดของหลินเฟิง เช่นเดียวกับม่อเสียที่ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปยุ่งกับหลินเฟิง ครั้งก่อนที่มีเงามายืนอยู่ตรงหน้าเขาโดยตรง เขาก็หวาดกลัวมากพออยู่แล้ว จนถึงตอนนี้มันกลายเป็ความกลัวที่ฝังลึกลงไปในใจ
ยิ่งผ่านไปนานเท่าไรคลื่นสัตว์อสูรก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ส่วนศิษย์ของนิกายหยุนไห่ก็มาเสริมกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาของทุกคนต่างเปล่งประกายแพรวพราว ขณะที่กระโจนเข้าไปในฝูงสัตว์อสูรปีศาจเพื่อออกล่าพวกมัน ราวกับเป็สัตว์อสูรที่บ้าคลั่ง
ในที่สุดหลิ่วเฟยก็มาถึง นางเห็นหลินเฟิงอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร และกำลังใช้ดาบต่อสู้กับสัตว์อสูรปีศาจจนเืสาดกระเด็นไปทั่ว โดยที่หลินเฟิงไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของขอบเขตแห่งจิติญญา เพียงแค่ใช้พละกำลังในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เท่านั้น ถึงแม้จะเป็แค่การเหวี่ยงดาบไปมาอย่างไร้ระเบียบ แต่ทุกดาบที่เขาฟัน ล้วนเต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
ดาบของหลินเฟิงสามารถควบคุมความเร็ว ความแม่นยำ และความแข็งแกร่งได้อย่างอิสระ แม้ว่าจะไม่ใช้เคล็ดวิชาดาบ แต่ก็ยังแข็งแกร่งอยู่มาก ฝูงชนจึงดูไม่ออกว่า พลังที่แท้จริงของเขามันทรงพลังมากขนาดไหน
“สมควรตาย!!!” หลิ่วเฟยด่าหลินเฟิงในใจ ขณะคว้าธนูจากทางด้านหลังมายิง ลูกศรแหวกว่ายผ่านอากาศไปที่หัวของสัตว์อสูรที่หลินเฟิงกำลังจะฆ่า
หลินเฟิงหันหลังกลับไปมองก็พบหลิ่วเฟย ที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาเ็า เขายิ้มให้กับนางเพียงเบาบางและไม่สนใจนางอีก
“โฮก!!!” ทันใดนั้นเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดก็ดังสนั่น เสียงฝีเท้าดังอึกทึกครึกโครมมาแต่ไกล จนแผ่นดินสั่นะเืขึ้นมา ทุกคนรู้สึกราวกับว่าแผ่นดินกำลังจะถล่ม ทำให้สีหน้าของแต่ละคนพลันเปลี่ยนไป
“สัตว์อสูรปีศาจที่ทรงพลังมาแล้ว รีบหนีเร็ว!”
ผู้คนมากมายเริ่มถอยหลังหนี กลิ่นอายที่น่ากลัวของสัตว์อสูรปีศาจแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ หมอกสีดำค่อยๆ แผ่ขยายและคืบคลานเข้ามา ต้นไม้ระหว่างทางที่ถูกหมอกััก็พลันเหี่ยวเฉาและแห้งตายทันที
“ช่างน่ากลัวอะไรอย่างเช่นนี้!”
ผู้คนต่างวิ่งหนีกันอย่างบ้าคลั่ง สัตว์อสูรปีศาจตนนั้นอย่างน้อยๆ คงอยู่ในระดับจิติญญาเป็แน่ หากศิษย์สายนอกออกไปเผชิญหน้ากับมัน นั่นคือการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อหลินเฟิงรู้สึกถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรปีศาจจึงถอยร่นออกมา เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถจัดการกับคลื่นสัตว์อสูรนี้ได้ เมื่อครู่นี้เป็เพียงคลื่นสัตว์อสูรระดับต่ำเท่านั้น
ขณะที่หลินเฟิงกำลังก้าวถอยหลัง จู่ๆ ก็มีแรงกดดันเข้ามาปะทะกับร่างของเขา ผลักดันร่างของเขาจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างของเขาแข็งทื่อและไม่สามารถก้าวถอยหลังได้
“ไอ้สารเลว!” หลินเฟิงะโอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยสีหน้าเย็นะเื และมองไปที่ม่อเสียซึ่งอยู่ด้านหลัง ไม่ต้องเปลืองสมองคิดก็รู้ว่าใครเป็คนทำ มีเพียงแค่ผู้าุโม่อเสียเท่านั้นที่สามารถกดดันไม่ให้เขาถอยหลังได้
แม้ว่าม่อเสียจะได้ยินหลินเฟิงะโอย่างโกรธเกรี้ยว แต่เขาก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด ทั้งยังหัวเราะอย่างเ็า เขาต้องอับอายเพราะถูกศิษย์สายนอกคนหนึ่งข่มขู่ด้วยประโยคไม่กี่คำ จะให้ทนอดกลั้นไหวได้อย่างไร?! นอกจากนี้เขาก็คิดแล้วคิดอีกว่า จริงหรือที่ผู้ใช้จิติญญาแห่งเงานั่น อยู่ใกล้ๆ หลินเฟิงตลอดเวลา??? ม่อเสียได้สำรวจบริเวณรอบๆ หลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่เห็นวี่แววของจิติญญาแห่งเงาเลย
