เ้าทึ่มสิงกู้เหวินรังแกคนอ่อนแอ่ หวาดกลัวผู้แข็งแกร่งจริงๆ ด้วย!
แต่ว่าเขาช่างกล้าพูดเหลือเกิน หลงเซี่ยวอวี่ข่มขู่เพียงสองสามประโยค เขาก็เปิดโปงฮองเฮาอย่างรนหาที่ตายเสียแล้ว
ทั้งๆ ที่ฮองเฮาส่งเขามาใช้ทัณฑ์ทรมานนาง ทำให้นางยอมรับสารภาพ ยังจะมาพูดสอบปากคำอันใด ช่างพูดได้ไพเราะเสนาะหูเหลือเกิน!
เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮองเฮาผู้เมตตากรุณาและสง่างามคนนั้นได้ยินคำของสิงกู้เหวินในยามนี้จะโมโหจนกระอักเืหรือไม่
หลงเซี่ยวอวี่ก็รู้เื่ที่ฮองเฮาใส่กู่ควบคุมใจลงไปในรังนกเมื่อครั้งที่แล้ว ประกอบกับยามนี้ที่สิงกู้เหวินเปิดโปงฮองเฮาออกมา เขาคงจะเดาได้ว่าหลงเซี่ยวหนานต้องพิษกู่ในครั้งนี้เกี่ยวโยงกับฮองเฮา
บัดนี้นางจะออกจากคุกหลวงได้หรือไม่ ผู้ที่พึ่งได้ แล้วสามารถพึ่งพาได้เพียงคนเดียวก็คือหลงเซี่ยวอวี่พระพุทธรูปองค์นี้แล้ว
ไม่ว่าจุดประสงค์แท้จริงที่หลงเซี่ยวอวี่มาในวันนี้คือสิ่งใด นางจะต้องใช้โอกาสนี้คิดหาวิธีออกไป
พอสิงกู้เหวินพูดจบ ทั้งห้องก็เงียบสงัดลงจนน่ากริ่งเกรง ดูเหมือนจะได้ยินเพียงแค่เสียงหายใจของแต่ละคนเท่านั้น
ผู้ที่คุกเข่าอยู่ก็ยังคงไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมาเช่นกัน กุ่ยเม่ยที่ยืนอยู่ก็ยังมีสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม ทว่ามู่จื่อหลิงกลับกำลังครุ่นคิดบางอย่างด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง
ณ ขณะนี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าเดาว่าหลังจากสิงกู้เหวินพูดจบ ฉีอ๋องจะทำเช่นใด พวกเขาจึงได้แค่รออย่างสงบ
เพียงแต่สีหน้าของฉีอ๋องยังคงเฉยเมยเ็าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาไม่ได้ยินคำที่สิงกู้เหวินพูดเมื่อสักครู่นี้แล้ว?
ฉีอ๋องนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาโดยตลอด แต่ใครจะไปกล้าปากมากถาม ทั้งบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าในใจเขาคิดสิ่งใดอยู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังรอให้หลงเซี่ยวอวี่อ้าปากพูดอยู่นั้น เขากลับยังคงไม่พูดสักประโยค
จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้น เดินไปที่ประตูราวกับรอบข้างไม่มีผู้อื่นอยู่
ยามเดินนั้นยังมีสายลมแ่เบาพัดผ่าน จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดสังเกตว่ากระดาษบนพื้นแผ่นนั้น ถูกพัดไปตามสายลมแ่เบาหายไปเสียแล้ว!
หลงเซี่ยวอวี่ไม่พูดคำใดสักคำก็เตรียมจะจากไปแล้ว!
ใบหน้ากุ่ยเม่ยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่เขามิกล้าไถ่ถาม และเตรียมจะยกเท้าก้าวตามไป หรือว่าเขาคิดผิด?
นายท่านรีบร้อนมาที่นี่มิใช่เพราะต้องพาหวางเฟยออกไป แต่้าให้สิงกู้เหวินเปิดโปงฮองเฮาออกมา เช่นนั้นก็ไม่ถึงขั้นต้องมาคุกหลวงด้วยตนเอง
นี่ไม่เหมือนวิสัยของนายท่าน!
