“แค่ก! แค่ก!”
เย่ชิงหานไม่ได้ตอบคำถาม ทำเพียงรีบนั่งขัดสมาธิขึ้นทำการรักษาอาการาเ็บนร่างกาย เมื่อสักครู่ที่เข้าปะทะชนตรงๆ กับพลังแสงรูปกระบี่หลายสาย แม้่เวลาสำคัญจะเบี่ยงตัวหลบจุดอันตรายให้รอดพ้นไปได้ แต่ตามลำตัวและแขนขาก็ยังถูกพลังแสงรูปกระบี่แทงจนทะลุเป็รูให้เห็นอยู่อย่างมากมาย
หึ่ง...
แต่ตอนนี้ลู่ซีทนรออีกต่อไปไม่ไหวแล้วเขารีบปล่อยกระแสพลังแสงสีขาวออกมาจากร่างกายพุ่งไปปกคลุมยังร่างของเย่ชิงหานโดยตรง ทันทีที่กระแสพลังแสงสีขาวเริ่มปกคลุมร่างของเย่ชิงหานาแที่อยู่บนร่างกายจึงเริ่มที่จะประสานกันขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าที่เป็เช่นนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากแหวนจักรพรรดิิญญาที่อยู่บนนิ้วของเขาด้วย
หลังจากผ่านไปสิบนาทีเย่ชิงหานจึงได้ลืมตาขึ้น ใบหน้าแสดงรอยยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ท่านผู้าุโ ตอนนี้ถือว่าข้าผ่านด่านแล้วหรือไม่?”
“แน่นอน เ้าเกือบจะสังหารข้าด้วยซ้ำไป รีบบอกมาเร็วๆ เ้าทำได้อย่างไร?” ลู่ซีดึงกระแสพลังกลับแล้วรีบพยักหน้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“อืม...ข้าบอกท่านผู้าุโได้แต่ท่านห้ามแพร่งพรายออกไปเป็อันขาด!”
เย่ชิงหานนิ่งเงียบลงชั่วครู่ตัดสินใจที่จะบอกแก่ลู่ซี สิ่งที่ลู่ซีทำมาตลอดเกือบหนึ่งปีนี้เขาล้วนมองเห็นด้วยสองตามาโดยตลอด ลู่ซีคงจะต้องคอยช่วยเหลือตนเองอยู่อย่างลับๆ ด้วยเป็แน่แท้หาไม่แล้วเขาคงไม่มาฝึกฝนเป็เพื่อนตนเองจนสามารถััรับรู้ถึงพลังกฎเกณฑ์แห่งพื้นที่ได้อย่างแน่นอน
“เมื่อสักครู่วิชาที่ข้าใช้โจมตีออกไปเป็วิชาต่อสู้ร่างอสูรที่ข้าได้รับมาหลังจากที่ทำการรวมร่างสัตว์อสูร วิชานี้สามารถทำให้ผู้ที่มีพลังิญญาในระดับเดียวกันมึนงงสติเลอะเลือนขึ้นได้!”
“วิชาต่อสู้ร่างอสูร? ผู้มีพลังิญญาในระดับเดียวกันมึนงงสติเลอะเลือน! สุดยอด...ด...ด...ด...” ลู่ซีไม่มีคำพูดใดจะกล่าวออกมาได้ เขาไม่คาดคิดว่าโลกจักรวาลชั้นนอกอย่างทวีปัเพลิงเล็กๆ แห่งนี้กลับมีเคล็ดวิชาต่อสู้ที่แหกกฎ์เช่นนี้อยู่ด้วย แต่เมื่อเขานึกถึงหญิงสาวเสื้อคลุมแดงที่ดูจะแหกกฎ์มากยิ่งกว่าภายในใจจึงเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ลู่ซีดวงตาปรากฏประกายแสงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอยู่ไม่ขาด ผ่านไปสักพักเขาพูดขึ้นด้วยความเคร่งขรึมและจริงจังยิ่งกว่าเก่า “เ้าหนู เ้าจะต้องทะลวงผ่านด่านที่สามไปให้ได้ เข้าไปยังภายในหอเทพเพื่อออกไปจากูเาสุสานทวยเทพแห่งนี้ให้ได้ ต่อไปเส้นทางฝึกยุทธ์ของเ้าถึงจะกว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขตมากยิ่งขึ้น! พลังฝีมือของเ้าจักต้องบรรลุไปถึงในระดับขอบเขตที่เ้าไม่อาจจะคาดเดาได้อย่างแน่นอน!”