ความจริงแล้วม่อเสียไม่ได้แน่ใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายจะไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้จึงใช้วิธีนี้เพื่อทดสอบหลินเฟิง
กลิ่นอายของสัตว์อสูรยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อมันเข้ามาใกล้ๆ แผ่นดินก็พลันสั่นะเืราวกับจะพังทลายลงให้ได้ ฝูงชนเห็นกลุ่มหมอกสีดำแพร่กระจายไปทุกทิศทาง และสัตว์อสูรปีศาจที่อยู่รอบๆ หมอก ไม่มีตัวไหนที่ไม่มีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น
“จบเห่แน่ ผู้าุโม่อเสียจงใจสร้างสถานการณ์ให้เขาตาย”
ทุกคนพากันหนีไปอยู่ด้านหลังของม่อเสีย ยกเว้นแค่หลินเฟิงที่ถูกปิดกั้นด้วยแรงกดดันของม่อเสีย แน่นอนว่าฝูงชนต่างรู้อยู่แก่ใจ ที่หลินเฟิงเป็แบบนี้ก็เพราะม่อเสีย พวกเขาอดไม่ได้ที่จะด่าหลินเฟิงในใจว่า ช่างไม่รู้จักสถานะของตัวเองเอาเสียเลย นี่แหละ คือผลของการไปขัดใจผู้าุโ
“กลิ่นอายของสัตว์อสูรแข็งแกร่งเช่นนี้ หากข้ายังอยู่ที่นี่คงหนีความตายไม่พ้นแน่”
สัญชาตญาณในร่างกายของหลินเฟิงกรีดร้องขึ้นมา ก่อนที่ร่างของเขาจะกะพริบหายไปอยู่ด้านหลังของม่อเสีย
“หึ!!! ดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่จิติญญาแห่งเงาจะไม่ได้ตามมันมาด้วย” ม่อเสียแสยะยิ้มอย่างเ็า แล้วะโต่อไปอีกว่า “ในฐานะที่เป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ แต่กลับเลือกที่จะหลบหนีการต่อสู้ นับว่าเป็ความอับอายของนิกายหยุนไห่ยิ่งนัก สมควรถูกลงโทษ!!!”
จบประโยคนี้ ร่างของม่อเสียก็ปลดปล่อยเถาวัลย์ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความแข็งแกร่งและความเร็วของมัน ยากที่ใครจะต้านทานได้ เพียงชั่วพริบตาเถาวัลย์เ่าั้ก็พุ่งประชิดตัวของหลินเฟิงทันที
ร่างของหลินเฟิงพลันแข็งทื่อ เพราะเถาวัลย์ได้พุ่งเข้ามารัดร่างของเขาราวกับงูั์ที่กำลังเลื้อยรัดร่างเหยื่อ มันม้วนกอดรัดหลินเฟิงอย่างแ่า ทำให้หลินเฟิงไม่สามารถขยับตัวได้
“จิติญญาแห่งนักรบของผู้าุโม่อเสีย ก็คือจิติญญาเถาวัลย์!”
ฝูงชนต่างพากันตื่นใ ดูเหมือนว่าผู้าุโม่อเสีย้าจะสังหารหลินเฟิงจริงๆ ผลลัพธ์ของศิษย์สายนอกที่กล้าแข็งข้อกับท่านผู้าุโได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
แต่มีบางคนลอบก่นด่าม่อเสียอยู่ในใจ เป็ผู้าุโของนิกายแท้ๆ แต่กลับลงมือทำร้ายศิษย์สายนอกของตัวเอง เื่นี้ได้แสดงให้เห็นถึงนิสัยใจคออันคับแคบของม่อเสีย แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใครล่ะจะกล้าทำให้ม่อเสียโกรธ?
“ไอ้เดรัจฉาน!!!” หลินเฟิงะโอย่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นประกายแสงดาบก็สว่างวูบขึ้นมา ถึงแม้ว่าดาบของเขาจะทรงพลังมาก แต่ก็ทำได้แค่สร้างรอยแผลตื้นๆ ที่เถาวัลย์เท่านั้น ไม่สามารถทำให้มันขาดออกจากกันได้
ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะมีพร์ที่โดดเด่น และสามารถบดขยี้ผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน หรือแม้กระทั่งระดับที่สูงกว่าตัวเองได้ แต่ม่อเสียเป็ถึงผู้าุโสายใน ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันเกินไป ซึ่งจุดนี้พร์ไม่สามารถเติมเต็มได้ อีกทั้งยังต้องมาเจอความไร้ยางอายและเล่ห์เหลี่ยมของม่อเสียอีก ดังนั้นหลินเฟิงจึงหมดปัญญาที่จะรับมืออีกฝ่ายได้
“เป็ถึงผู้าุโสายในที่น่าเกรงขาม แต่กลับมีพฤติกรรมที่ไร้ยางอายเช่นนี้หรือ???”