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนายท่านและกุ่ยหยิ่งออกจากเมืองหลวงไปสืบเื่บางอย่าง ทิ้งเขาให้จับตาดูในวังหลวงอย่างเงียบๆ
วันนั้นหลังจากที่หวางเฟยเข้าวัง เื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาเขา และเขารู้สึกได้ว่ายังมียอดฝีมือผู้หนึ่งกำลังสนใจหวางเฟย
คนผู้นั้นดูเหมือนจะช่วยเหลือหวางเฟยอยู่ในความมืดอย่างเงียบเชียบ เพียงแต่วรยุทธ์ของคนผู้นั้นสูงส่งเกินไป เขาจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้นักเลยไม่ทราบว่าเป็ผู้ใด
เช้าวันนี้ทันทีที่พวกนายท่านเข้าเมืองหลวง เขานำเื่ที่เกิดขึ้นในสองสามวันนี้ไปรายงานนายท่านทีละเื่
หลังจากที่นายท่านฟังแล้วก็มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงถามออกมาหนึ่งคำ จริง? (เข็ม) เขาคิดว่านายท่านถามเขาว่าจริงหรือไม่
เดิมเขาอยากจะเล่าซ้ำอีกรอบ แต่คำพูดยังมิทันพูดจบ นายน้อยก็ขี่ม้าจากไป มุ่งหน้ามาที่คุกหลวงทันที แม้แต่จวนอ๋องก็ยังมิได้เข้าไปด้วยซ้ำ?
ก่อนหน้าเขายังคิดไปพักหนึ่งว่านายท่านที่อิดโรยมายังคุกหลวง เป็เพราะห่วงใยหวางเฟยจึงมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากไปแล้ว...
เห็นหลงเซี่ยวอวี่จะไปแล้ว มู่จื่อหลิงก็ร้อนรนเช่นกัน!
หมอนี่หมายความว่าอะไรกันแน่? จะไปเช่นนี้?
จะไปสนความหมายของเขาทำไม ยามนี้ไม่อาจปล่อยให้เขาไปได้ ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากเ้าคนอารมณ์แปรปรวนผู้นี้ไปแล้ว จะสนใจความเป็ตายของนางหรือไม่
แม้ความเป็ตายของนางในสายตาของหลงเซี่ยวอวี่อาจจะเป็สิ่งไม่มีราคา แต่ความเป็ตายของหลงเซี่ยวหนาน หลงเซี่ยวอวี่ก็มิอาจไม่สนใจได้กระมัง
ฮ่องเต้เหวินอิ้นติดประกาศเสาะหาแพทย์ผู้มีชื่อเสียงทั่วทั้งแผ่นดินมารักษาพิษกู่ของหลงเซี่ยวหนาน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนแกะประกาศออกมา
ใครจะรู้ว่า รอจนถึงวันที่มีคนมาแกะประกาศออกวันนั้นจะเป็ปีใดเดือนใด ยิ่งกว่านั้นนอกจากผู้ที่ฝังกู่แล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในร่างกายหลงเซี่ยวหนานเป็กู่ชนิดใด ใครจะรู้ว่าหลงเซี่ยวหนานจะสามารถอยู่ได้นานเท่าใด
แม้เย่จื่อมู่พูดกับนางแล้วว่าเหตุผลที่ไม่มีใครกล้าแกะประกาศราชวงศ์ไปรักษาหลงเซี่ยวหนานนั้นเป็เพราะกลัวก่อความยุ่งยาก หาเื่ใส่ตัว
แต่ตอนนี้สิ่งที่สามารถทำให้หลงเซี่ยวอวี่ช่วยนางออกไปได้ มีเพียงแค่พูดกับหลงเซี่ยวอวี่ว่านางสามารถรักษาอาการป่วยของหลงเซี่ยวหนานได้
ครั้งที่แล้วนางมิได้พูดต่อหน้าฮ่องเต้และฮองเฮา เพราะต้องระมัดระวัง และจนถึงตอนนี้นางดีใจที่ครั้งก่อนนางมิได้พูด
ไม่ต้องกล่าวถึงโอกาสครั้งที่แล้วที่ไม่เหมาะจะพูดจริงๆ หากพูดก็เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่าเข้าใจกู่ ในยามนั้นผู้ใดก็กล่าวหานางได้ว่าเป็ผู้ฝังกู่
และยิ่งทำให้แผนการของฮองเฮาสำเร็จไปอีกขั้น ยิ่งทำให้ฮองเฮายินดีในโชคร้ายผู้อื่น!
