ถึงอีกฝ่ายจะเรียกชื่อตน หลิ่วไป๋เจ๋อก็ยังคงยืนนิ่ง ดูเป็ธรรมชาติและตอบกลับด้วยท่าทีสงบ
“ใช่ขอรับ”
ในตอนที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว ตัวแทนของสำนักมิ่งเก๋อก็ยื่นมือออกไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครตอบสนองได้ทัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่จิ่วฟางเทียนฉีที่อยู่ด้านข้างก็ไม่คาดคิด ในตอนที่รู้ตัวและจะเข้ามาเตือนก็สายเกินไป
แม้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะมองไม่เห็น แต่ก็มีััที่เฉียบแหลมกว่าคนอื่น ก่อนที่ผู้ส่งสารจะลงมือ เขาก็ััได้ถึงรัศมีพลังิญญาของอีกฝ่าย จึงสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
ผู้ส่งสารจู่โจมพลาด แต่ก็ไม่คิดจะหยุด “ข้าประเมินเ้าต่ำไป” ขณะที่เอ่ยอยู่นั้น ในมือของเขาก็มีแสงเรืองรองก่อตัวขึ้นเป็มีดดาบ
“พลังิญญาก่อรูปร่าง คนผู้นี้ไม่ธรรมดา!”
หลิ่วไป๋เจ๋อคิดในใจ คนรอบตัวเองก็ใอย่างมาก พลังิญญาของคนจากสำนักมิ่งเก๋อช่างน่าทึ่ง
“หลิ่วไป๋เจ๋อ!”
“ไป๋เจ๋อ!”
ทั้งหลิ่วเฉิงเฟิงและอูิหลิงต่างใ ้าจะเข้าไปช่วยเหลือ มือทั้งสองข้างของอูิหลิงประสานเป็รูปบุปผา ทว่ายังไม่ทันจะก้าวออกไป จิ่วฟางเทียนฉีก็ห้ามพวกเขาเอาไว้
หลิ่วเฉิงเฟิงเองก็เตรียมพร้อมสู้ มือดึงเข็มเงินออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่จิ่วฟางเทียนฉีคว้าข้อมือเขาไว้เสียก่อน
“เ้าทำอะไร!”
คนทั้งสองกังวลใจเป็อย่างมาก ทว่าหลิ่วไป๋เจ๋อกลับหลบหลีกคมมีดได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะพูดกับคนที่อยู่ข้างหลัง
“พวกเ้าไม่จำเป็ต้องลงมือ!”
จิ่วฟางเทียนฉีปล่อยมือจากทั้งคู่ เขย่าไหล่และพูดว่า “เ้าดู! เขาไม่้าความช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำ เ้าสองคนกังวลจนไม่ได้ไตร่ตรอง”
อูิหลิงยังไม่เท่าไร แต่หลิ่วเฉิงเฟิงกลับฟึดฟัดไม่พอใจ สะบัดแขนเสื้อแล้วก้าวไปอีกฝั่ง “ใครห่วงเขาล่ะ ข้าแค่กลัวเขาจะเอาชนะคนผู้นั้นไม่ได้จนทำให้ชิงหลิ่วถังขายหน้าต่างหาก”
เ้าเด็กคนนี้! ในขณะที่จิ่วฟางเทียนฉีกำลังเหนื่อยใจกับหลิ่วเฉิงเฟิงก็คอยสอดส่องท่วงท่าของหลิ่วไป๋เจ๋อไปด้วย เห็นได้ชัดว่าแม้การเคลื่อนไหวของผู้ส่งสารคนนี้จะแข็งแกร่ง แต่เหมือนว่าเขากำลังลองเชิงหลิ่วไป๋เจ๋อมากกว่า
จิ่วฟางเทียนฉีมองออกว่า หลิ่วไป๋เจ๋อที่กำลังถูกทดสอบก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายตน
พลังิญญาของผู้ส่งสารนั้นแข็งแกร่งมาก จนทุกคนรอบตัวเห็นได้ชัด แม้หลิ่วไป๋เจ๋อจะยังไม่ถึงวัยสวมจี๋ก้วน ทว่าสามารถหลบเลี่ยงอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งไม่น้อย นอกจากประหลาดใจแล้ว ทุกคนยังประทับใจในตัวคุณชายหลิ่วมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นลำแสงสีทองที่รวมตัวเป็มีดดาบในมือของผู้ส่งสารก็พังทลายหายไป เกิดเป็แสงสว่างเคลื่อนไปทางหลิ่วไป๋เจ๋อ สิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้ในใจของทุกคนตึงเครียด อยากรู้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างไร