“เหอะๆ...แน่นอนว่าข้าจะต้องทะลวงผ่านทั้งสามด่านออกไปให้ได้ ข้ายังไม่อยากที่จะตายอยู่ที่นี่ ด้านนอกยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังเฝ้ารอการกลับไปของข้าอยู่! อืม...ถ้าอย่างนั้น? ท่านผู้าุโตอนนี้ข้าสามารถไปที่หุบเขาเล็กๆ นั้นได้หรือไม่? ข้าไม่ได้กินเนื้อย่างและไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกายมาเป็เวลานานแล้ว คิดถึงความรู้สึกนั้นจะแย่อยู่แล้ว...” ดวงตาของเย่ชิงหานปรากฏประกายแสงแห่งความเด็ดเดี่ยวขึ้น ลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้นต่อลู่ซี
“ไม่มีปัญหา ไป! ไปพักผ่อนให้เพียงพอจากนั้นค่อยไปทะลวงผ่านด่านที่สามให้สำเร็จ!” ลู่ซียิ้มขึ้นจากนั้นขยับวูบขึ้นคราหนึ่งพาเย่ชิงหานเลือนหายไปจากห้องโถงใหญ่
.................................
ภายในหุบเขาเล็กๆ
เย่ชิงหานนั่งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบมองดูแสงเงาบนผิวน้ำที่ส่องแสงระยิบระยับ ภายในใจเกิดความรู้สึกมากมายขึ้น
ชั่วพริบตาเดียวกาลเวลาผ่านไปถึงสี่ปีแล้ว
เด็กหนุ่มที่อ่อนด้อยประสบการณ์ไร้เดียงสาเมื่อแรกเริ่ม ตอนนี้กลายมาเป็ชายหนุ่มแล้ว หน้าตาที่อ่อนเยาว์เปลี่ยนแปลงเลือนหายไปตามกาลเวลา บริเวณคางเริ่มปรากฏเส้นขนหนวดเคราบางๆ ขึ้น ส่วนสูงของร่างกายสูงขึ้นอีกหนึ่งระดับศีรษะคน น่าจะสูงราวเมตรเจ็ดแปดสิบเิเเห็นจะได้ แม้ว่ารูปร่างจะเปลี่ยนแปลงขึ้นแต่ลักษณะของร่างกายไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยังคงดูเหมือนเด็กหนุ่มร่างกายผอมแห้งแรงน้อยแค่ถูกลมพัดก็จะปลิวลอยไปฉันนั้น
“อืม ไม่รู้ว่านางเด็กน้อยที่อยูู่เาด้านหลังตระกูลตอนนี้เติบโตเป็อย่างไรบ้างแล้ว? ยังมีเยว่ชิงเฉิง เย่ชิงอู่ หลายปีผ่านไปแล้วไม่รู้ว่าพวกนางจะสวยขึ้นและมีเสน่ห์ขึ้นมากมายเพียงใด?”
เย่ชิงหานใช้นิ้วถูจมูกไปมากำลังคิดที่จะทอดถอนใจออกมา ทันใดนั้นไม่คาดคิดว่าเงาของตนเองที่อยู่ในสระน้ำพลันแตกกระจายออก เงาสีดำสายหนึ่งพุ่งโผล่ขึ้นมาจากในน้ำพุ่งตรงเข้าไปยังอ้อมอกของเขาในทันที
“ลูกพี่ คิดอะไรอยู่ถึงได้เคลิบเคลิ้มถึงเพียงนี้?” เสี่ยวเฮยทำตัวคลอเคลียอยู่ภายในอ้อมอกของเย่ชิงหานอย่างคึกคักพร้อมกับส่งกระแสเสียงถามขึ้น
“อืม ไม่มีอะไร เ้าไปจับไก่ป่ามาสักหลายๆ ตัวหน่อยพวกเรามาย่างเนื้อกินกัน!” เย่ชิงหานยิ้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้น
“ได้เลยลูกพี่!”