หรือมิทันรอให้นางรักษาหลงเซี่ยวหนานจนหาย จากความเร็วในการชักสีหน้าของฮ่องเต้เหวินอิ้น รวมกับไทเฮาฮองเฮาที่คอยพัดลมโหมไฟอย่างเต็มกำลังอยู่ด้านข้าง นางคงตายไปแล้ว ไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้เสียหรอก
แต่ตอนนี้ถ้าไม่พูดนางก็ออกไปไม่ได้ เพราะ้าออกไป นางจึงได้แต่พูดกับหลงเซี่ยวอวี่
ไม่ว่าผลจะเป็เช่นใด หาเหตุผลออกไปเสียก่อนค่อยว่ากัน
ก้าวไปหนึ่งก้าวก็นับว่าเป็หนึ่งก้าว!
สำหรับเื่หลังจากนี้ ใครก็คาดเดาไม่ถูก!
ในขณะที่คนกลุ่มนั้นที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเตรียมจะผ่อนลมหายใจส่งเสด็จฉีอ๋องจากไป
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็ก้าวขึ้นไปทางหลงเซี่ยวอวี่สองสามก้าวแต่ไม่กล้าเดินไปตรงหน้าเขา รั้งฝีเท้าของเขาไว้ อ้าปากด้วยสีหน้าที่เจือความร้อนรน “ท่านอ๋อง องค์ชายห้า...”
มู่จื่อหลิงยังไม่ทันพูดจบก็ถูกคำพูดเ็าที่คนทั้งหมดคาดไม่ถึงตัดบทเข้า
หลงเซี่ยวอวี่ที่เพิ่งเดินออกจากประตูไปชะงักฝีเท้าไว้กับที่แต่มิได้หันกายกลับมา
น้ำเสียงเย็นเยียบและทรงอำนาจของเขาดังขึ้นช้าๆ ขัดจังหวะคำพูดของมู่จื่อหลิง “ในเมื่อศาลต้าหลี่ไร้ความสามารถสอบสวนนักโทษ เปิ่นหวางก็จะสอบสวนด้วยตนเอง กุ่ยเม่ยคุมตัวนักโทษไป”
สิ้นสุดคำพูด บริเวณประตูก็ไม่เห็นเงาของฉีอ๋องแล้ว
คนข้างในห้องยังไม่ทันส่งเสด็จ ฉีอ๋องก็ไปเสียแล้ว ทิ้งคนปัญญาอ่อนทั้งห้องเอาไว้
ประโยคเรียบง่ายของหลงเซี่ยวอวี่นั้น ครึ่งแรกเพิกเฉยต่อประโยคสุดท้ายของสิงกู้เหวิน
แต่ครึ่งประโยคหลังของเขา กลับทำให้คนทั้งห้องครุ่นคิดความหมายไปเสียหลายชั้น
ฉีอ๋องสอบสวนด้วยตนเอง?
กลุ่มคนกลุ่มนั้นบนพื้นล้วนถูกฉีอ๋องทำเสียขวัญจนมิอาจจับศีรษะของพระสงฆ์สูงสองจั้ง [1]
พวกเขารู้ว่าในคำพูดของฉีอ๋องก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามู่จื่อหลิงคือฉีหวางเฟย และที่ฉีอ๋องมาในวันนี้ก็เป็เพราะฉีหวางเฟยจริงๆ
ทว่ากลับมิใช่เพื่อช่วยฉีหวางเฟย แต่เป็้าสอบสวนด้วยตนเอง เป็วิธีสอบสวนเช่นใดกัน?
คิดๆ แล้วก็ทำให้ผู้อื่นเหน็บหนาวไปหมด!
พวกเขาล้วนได้ยินว่านักโทษที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของฉีอ๋อง ไม่มีผู้ที่ทนรับการทรมานที่โหดร้ายทารุณได้ สุดท้ายไม่ว่าจะมีความผิดหรือไม่มีความผิดก็ล้วนยอมรับผิด
ฉีหวางเฟยผู้นี้ถูกฉีอ๋องสอบสวนด้วยตนเอง ยังจะมีชีวิตต่อไปได้หรือ?
