“ฮ่าๆๆ ไม่เจอกันแค่สิบปี เ้าสำนักฉินวรยุทธ์แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ!” จูเหวินฝูพูดพร้อมหัวเราะ
ชายชราผู้นี้มีพุงโต หูหนา และตาโต สวมชุดสีแดงขนาดใหญ่ที่ดูอลังการมาก ที่ข้อมือทั้งสองข้างก็สวมกำไลทองคำขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายระยิบระยับ หากผู้ที่ไม่รู้จักมาพบเข้าครั้งแรกก็คงคิดว่าเป็เศรษฐีผู้มั่งคั่ง
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่ดูเหมือนเ้าของที่ดินคนนี้ กลับเป็ผู้าุโสูงสุดของสำนักรวมสมบัติิญญาที่เป็คนนำพาลูกศิษย์มาในครั้งนี้ และสิ่งที่ดูเหมือนกำไลทองคำขนาดใหญ่ที่ข้อมือของเขานั้น แท้จริงแล้วคืออาวุธล้ำลึกคู่ระดับสูงสุด ‘กำไลแสงทองส่องจักรวาล’
“ฮ่าๆๆ พี่จูพูดเช่นนี้ก็เหมือนขอให้ข้าแสดงความยินดีกับท่านเลยนะ ขอแสดงความยินดีกับพี่จูด้วยที่บรรลุขึ้นสู่ระดับาาิญญาขั้นสูงด้วย!” ฉินว่านซานหัวเราะพร้อมกับคารวะแสดงความยินดี
“ฮ่าๆๆ! มิได้ มิได้ เ้าสำนักฉินคงจะงานยุ่งมาก ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อสำนัก ไม่เหมือนกับข้าที่เอาแต่บำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ ทำให้ความก้าวหน้ารุดหน้าขึ้นมาบ้าง!” จูเหวินฝูหัวเราะอย่างร่าเริง น้ำเสียงของเขามีความพึงพอใจเล็กน้อย นั่นเพราะว่าเมื่อรวมตัวเขาด้วยแล้ว ตอนนี้สำนักรวมสมบัติิญญาก็มีผู้แข็งแกร่งในระดับาาจิติญญาขั้นสูงถึงสองคนแล้ว!
“ขอแสดงความยินดีกับพี่จูด้วย พี่จูประสบความสำเร็จในการบรรลุขึ้นสู่ระดับาาิญญาขั้นสูงได้แล้ว แสดงว่าความแข็งแกร่งของท่านต้องเพิ่มขึ้นจากเดิมมากแน่ ทำไมพวกเราไม่ออกไปข้างนอกเพื่อประลองฝีมือกันสักหน่อยล่ะ?” ิ่ชางไห่ถูมือที่ผอมแห้งของเขาและพูดด้วยความตื่นเต้น
ใบหน้าอ้วนของจูเหวินฝูถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย แล้วหันไปมองิ่ชางไห่แล้วหัวเราะ “ฮ่าๆ เ้าคลั่งการต่อสู้นี่ ข้ากับพี่จางเพิ่งมาถึงไม่ทันไร นั่งเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่น ชาก็ยังไม่ทันจิบ เ้าก็จะให้ต่อสู้กันแล้ว เื่ที่ต้องใช้ความคิดและเปลืองแรงเช่นนี้ ข้าไม่ทำหรอก!”
“จูเหวินฝู จูเหวินฝู เ้าก็อายุสี่ร้อยกว่าปีแล้วนะ ยังไม่เลิกนิสัยี้เีอีกหรือ” ตี๋จั๋วรื่อส่ายหัว และชุดของเขาสะบัดพริ้วไหว ห้าถ้วยชาที่เพิ่งชงเสร็จและส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมา “มาทุกท่าน จิบชากันก่อน!”
“ชาดี!” ชายร่างใหญ่กำยำดื่มชาที่ร้อนจัดลงไปในอึกเดียว ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้จิตรู้สึกสดชื่นขึ้นมา แล้วชายร่างใหญ่กำยำราวกับหมีดุร้ายตัวหนึ่งก็กล่าวชม
ชายร่างใหญ่ผู้นี้คือผู้ที่นำพาศิษย์ของสำนักคุมสัตว์ิญญามาในครั้งนี้ จางเทียนเซี่ยว!