เสี่ยวเฮยเมื่อได้ฟังดวงตาทั้งสองข้างทอประกายแสงเจิดจ้าขึ้น มันรีบะโมุดหายเข้าไปยังพุ่มไม้ข้างสระ ผ่านไปไม่นานก็คาบไก่ป่าและกระต่ายหลายตัวออกมา เย่ชิงหานรีบจัดแจงชำแหละและย่างเนื้อขึ้น หนึ่งคนหนึ่งอสูรเริ่มเสพสุขกับมื้ออาหารอันโอชะขึ้นในทันที
“อืม...นี่ก็คืออสูรสัตว์เลี้ยงของเ้ารึ?”
ในตอนที่เย่ชิงหานกินไปได้สักพักลู่ซีพลันปรากฏตัวขึ้นมา ในวันนั้นเขาพาเย่ชิงหานมาถึงที่แห่งนี้เสร็จก็หายตัวไปในทันที ตอนนี้ปรากฏตัวออกมาอย่างฉับพลันและมองเห็นเสี่ยวเฮยจึงได้พูดขึ้นด้วยความสนอกสนใจ
“ท่านผู้าุโกล่าวผิดแล้ว!” เสี่ยวเฮยเห็นลู่ซีปรากฏตัวขึ้นรีบะโเข้าไปในอ้อมอกของเย่ชิงหานทันทีโดยไม่ยอมจะเผยตัวออกมา เย่ชิงหานจึงกอดมันขึ้นพร้อมกับลูบหัวของมัน “ท่านผู้าุโกล่าวผิดแล้ว เขาไม่ใช่อสูรสัตว์เลี้ยงของข้าแต่เป็พี่น้องของข้าต่างหาก เป็พี่น้องที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าไปทั้งชีวิต!”
“ลูกพี่ ท่านคือลูกพี่ของข้าตลอดไป!” เสี่ยวเฮยเมื่อได้ฟังรีบส่งกระแสเสียงพูดกับเขาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาเล็กๆ บนหัวของมันถูไถไปมาภายในอ้อมกอดของเย่ชิงหาน แสดงออกถึงความรัก ความผูกพัน และความซื่อสัตย์จริงใจที่มีให้เขา
“อืม เ้าจะต้องดีต่อเขาให้มากๆ!” ลู่ซีมองดูเขาบนหัวของเสี่ยวเฮยอย่างมีความหมายแอบแฝงที่ลึกซึ้งอยู่ภายในดวงตา จากนั้นจึงพูดขึ้นต่อ “เ้าเตรียมตัวจะไปทะลวงด่านที่สามเมื่อไหร่? ข้าขอบอกเ้าเอาไว้ก่อนว่าด่านที่สามนายท่านผู้สร้างูเาสุสานทวยเทพเป็ผู้กำหนดแบบทดสอบเองทุกอย่าง ทั้งสลับซับซ้อนและน่าปวดหัว หากไม่ระมัดระวังต่อให้เ้ามีโชควาสนามากมายเพียงใดก็ยากที่จะทะลวงผ่านไปได้ ถึงทำได้ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควรเลยทีเดียว!”
“เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งปีเส้นทาง์ภายในสุสานทวยเทพก็จะเปิดออกแล้ว เนื่องจากเ้าที่ทะลวงผ่านจนมาถึงด่านที่สามทำให้ระดับความยากของด่านแรกและด่านสองลดลงไปมาก ดังนั้นอาจจะเป็ไปได้ว่าเ้ายังไม่ทันที่จะทะลวงผ่านด่านที่สามได้ ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ของทวีปัเพลิงก็ตามหลังเ้ามาทันแล้ว! ดังนั้นเ้าต้องรีบทำเวลาแล้วละ”
“เป็อย่างนั้นหรอกรึ? ถ้าอย่างนั้นก็เป็วันพรุ่งนี้แล้วกัน อย่างน้อยก็ได้พักมาหลายวันแล้ว!” เย่ชิงหานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงตัดสินใจว่าจะเข้าไปทะลวงฝ่าด่านที่สามในวันพรุ่งนี้
“อืม ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพักรออยู่ที่นี่ด้วย พรุ่งนี้จะพาเ้าเข้าไปยังด่านทดสอบด่านที่สาม! เ้าทำการพักผ่อนให้ดีๆ เถอะ!” ลู่ซีพยักหน้าตอบรับจากนั้นเริ่มนั่งขัดสมาธิขึ้น
เย่ชิงหานเรียกเสี่ยวเฮยกลับเข้าไปยังภายในมิติสัตว์อสูร ส่วนตนเองเริ่มทำการพักฟื้นร่างกายและจิตใจให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเพื่อเตรียมตัวฝ่าด่านทดสอบด่านที่สามในวันพรุ่งนี้
.................................