ในตอนนั้นเองได้มีเสียงเ็าะโออกมา ทำให้ฝูงชนพากันตกตะลึง เพราะคนที่ะโออกมาก็คือ หลิ่วเฟย สาวงามในฝันของเหล่าศิษย์ชายในนิกายหยุนไห่
“หืม?” ม่อเสียขมวดคิ้วและจ้องเขม็งไปที่หลิ่วเฟย เขาร้องหึออกมาอย่างเ็า แต่กลับไม่กล้าโจมตีไปที่นาง แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักเบื้องลึกเื้ัของหลิ่วเฟยเป็อย่างดี บิดาของหลิ่วเฟยกับบิดาของม่อเสียมีชื่อเดียวกันว่า ชั่งหลัน แต่เมื่อเอ่ยถึงชั่งหลัน สิ่งแรกที่คนของนิกายหยุนไห่จะนึกถึงก็คือ หลิ่วชั่งหลัน เนื่องจากหลิ่วชั่งหลันจะมีชื่อเสียงมากกว่าม่อชั่งหลัน
ในอดีต เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลันและหนานกงหลิงประมุขของนิกายหยุนไห่ ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด พร์ของพวกเขาเหนือกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน และมิตรภาพของพวกเขาทั้งสองคนนั้นก็ลึกซึ้งเป็อย่างมาก
หลิ่วเฟยปลดปล่อยจิติญญาแห่งลูกศรออกมา นางดึงสายคันธนูสีเงินออกกว้าง และสร้างลูกศรหกดอกออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็เล็งยิงไปที่จิติญญาเถาวัลย์
หลิ่วชั่งหลันมีลมปราณที่ทรงพลังมาก ซึ่งทำให้หลิ่วเฟยรู้สึกอิจฉามาโดยตลอด ถึงแม้ว่านางจะเกลียดหลินเฟิง แต่นางก็ไม่ชอบที่ม่อเสียรังแกรุ่นเยาว์เช่นนี้ การกระทำของเขาจะเรียกว่าหน้าด้านก็ไม่ผิด
รู้ทั้งรู้ว่าการโจมตีนี้ไม่มีประโยชน์ แต่หลิ่วเฟยก็จะยังยิงออกไป ผลลัพธ์ที่ได้คือไม่สามารถทำลายจิติญญาเถาวัลย์ได้
สีหน้าของหลินเฟิงฉายแววขบขันขึ้นมา เพราะเขาคาดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้ว คนที่ยื่นมือมาช่วยเขาในยามคับขันจะเป็หลิ่วเฟย
“จิตใจของคนเราช่างยากจะหยั่งถึง เป็ข้าเองที่สะเพร่าจนเกินไป” หลินเฟิงรู้สึกหดหู่ เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะโชคร้ายมาพบกับม่อเสียเข้า และคาดไม่ถึงว่าม่อเสียจะไร้ยางอายขนาดนี้
นอกจากนั้นที่นี่มีเพียงแค่ม่อเสียเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยเหตุนี้ต่อให้ม่อเสียสังหารเขาไป ก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านม่อเสีย ถึงแม้ว่าหลิ่วเฟยจะกล้าต่อต้าน แต่ด้วยพลังของนางก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
“โฮก…” เสียงคำรามที่ดุร้ายของสัตว์อสูรลอยออกมาจากหมอกสีดำ ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันเพิ่มขึ้น และคอยกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไป
“มันจะต้องเป็สัตว์อสูรปีศาจขั้นที่ 7 แน่ๆ” ม่อเสียรู้สึกถึงกลิ่นอายอันทรงพลังที่ลอยเข้ามาใกล้ สัตว์อสูรปีศาจระดับจิติญญาขั้นที่ 7 เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 แต่เมื่อรวมกับพละกำลังที่แข็งแกร่งของมัน ทำให้มันทรงพลังยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ทั่วไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินเฟิงที่อยู่เพียงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 เลย… ดวงตาของม่อเสียเป็ประกายขึ้นมา
“ม่อเสีย เ้าอย่าได้บังอาจ!!!” เสียงะโด่าดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า แม้ตัวจะยังมาไม่ถึง แต่เสียงก็ได้มาถึงก่อนแล้ว
สีหน้าของม่อเสียพลันเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาฉายแววชั่วร้ายขึ้นมา ก่อนจะสั่งให้จิติญญาแห่งเถาวัลย์ที่พันรอบตัวของหลินเฟิงโยนเขาเข้าไปในหมอกสีดำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้