ฝ่ายหลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้มีสีหน้าตื่นตระหนก มือขวาที่ไขว้อยู่ด้านหลังถูกยกขึ้นมาบังใบหน้า ในขณะเดียวกันก็เกิดประกายแสงสีเงินหุ้มทั้งร่างของเขาเอาไว้ แสงสีทองปะทะกับแสงสีเงินแล้วสลายหายไปชั่วพริบตา ไม่แม้แต่จะััถูกร่างของหลิ่วไป๋เจ๋อสักนิด
ผู้ส่งสารยืนอยู่ที่เดิม ถึงจะไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด แต่ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกลับสั่นเทาตลอดเวลา ในใจยิ่งปั่นป่วน
“เ้าเด็กคนนี้ช่างเก่งกาจ”
ในสายตาของทุกคน การต่อสู้เมื่อครู่อาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าหลิ่วไป๋เจ๋อแข็งแกร่งมาก ทว่าในใจของผู้ส่งสารไม่ได้คิดเพียงเท่านั้น มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่คนอื่นยังไม่เคยค้นพบ
เมื่อเห็นผู้ส่งสารหยุดนิ่ง หลิ่วไป๋เจ๋อจึงเลิกป้องกันตัว แล้วยืนรออย่างสงบ หากอีกฝ่ายเคลื่อนไหวก็จะโต้กลับทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้ส่งสารก็ยังคงนิ่งเฉย ดูเหมือนการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงแล้ว
ผู้ส่งสารมองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อ ก่อนจะเก็บพลังิญญากลับไป เขาพยักหน้าให้คนตรงข้ามเพื่อบอกว่าการประลองจบลงแล้ว จากนั้นก็กวาดตามองฝูงชน หยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่งแล้วเดินไปยังกลางลานพร้อมกับเอ่ยว่า
“ปีหน้าใน่ปลายฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะมาที่เฟิ่งเทียนอีกครั้งเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์ในวันนี้หน้าที่ของข้าเสร็จสิ้นแล้ว ขอตัวลา!”
“ช้าก่อน” จู่ๆ อวิ๋นจวาก็ก้าวขึ้นหน้า พร้อมกับเอ่ยรั้งด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้ส่งสารเดินทางมานานคงจะเหน็ดเหนื่อย เหตุใดถึงไม่อยู่พักที่นี่เสียก่อน พักผ่อนสักหน่อยค่อยเดินทางกลับก็ไม่สาย”
ผู้ส่งสารเหลือบมองอวิ๋นจวาเล็กน้อย ก่อนจะพูดในใจว่า เ้าคนนี้ไร้พลังิญญา ไร้ประโยชน์!
“ไม่หรอก ข้ามีวิถีของข้า”
อวิ๋นจวายังคิดจะรั้งเขาไว้ แต่ถูกอวิ๋นฉี่ห้ามว่า “ในเมื่อผู้ส่งสารได้เตรียมการไว้แล้ว พวกเราก็จะไม่ทำให้การเดินทางของท่านล่าช้า เชิญขอรับ”
ผู้ส่งสารเหลือบมองอวิ๋นฉี่และยังคงคิดในใจว่า ไร้ค่า!
ก่อนออกเดินทาง เขาเหลือบมองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อ แล้วค่อยออกจากคฤหาสน์ไป หายลับจากสายตาผู้คน
ผู้ส่งสารจากสำนักมิ่งเก๋อจากไปแล้ว ทุกคนต่างก็ได้รับจดหมายเรียบร้อย เดิมทีตั้งใจจะแยกย้ายกันไป ใครจะคิดว่าอวิ๋นจวากลับก้าวมาเบื้องหน้าและเอ่ยว่า “ทุกท่านรอสักครู่!”