ในใจกุ่ยเม่ยกลับยินดีกับตนเองอย่างเงียบๆ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาไม่ได้คิดมากไปกับการกระทำแปลกประหลาดของนายท่าน นายท่าน้าพาหวางเฟยไปจริงๆ ด้วย
เขาว่าแล้ว นายท่านจะมาคุกหลวงที่สกปรกโสโครกโดยไม่มีธุระได้อย่างไร จะว่ามาเพื่อพูดคุยกับสิงกู้เหวินโดยเฉพาะก็ไม่ใช่ พูดอีกอย่างพวกเขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าสิงกู้เหวินอยู่ที่นี่!
และเมื่อครู่เพื่อสกัดเข็มที่คนตายสองคนนั้นใช้ลงทัณฑ์หวางเฟย นายท่านยังใช้ไหมทองตัดวายุที่ไม่เคยใช้มาก่อนเป็ครั้งแรก
แม้ความเร็วในการลงมือของนายท่านจะแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ยังตาดีเห็นเข้า ไหมทองตัดวายุเป็สิ่งของใดเขาย่อมเข้าใจดี
มู่จื่อหลิงคิดเช่นใดก็คิดไม่ถึงว่าหลงเซี่ยวอวี่หมอนี่จะพานางออกไปอย่างเผด็จการเช่นนี้ อย่างไรนางก็เป็คนที่ฮ่องเต้สั่งขังด้วยตนเองนะ
คุกหลวงไม่เหมือนกับคุกทั่วไป ไม่มีบัญชาจากฮ่องเต้ ผู้ใดจะกล้าพานักโทษในคุกหลวงไป?
แต่ยามนี้ก็มีฉีอ๋องไงเล่าที่กล้า!
เดิมนางคิดจะพูดเื่ที่สามารถรักษาหลงเซี่ยวหนานได้กับหลงเซี่ยวอวี่ จากนั้นหลงเซี่ยวอวี่ก็จะไปหาฮ่องเต้ หลังจากผ่านเงื่อนไขทุกข้อ นางจึงจะมีโอกาสออกไปได้
ไม่คิดว่า เพียงแค่ประโยคเรียบง่ายของหลงเซี่ยวอวี่นางก็สามารถออกไปได้แล้ว พูดว่าจะพาตัวไปก็พาไป มองคนกลุ่มนั้นบนพื้นอีกครั้งก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน
หากไม่เพราะก่อนนี้ประสบกับความร้ายกาจของหลงเซี่ยวอวี่ รับรู้ฐานะของหลงเซี่ยวอวี่ นางในตอนนี้คงไม่กล้าตามออกไป เช่นนั้นไม่มีโทษก็กลายเป็มีโทษแล้ว
ส่วนหลงเซี่ยวอวี่จะสอบสวนอย่างไร นางก็ไม่สนใจแล้ว!
เพียงแค่สามารถไปจากสถานที่น่าเกลียดน่ากลัวนี้ได้ อย่างอื่นก็พูดง่ายแล้ว
กุ่ยเม่ยเดินไปด้านหน้ามู่จื่อหลิงแสดงท่าทางมือเชื้อเชิญด้วยความเคารพ “หวางเฟย เชิญ”
กุ่ยเม่ยทราบดีว่าฉีอ๋องเพิ่งเรียกให้เขาคุมตัวหวางเฟยไป แต่ต่อให้มอบขวัญกล้าให้เขาเสียร้อยขวัญ เขาก็ไม่กล้าคุมตัว!
นายท่านจะใช้วิธีใดสอบสวนหวางเฟย เขาเดาไม่ออก แต่เขากล้ารับรองว่าที่นายท่านจะสอบสวนหวางเฟยด้วยตนเอง ต้องไม่ใช้ทัณฑ์ทรมานทารุณจิตใจแบบที่ใช้กับนักโทษทั่วไปเป็แน่
แม้หลงเซี่ยวอวี่จะสั่งกุ่ยเม่ยให้คุมตัว แต่กุ่ยเม่ยกลับใช้เชิญ มู่จื่อหลิงจึงไม่เกรงใจกุ่ยเม่ยอีก เตรียมจากไปอย่างสบายอกสบายใจ
แต่กลับมีเสียงอันน่ารังเกียจหลายเสียงลอยมา
“หวางเฟย ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ขอให้ท่านผู้ใหญ่มีเมตตา ทำให้มือข้าน้อยกลับมาดังเดิมเถิด
“หวางเฟย ข้าน้อยเองก็สำนึกผิดแล้ว ขอให้ท่านทำให้มือข้าน้อยกลับมาดังเดิมด้วยเถิด”
“หวางเฟย ข้าน้อยเองก็สำนึกผิดแล้ว...”