“ต้องขอบคุณพี่ทั้งสองแล้ว ที่ทำให้ข้าได้ดื่มชาิญญาของตาเฒ่าคนนี้!” เสิ่นเยาเยวี่ยเบ้ริมฝีปากเล็กน้อย แล้วจิบชาิญญาร้อนๆพร้อมกับยิ้ม
“ฮ่าๆๆ พี่ตี๋ทำแบบนี้ได้อย่างไร พี่หญิงของข้าอยากดื่มชาิญญาของท่าน แต่พี่ตี๋กลับไม่ยอมชงอย่างนั้นหรือ!” จูเหวินฝูหัวเราะอย่างร่าเริง
ตี๋จั๋วรื่อยิ้มเจื่อนๆ และไม่ตอบอะไร
ฉินว่านซานกับิ่ชางไห่มองไปที่จูเหวินฝูพร้อมกัน และพบว่าบรรยากาศเริ่มแปลกแปร่ง
จางเทียนเซี่ยวหัวเราะและกล่าว “ทุกท่าน จากเวลาเปิดและขอบเขตในการตรวจจับได้สองครั้งก่อนหน้านี้ เ้าสำนักของเราได้ทำการสื่อสารกับิญญาบรรพชนตะขาบดำของสำนักเรา และได้ข้อสรุปว่าการเปิดเมืองโบราณหลิงกุยในครั้งนี้ มีแนวโน้มมากว่าจะเปิดเมืองชั้นในด้วย สำนักคุมสัตว์ิญญาของเราจึงได้ส่งศิษย์ชั้นยอดและมีคุณสมบัติครบถ้วนจำนวนร้อยคนมา!
แม้แต่หลานชายของเ้าสำนักเราและลูกชายของผู้าุโหลายคนก็จะเข้าร่วมการฝึกในโลกเร้นลับในครั้งนี้ด้วย!”
“ทางสำนักเราเองก็เช่นเดียวกัน หลานชายที่ไร้ประโยชน์ของข้าก็รวมอยู่ในนั้นด้วย!” เมื่อพูดถึงหลานชายที่ ‘ไร้ประโยชน์’ ใบหน้าของจูเหวินฝูกลับเต็มไปด้วยความภูมิใจ
“ดูคนอวดหลานนั่นสิ เด็กไร้ประโยชน์ที่ท่านพูดถึงคือจูเหว่ยเจีย คนที่มีพร์ที่สุดในตระกูลจูของเ้าใช่หรือไม่? ตอนที่ข้าเจอเ้าเด็กนั่น ตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น แต่ก็อยู่ในระดับนักยุทธ์ระดับหกแล้ว สิบปีผ่านไปแล้ว ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาเป็อย่างไรบ้างแล้ว?” ิ่ชางไห่ถามกลับไป
“อืม ก็ไม่ได้สูงมากนักหรอก เมื่อปีที่แล้วเขาก็ได้บรรลุเป็ผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูงสุดแล้ว แต่จากนั้นข้าก็ไม่ได้ให้เขาบรรลุต่อ เพื่อให้เขาสามารถเข้าไปในโลกเร้นลับของเมืองโบราณหลิงกุยในปีนี้ได้!” น้ำเสียงของจูเหวินฝูแฝงไปด้วยความภูมิใจและพึงพอใจ
สิบปีจากนักยุทธ์ระดับหกพุ่งทะยานมาจนถึงผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูงสุด แม้ว่าจะข่มตัวเองเอาไว้หนึ่งปีก็ตาม ก็ยังเรียกได้ว่าเป็ความก้าวหน้าในการฝึกวิชาที่น่าทึ่งจริงๆ
หากไม่มีเซียวหลิงอวิ๋นและฉินหรูเยียนสองอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ฉินว่านซานกับิ่ชางไห่ก็คงจะนึกอิจฉาอยู่บ้างแน่ เพราะพร์เช่นนี้ถือว่าอยู่ในระดับชั้นเลิศสำหรับบรรดาสำนักใหญ่ต่างๆ แล้ว แต่น่าเสียดายที่เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดอย่างเซียวหลิงอวิ๋นกับฉินหรูเยียนแล้ว พวกเขาก็ดูด้อยลงไปทันที แม้แต่จะเทียบกับเด็กสาวแซ่จ้าวก็ยังด้อยกว่า
ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้าุโสูงสุดทั้งสี่ของสำนักกระบี่ิญญาเมฆาไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้จูเหวินฝูที่เดิมทีอยากจะโอ้อวดต่อหน้าสหายเก่าของเขาต้องรู้สึกงุนงงเสียเอง
โชคดีที่จางเทียนเซี่ยวให้ความร่วมมือเป็อย่างดี กล่าว “ยี่สิบเอ็ดปี ซ้ำยังข่มการฝึกวิชาเอาไว้ที่ผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูงสุด พี่จูคงตั้งใจจะกอบโกยในเมืองโบราณหลิงกุยอย่างเต็มที่สินะ!”