หลินเจิ้งขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจและเอ่ยออกไป “อะไรอีกอวิ๋นจวา เ้า้าบังคับให้พวกเราอยู่ต่ออย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นจวาเองก็แสดงสีหน้าไม่พอใจใส่อีกฝ่าย แต่เมื่อหันกลับไปหาทุกคนก็ยิ้มแย้มและพูดว่า “ที่ทุกคนเดินทางมายังอวิ๋นหลานซานในวันนี้ก็เพื่อหารือเกี่ยวกับการยับยั้งการรุกรานของสัตว์ร้าย เื่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เหตุใดจึงไม่อยู่ต่อ หรือพวกเ้ามาที่นี่เพียงเพราะใช้เื่การรุกรานนั้นมาบังหน้า ทว่าแท้จริงก็มาเพื่อชมเื่สนุกเท่านั้น”
หนึ่งในนั้นตอบว่า “หารืออะไรกัน ผู้ส่งสารของสำนักมิ่งเก๋อกลับไปแล้ว พวกเราจะหารือกันได้อย่างไร”
อวิ๋นจวาชี้ไปบนจดหมายของตน “พวกเ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งทำเป็ไม่เข้าใจ คนผู้นั้นมาที่นี่ก็เพื่อส่งสารเท่านั้น ส่วนสำคัญของการหารืออยู่ในจดหมายพวกนี้ต่างหาก กุญแจสำคัญก็คือเนื้อความที่เขียนมา จะไม่เปิดดูสักหน่อยหรือ”
“หากอยากดูก็กลับไปดูเองได้ เหตุใดต้องเปิดที่นี่”
ในเวลานี้อูิหลิงก็เอ่ยขึ้นบ้าง “ทุกคนลองเปิดจดหมายเถิด ข้าเปิดอ่านแล้ว คิดว่าเนื้อหาด้านในคงคล้ายๆ กัน”
อูิหลิงเป็บุตรสาวคนโตจากหุบเขาไป่หลิง นอกจากมีรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดาแล้ว ่เวลาปกติก็หมั่นฝึกฝนเพื่อนำวิชาไปช่วยชีวิตผู้คน มักมีเมตตาต่อผู้อื่น นางจึงเป็คนที่น่าไว้ใจในสายตาของทุกคน เมื่อนางเอ่ยปาก ทุกคนต่างก็เปิดจดหมายในมือด้วยสีหน้างุนงง
สีหน้าของอูิหลิงไม่ค่อยสู้ดีนัก นางมองหลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ด้านข้างด้วยความกังวล
“ในจดหมายเขียนว่าอย่างไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้รับจดหมาย ทำได้เพียงเอ่ยถามอูิหลิงและจิ่วฟางเทียนฉีเท่านั้น แต่ก่อนที่ทั้งสองจะตอบ คนรอบข้างก็เริ่มมีท่าทีสับสนวุ่นวาย
“นี่... เป็ไปได้อย่างไรกัน”
“มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา เกิดความสงสัยเกี่ยวกับเนื้อความในจดหมาย
“อวิ๋นจวา คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานได้ทำอะไรกับจดหมายพวกนี้หรือไม่” หลินเจิ้งชี้ไปยังอวิ๋นจวาแล้วเอ่ยถาม
อีกฝ่ายตอบพร้อมรอยยิ้ม “อวิ๋นหลานซานทำอะไรอย่างนั้นหรือ ช่างกล้าพูด! เ้าทุกคนจำลายมือผู้นำตระกูลของตนเองไม่ได้หรือไร”
ทุกคนกุมขมับ ไม่อาจซ่อนสีหน้าเอาไว้ได้ นั่นคือเื่จริง เนื้อความในจดหมายล้วนเหมือนกันหมด จะต่างก็ตรงที่เป็ลายมือของผู้นำตระกูลแต่ละท่าน ทว่าเนื้อหาของจดหมายนี้ช่างไม่ยุติธรรม ทำให้ทุกคนยากจะยอมรับ
“ให้ลูกหลานทุกตระกูลไปยังเทือกเขาจู่เสียเพื่อต้านทานการรุกรานของสัตว์ร้าย แต่มีเพียงอวิ๋นหลานซานของพวกเ้าเท่านั้นที่คอยเฝ้าอยู่ในเฟิ่งเทียน แบบนี้ไม่เกินไปหรือ” ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของหลินเจิ้ง
หลิ่วไป๋เจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินเนื้อความในจดหมาย ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เหตุใดผู้เฒ่าในสำนักมิ่งเก๋อจึงตัดสินใจเช่นนี้ รู้ไหมว่าอันตรายเพียงใดที่จะให้ลูกหลานออกจากแหล่งกบดาน การทำเช่นนี้มีความเสี่ยงสูงมาก หากคนในตระกูลถูกจู่โจมก็เท่ากับว่าเป็การทำลายรากฐานให้เสียหาย
ผู้นำตระกูลคนอื่นๆ เขาไม่เข้าใจหรอก แต่เหตุใดผู้าุโทั้งสองอย่างท่านจิ่วฟางเจวี๋ยและท่านอูอีถึงได้ตัดสินใจเช่นนั้นด้วย นอกจากนี้บิดาของเขาก็ไม่ได้ส่งข้อความใดๆ ให้แม้แต่คำเดียว
“ทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ในเมื่อท่านผู้นำตระกูลตัดสินใจเช่นนั้น แสดงว่าต้องมีเหตุผล พวกเราต้องปฏิบัติตาม” อวิ๋นจวาก้าวขึ้นหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ทุกคนต่างไม่สบอารมณ์ หันไปมองหลิ่วไป๋เจ๋อและจิ่วฟางเทียนฉี อันที่จริงชิงหลิ่วถัง ตระกูลจิ่วฟาง และอวิ๋นหลานซานต่างก็เป็สามเสาหลักของเฟิ่งเทียน เพียงแต่ว่าคุณชายทั้งสองยังเยาว์วัยนัก โดยเฉพาะหลิ่วไป๋เจ๋อ แม้ว่าจะมีพลังิญญาที่แข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ยังไม่ถึงวัยสวมจี๋ก้วน เกรงว่าต่อให้มีความสามารถก็ไม่อาจเป็ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนได้
จู่ๆ จิ่วฟางเทียนฉีก็เอ่ยขึ้น “ตระกูลจิ่วฟางของข้าคุ้มกันอยู่ที่เทือกเขาจู่เสียมาหลายชั่วอายุคน ได้ต่อสู้ในสมรภูมิมาเป็เวลาหลายร้อยปี ไม่รู้ว่าความสำเร็จนับร้อยปีนั้นจะสามารถนำมาแลกเป็โอกาสให้ข้าแสดงความเห็นในยามนี้ได้หรือไม่”
สีหน้าของผู้คนพลันเปลี่ยนไป ก่อนจะมีคนพูดว่า “คุณชายจิ่วฟางพูดมาตามตรงเถิด ถึงไม่นำเื่ที่ตระกูลของเ้าดูแลเทือกเขาจู่เสียมาเป็ร้อยปี แค่การที่คุณชายเป็วีรบุรุษั้แ่อายุยังน้อยก็ทำให้พวกเราพร้อมจะฟังแล้ว”
ทุกคนต่างเห็นด้วย
“เอาล่ะ เมื่อเป็เช่นนี้ เทียนฉีจะขอนำการประเมินด้วยตนเองมาเสนอแนะ ยามนี้ดินแดนเจ๋อประสบวิกฤตถึงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน ครั้งนี้ที่ต้องหยุดยั้งการรุกรานของสัตว์ร้าย ทุกตระกูลไม่จำเป็จะต้องส่งกำลังคนออกมาหมด ส่งมาเพียงครึ่งหนึ่งก็พอ ทุกตระกูลต้องทำเช่นนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น”
หลังจากได้ยิน ทุกคนต่างก็เห็นด้วย “ตระกูลจิ่วฟางประจำการอยู่ที่เทือกเขาจู่เสีย การให้พวกเราส่งคนออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยปกป้องบ้านเมือง ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ตระกูลหลินของข้าเห็นด้วย!”
ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดนี้ ดีกว่าส่งคนออกมาจนหมดตระกูล
อวิ๋นจวาเอ่ยด้วยวาจาโเี้ “พวกเ้าทุกคนไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้นำตระกูลตนเองอย่างนั้นหรือ”
“คุณชายรองอวิ๋น ท่านผู้าุโของทุกตระกูลล้วนให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมเป็หลัก สิ่งที่คุณชายจิ่วฟางกล่าวล้วนเป็ประโยชน์ต่อทุกตระกูล ข้าคิดว่าผู้าุโทุกท่านในสำนักมิ่งเก๋อก็จะเห็นด้วยเช่นกัน”
คำพูดของอูิหลิงยิ่งทำให้สถานการณ์มั่นคง แม้ว่าอวิ๋นจวาจะไม่เต็มใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทุกคนก็จำต้องกลืนคำพูดลงคอ กัดฟันเอ่ยว่า “ตกลง!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน จิ่วฟางเทียนฉีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ข้าอยากบอกทุกคนว่ายามนี้สถานการณ์ที่เทือกเขาจู่เสียหนักหนาสาหัสนัก มีเวลาให้เตรียมตัวเพียงหนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือนโปรดนำคนของพวกท่านไปที่เทือกเขาจู่เสีย เวลากระชั้นชิดเข้ามาแล้ว อย่ามัวชักช้ากันอีกเลย”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย เวลาไม่เคยคอยท่า แต่ละคนทยอยออกจากอวิ๋นหลานซาน จากไปโดยไม่ได้ร่ำลา นั่นทำให้อวิ๋นจวาโกรธเป็อย่างมาก จึงทุบถ้วยหยกในมือจนแตกละเอียด
“รอก่อนเถอะ สักวันหนึ่งข้าจะทำให้พวกเ้าต้องคุกเข่าขอร้องข้า!”
—-------------------------