ผู้คุมหลายคนเห็นมู่จื่อหลิงจะเดินไป แย่งกันโขกศีรษะยอมรับผิดให้มู่จื่อหลิง
ยามนี้พวกเขาไม่มือไร้ความรู้สึก ก็เท้าไร้ความรู้สึก พวกเขาคงไม่เป็เช่นนี้ไปตลอดใช่หรือไม่ ผู้ใดจะรู้ว่าฉีหวางเฟยไปครั้งนี้แล้ว จะมีชีวิตกลับมาหรือไม่
มู่จื่อหลิงได้ยินเสียงสับสนอลหม่านดังขึ้นต่อๆ กันก็เกือบจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา
คนสอพลอกลุ่มนี้ ยามนี้้านาง นางก็เป็หวางเฟย ยามไม่้า แม้แต่กากเดนนางก็มิใช่
เดิมทีนางอยากจะไปแล้วไปเลย และผงเส้นเอ็นอ่อนในตัวพวกประจบประแจงนี่ สามชั่วยามให้หลังย่อมคลายไปเอง
ตอนนี้ไม่คาดว่าพวกเขาจะขอร้องนางให้ถอนให้ เช่นนั้นนางก็ช่วยแก้ให้พวกเขาด้วย ‘ความปรารถนาดี’ แล้วกัน
“คิดจะให้เปิ่นหวางเฟยยกโทษให้พวกเ้า ก็มิใช่ว่าจะไม่ได้...” มู่จื่อหลิงใช้มือเท้าคางอย่างไม่ใส่ใจ เดินไปข้างกายสิงกู้เหวินที่เตรียมจะลุกขึ้น มือเล็กลอบขยับเล็กน้อย
ตุ้บ! เกิดเสียงดังลั่น เป็เสียงหนักๆ ของเ้าอ้วนที่ตกลงบนพื้น
สิงกู้เหวินอุทานอย่างเ็ป
มู่จื่อหลิงแสร้งถอยไปด้านหลังเล็กน้อยอย่างใ พูดอย่างละอายใจ “ไอ้หยา! ใต้เท้าสิง เ้าบอกสิ เ้าจะลุกขึ้นก็ลุกขึ้นเถิด เห็นหวางเฟยเดินผ่านมา ก็คุกเข่าทำความเคารพหวางเฟยเสียใหญ่โตเพียงนี้ เปิ่นหวางเฟยจะไม่ละอายใจได้อย่างไร?”
แม้ปากมู่จื่อหลิงจะะโว่าละอายใจ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรังเกียจ ยังดีที่ผู้คุมเหล่านี้เตือนนาง มิเช่นนั้นนางคงลืมทรมานเ้าอ้วนพุงพลุ้ยผู้นี้ไปแล้ว
“เ้า...” สิงกู้เหวินถลึงตามองมู่จื่อหลิงอย่างโกรธจัด โมโหเสียจนพูดไม่ออก!
หญิงสมควรตาย! จะตายอยู่แล้วยังไม่ลืมใช้ลูกไม้เล่นงานเขา!
“อ้อ เปิ่นหวางเฟยรู้แล้ว เ้าก็กำลังช่วยพวกเขาขอความปรานีกระมัง ในเมื่อแม้แต่ใต้เท้าสิงของพวกเ้า้าช่วยพวกเ้าร้องขอความปรานีจากใจจริง เปิ่นหวางเฟยก็จะบอกวิธีฟื้นฟูแก่พวกเ้า วิธีฟื้นฟูก็คือดื่มปัสสาวะของตนเองหนึ่งโต่ว [2] สิบสองชั่วยามให้หลังย่อมดีขึ้นแล้ว” มู่จื่อหลิงพูดด้วยสีหน้าเป็จริงเป็จัง ไม่มีสิ่งใดเจือปนแม้แต่น้อย
พูดจบก็ไม่รอให้คนทั้งหมดมีการตอบสนอง สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างสง่างาม
--------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] มิอาจจับศีรษะของพระสงฆ์สูงสองจั้ง แปลว่า สถานการณ์ที่ไม่กระจ่างชัดเจนทำให้ทราบรายละเอียดไม่ชัดเจน
[2] โต่ว คือหน่วยชั่งโบราณของจีน 1 โต่ว เท่ากับ 2,000 มิลลิลิตร