แต่ในขณะจูเหวินฝูกำลังจะหัวเราะเสียงดัง จางเทียนเซี่ยวก็พูดต่อ “สำนักคุมสัตว์ิญญาของพวกเราเองก็มีอัจฉริยะชั้นเลิศปรากฏตัวขึ้นมาหลายคนใน่หลายปีที่ผ่านมานี้ หนึ่งในนั้นมีผู้ที่ข่มการฝึกวิชาเอาไว้ที่ผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูงสุดมาเป็เวลาหนึ่งปีครึ่งแล้วเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้เขาได้รู้จักกับเ้าหนุ่มเหว่ยเจียของเ้า!”
จางเทียนเซี่ยวยังไม่รอให้จูเหวินฝูเปลี่ยนสีหน้า ก็หันไปทางผู้าุโสูงสุดทั้งสี่ของสำนักกระบี่ิญญาเมฆา “ไม่ทราบว่าในสำนักของท่านมียอดคนเช่นนี้ในระดับผู้ใช้พลังิญญาบ้างหรือไม่!”
ทั้งสี่คนจึงสบตากันอย่างเข้าใจ แล้วฉินว่านซานก็ส่ายหัวแล้วหัวเราะ “พวกเราไม่ได้คิดมากเช่นนั้นเหมือนกับพวกท่านทั้งสองสำนักหรอก การข่มการฝึกวิชาของพวกเขาเป็เวลาหนึ่งปีหรือหนึ่งปีครึ่งเพียงเพื่อให้เข้าสู่โลกเร้นลับได้นั้น ไม่มียอดคนเช่นนั้นในสำนักของเราหรอก!”
แล้วฉินว่านซานก็เปลี่ยนน้ำเสียงแล้วพูดอย่างแข็งกร้าว “แต่สำหรับยอดคนแบบอื่นนั้นมีอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็ในระดับผู้ใช้พลังิญญาหรือระดับปรมาจารย์ิญญา สำนักิญญาเมฆาของพวกเราไม่เคยขาดยอดคน!”
...
หลังจากที่ส่งแขกผู้มีเกียรติทั้งสองจากไปแล้ว!
ผู้าุโทั้งสี่ก็ปรึกษากัน แน่นอนว่าย่อมเป็เื่การส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป!
ผู้ที่ได้รับเลือกในระดับผู้ใช้พลังิญญานั้น ฉินหรูเยียนและเซียวหลิงอวิ๋นเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่แล้ว หากเป็ไปได้ก็ควรจะไปทั้งสองคน
แต่ผู้าุโสูงสุดทั้งสี่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้จ้าวหนีอิ่งไปดีหรือไม่ เพราะการเดินทางเข้าสู่โลกเร้นลับครั้งนี้แม้จะมีโอกาสมากมายรออยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ยากที่จะมีอะไรมาทดแทนได้ ในที่สุดจึงตัดสินใจมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจนี้ให้กับตัวจ้าวหนีอิ่งเอง
“เ้าหนุ่มหลิงอวิ๋นยังคงเก็บตัวฝึกวิชาอยู่หรือ สามวันหลังจากนี้จะต้องออกเดินทางแล้ว ไม่รู้ว่าจะทันเวลาหรือไม่?”