ค่ำคืนผ่านไปแสงอรุโณทัยในรุ่งอรุณของอีกวันเริ่มปรากฏออกมา เมื่อลู่ซีเห็นว่าเย่ชิงหานเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงพาเขาเคลื่อนย้ายในพริบตาออกไปทันที
“ทำไมถึงยังเป็ที่นี่อีก?”
เย่ชิงหานมองไปโดยรอบทั้งสี่ทิศด้วยความรู้สึกแปลกใจ แต่พลันพบว่าตนเองกลับมายังห้องโถงใหญ่เมื่อหลายวันก่อนอีกครั้งจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เหอะๆ ด่านที่สามเ้าจะต้องเริ่มทะลวงฝ่าไปจากตรงนี้! อย่ามองว่าที่แห่งนี้ง่ายดายอย่างที่เห็นเพราะความจริงแล้วมันมีกลไกซ่อนอยู่เป็จำนวนมากที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออก อีกสักพักเ้าก็จะรู้เอง!” ลู่ซีหัวเราะขึ้นอย่างลึกลับพร้อมกับเอ่ยขึ้น
จากนั้นมือข้างซ้ายของเขาโบกสะบัดขึ้นพลังแสงรูปกระบี่พุ่งหายเข้าไปภายในกำแพง ต่อมาภายในห้องโถงใหญ่บังเกิดเสียงดัง “แกร็ก” ขึ้น เย่ชิงหานรีบหันไปดูทันที ทันใดนั้นเขามองเห็นภายในห้องโถงปรากฏเสาหินศิลาเล็กๆ มากมายเรียงรายกันอยู่อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย ขนาดของเสาหินศิลาไม่ใหญ่มากคนสามารถขึ้นไปยืนได้หนึ่งคนพอดี แต่ว่าเสาหินศิลาที่ปรากฏขึ้นมานั้นมีมากมายนับแสนต้น
“นี่...นี่มันคืออะไร?” เย่ชิงหานมองดูเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจึงได้รีบถามลู่ซีขึ้นด้วยความแปลกใจ
“นี่คือด่านทดสอบย่อยที่อยู่ภายในด่านที่สาม... ประตูแห่งโชคชะตา” สีหน้าของลู่ซีในตอนนี้พลันเคร่งขรึมขึ้นในทันทีหันมาพูดขึ้นกับเย่ชิงหาน “ประตูแห่งโชคชะตามีด่านทดสอบย่อยอยู่สามด่าน เ้าจะต้องทำการทะลวงฝ่าออกไปให้สำเร็จทั้งสามด่านจึงจะถือว่าเปิดประตูแห่งโชคชะตาออกได้สำเร็จจนสามารถเข้าไปภายในหอเทพได้...เ้าหนู ข้าขอถามเ้าอย่างจริงจัง เ้ายอมรับที่จะเข้าไปทำการทดสอบหรือไม่ ถ้าหากเ้าไม่อยากที่จะเข้าไปรับการทดสอบข้าสามารถรับประกันชีวิตความปลอดภัยของเ้าได้ และจะทำการส่งเ้าออกไปจากูเาสุสานทวยเทพแห่งนี้ทันที”
“เพียงแต่ว่าเ้าจะต้องถูกทำลายวรยุทธ์และไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีกชั่วชีวิต ถ้าหากเ้าเลือกที่จะเข้าไปรับการทดสอบเพื่อทะลวงฝ่าด่านเ้าจะไม่สามารถถอยกลับออกมาในระหว่างการทดสอบที่เริ่มการทดสอบไปแล้วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีโอกาสอย่างมากที่เ้าจะเสียชีวิตอยู่ภายในด่านประตูแห่งโชคชะตานี้ ด่านนี้นายท่านเป็คนคิดบททดสอบขึ้นมาเองทั้งหมด ข้าไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วยได้แม้แต่น้อย มิฉะนั้นละก็ข้าจะถูกพลังกลไกที่อยู่ภายในูเาสุสานทวยเทพแห่งนี้สังหารจนดับสูญสลายไป! ดังนั้น...เ้าจงตัดสินใจเลือกด้วยตัวเ้าเองเถอะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้