“ช้าหน่อยก็ไม่เป็ไรหรอก เจ็ดวันให้หลังค่อยออกเดินทางกันก็ได้ หากไม่ทันจริงๆ ก็ให้เ้าชางไห่พาคนอื่นๆ ไปก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะพาหลิงอวิ๋นตามไปสมทบทีหลังเอง!” ตี๋จั๋วรื่อพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลังจากที่สำนักรวมสมบัติิญญาและสำนักคุมสัตว์ิญญาเดินทางมาถึงสำนักิญญาเมฆา เวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว
ใน่สามวันที่ผ่านมานี้ สำนักิญญาเมฆาก็ได้ทำการคัดเลือกศิษย์มาเก้าสิบเก้าคน!
ฉินหรูเยียน จ้าวหนีอิ่ง หยวนอิ่ง และเฉียนหม่านควงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย! โดยสองคนหลังได้ประสบความสำเร็จในการเปิดขดพลังิญญาขดที่สี่หลังจากการประลองเพื่อท้าชิงเก้าอี้ศิษย์ก้นกุฏิ และบรรลุขึ้นสู่ระดับผู้ใช้พลังิญญาขั้นกลางอย่างเป็ทางการ
ส่วนความก้าวหน้าในการฝึกวิชาของฉินหรูเยียนนั้นก็รวดเร็วมากไม่แพ้กัน ใน่ที่เซียวหลิงอวิ๋นเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ นางก็ประสบความสำเร็จในการเปิดขดพลังิญญาขดที่ห้าแล้ว สร้างความตกตะลึงอย่างมากให้กับสำนักิญญาเมฆา!
ส่วนจ้าวหนีอิ่งเองก็ไม่ช้าไปกว่ากัน เมื่อเดือนที่แล้วนางได้เปิดขดพลังิญญาขดที่สองได้สำเร็จ และตอนนี้ขดพลังิญญาขดที่สองก็ขยายตัวจนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
ซึ่งนอกจากทั้งสี่คนนี้แล้ว ศิษย์อีกสี่สิบห้าคนที่อยู่ในระดับผู้ใช้พลังิญญาล้วนแต่อยู่ในระดับผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูงทั้งสิ้น
ส่วนศิษย์อีกห้าสิบคนที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ิญญา นำโดยหานจื้ออี้ที่ได้รับเลือกให้เป็ศิษย์ก้นกุฏิในปีนี้ และเฉินิจวินอีกคนที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ิญญาขั้นสูง
“นี่ พี่ชางไห่ ทำไมพวกท่านถึงมีศิษย์แค่เพียงเก้าสิบเก้าคนล่ะ? ยังมีที่ว่างอยู่อีกหนึ่งคนไม่ใช่หรือ?” จูเหวินฝูถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็ใช่น่ะสิ แต่เ้าหนุ่มนั่นยังเก็บตัวฝึกวิชาอยู่เลย!”
“เก็บตัวฝึกวิชา? การที่พวกท่านตั้งใจเหลือที่ว่างหนึ่งที่ไว้ให้กับคนคนนี้เป็พิเศษ แสดงว่าคงต้องเป็ศิษย์ที่มีความสามารถสูงมากในหมู่ผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูงอย่างนั้นสินะ!”
“ความสามารถสูงมากนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าอยู่ในระดับผู้ใช้พลังิญญาขั้นสูงหรือไม่นั้น ข้าก็ไม่แน่ใจ”
“หืม? พวกท่านไม่รู้หรือว่าศิษย์ของตัวเองอยู่ในระดับใด?”
“ฮ่าๆ หากเป็คนอื่นๆ พวกเราย่อมรู้ดี แต่กับเ้าหนุ่มนั่น พวกเราไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ตัวเขาอยู่ในระดับใดแล้ว” ิ่ชางไห่หัวเราะอย่างเริงรื่น
ช่างน่าสนใจจริงๆ!
ในขณะเดียวกัน ประตูห้องหนึ่งในหอยาวิเศษที่ปิดอยู่เป็เวลาหนึ่งเดือนก็เปิดออกด้วยเสียง “แอ๊ดดดด”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา
“เ้าหนุ่ม ในที่สุดเ้าก็ออกจากการเก็บตัวฝึกวิชาเสียที” เสียงหนึ่งดังก้องเข้ามาอยู่ในหูของเด็กหนุ่มผู้นั้นทันที
