หลังคนในหมู่บ้านรู้ว่ามีูเาซงมีของกิน เกินครึ่งก็พากันไปูเาซงเสียหมด
หมู่บ้านซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้มีชีวิตชีวามากนัก ยามนี้ถูกทิ้งร้างยิ่งกว่าเดิม
บางครั้งบนถนนก็แทบไม่เจอคนสักคน
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลี่ชิงหลิงทำได้เพียงลอบถอนหายใจเล็กน้อย หวังว่าคนในหมู่บ้านจะไม่โลภมาก เชื่อฟังนาง ไม่เข้าไปในูเาลึกและกลับมาอย่างปลอดภัย!
หลิวจือโม่เห็นว่าเด็กสาวกำลังลำบากใจกับเื่นี้ จึงแนะนำให้นางปล่อยวาง พวกเขาแค่บอกชาวบ้านเกี่ยวกับเื่นี้ จะไปหรือไม่ ก็ย่อมเป็การตัดสินใจของชาวบ้านเอง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เื่ของพวกเขา
ภายใต้การปลอบโยนทุกวันของหลิวจือโม่ หลี่ชิงหลิงก็ค่อยๆ ปล่อยวางลง แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับเื่นี้ นางเริ่มคิดว่าตนควรจะเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ หรือไม่?
ครอบครัวทั้งสองมีเงินอยู่บ้าง แต่พวกเขาไม่สามารถนั่งกินนอนกินได้
นางบอกเื่นี้กับหลิวจือโม่ หลิวจือโม่ตะลึงไปครู่หนึ่งและถามว่านาง้าขายอะไร
เขาทำเงินจากการคัดลอกหนังสือได้ไม่มากนัก หากมีทางออกอื่นย่อมดีกว่า
หลี่ชิงหลิงไม่รู้จะทำอะไร นางจึงตัดสินใจไปดูในเมือง
นางมองว่าขายของกินเล่นเล็กๆ น่าจะดี
แต่นางไม่ได้พูดออกมา ไว้ไปดูตลาดแล้วค่อยกลับมาคุยกับหลิวจือโม่
พูดแล้วก็ลงมือทำ หลี่ชิงหลิงตัดสินใจไปดูที่เมืองทันที ดูทุกอย่างเกี่ยวกับตลาด จากนั้นกลับมาเพื่อเตรียมการ
หลิวจือโม่ไม่คัดค้าน เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการค้าขาย จึงได้เพียงทำตามความปรารถนาของหลี่ชิงหลิง
"ข้าจะไปเป็เพื่อน" แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยก็คงจะพอให้คำแนะนำได้
หลี่ชิงหลิงพยักหน้า ทั้งสองครอบครัวทำร่วมกัน แน่นอนว่าเขาควรมีส่วนร่วมด้วย
ทั้งสองบอกน้องชายของตนแล้วรีบไปที่เมือง ครั้งนี้ทั้งสองเดินเร็วกว่าเดิม ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึงเมือง
พวกเขาตรงไปที่ถนนทิศเหนือที่พลุกพล่าน ถนนทิศเหนือเต็มไปด้วยชาวบ้านทั่วไป หากพวกเขาตั้งแผงขายที่นั่นจะเป็การดีกว่า
ตอนเข้าเมืองเป็ครั้งแรก หลี่ชิงหลิงได้เดินเล่นรอบเมืองพร้อมมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในใจ แต่คราวนี้นางมาเพื่อหาตลาด นางจึงสอดส่องอย่างระมัดระวังมากขึ้น
เห็นแผงขายเกี๊ยวเล็กๆ นางจึงลากหลิวจือโม่ไปกินชามหนึ่ง เกี๊ยวมีทั้งไส้ผัก ไส้เนื้อ น้ำแกงของเกี๊ยวต้มจากน้ำเปล่า รสชาติธรรมดามาก
หลังจากที่หลี่ชิงหลิงกินเสร็จก็เริ่มมีความคิด จากนั้นพาหลิวจือโม่ไปชิมขนมข้างทางอื่นๆ และเปรียบเทียบในใจ
หลังจากเดินเสร็จ ท้องของทั้งสองคนก็อิ่มจนจุก
"คิดยังไง? แน่ใจไหม?” หลิวจือโม่มองหลี่ชิงหลิงซึ่งกำลังครุ่นคิด
เขาไม่เคยค้าขาย ไม่รู้เกี่ยวกับด้านนี้ ต้องดูหลี่ชิงหลิงเป็หลัก เขาคิดว่านางมีพร์ในด้านนี้
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ทักษะการทำอาหารของนางก็น่าทึ่งแล้ว
หลี่ชิงหลิงคิดกับของว่างที่เคยกินในยุคปัจจุบันอย่างจริงจัง จากนั้นก็คิดถึงร้านขายของว่างบนถนนทิศเหนือ
หลังจากการเปรียบเทียบ เด็กสาวก็ตัดสินใจ
พวกเขาบังเอิญเดินผ่านร้านตีเหล็ก นางหยุดชะงักก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้าไปในร้านตีเหล็ก หลิวจือโม่ไม่รู้ว่านางกำลังจะทำอะไร จึงได้แต่เดินตามไปเงียบๆ
หลี่ชิงหลิงตัดสินใจทำแป้งทอดไข่ ซึ่งแตกต่างจากในยุคนี้และต้องใช้แม่พิมพ์
“ทั้งสองท่าน้าอะไร” ช่างตีเหล็กเข้ามาถามพลางปาดเหงื่อออกจากใบหน้า
“ข้าอยากทำแม่พิมพ์ ทำได้ไหมเ้าคะ?”
“ได้ แม่หนู้าแบบไหน มีแบบไหม”
หลี่ชิงหลิงย้อนนึกอยู่พักหนึ่ง ขอกระดาษและพู่กันมาเริ่มวาดช้าๆ
ทักษะการวาดภาพของนางไม่ดีมาก แต่โชคดีที่ช่างสามารถเข้าใจได้ ดูแล้วบอกสามารถทำได้
ทำได้ก็ดี หลี่ชิงหลิงยิ้ม ถามช่างว่าเท่าไร กี่วันถึงจะได้
“หนึ่งร้อยเหวิน พรุ่งนี้ก็ได้แล้ว” แม่พิมพ์นั้นเรียบง่าย เขาสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
หลี่ชิงหลิงจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว จากนั้นดึงหลิวจือโม่ออกมาอย่างอารมณ์ดี
สายตาของเขามองนางที่จับมือเขา รอยยิ้มฉายชัดในดวงตา หลิวจือโม่ถามนางว่าจะขายอะไร
นางให้คนตีเหล็กแล้ว คงคิดแล้วว่าจะขายอะไร
หลี่ชิงหลิงเหลือบมองแล้วกะพริบตา "พรุ่งนี้ก็รู้แล้ว ตอนนี้เป็ความลับไปก่อน” ให้เขาได้ประหลาดใจพรุ่งนี้
เขาหัวเราะเบาๆ “ได้ ข้าจะรอ” ยังไงพรุ่งนี้ก็ได้รู้ ดังนั้นเขาจึงไม่ถามนางอีก
หลี่ชิงหลิงคิดว่าแป้งทอดไข่ร้อนๆ หากลูกค้าไม่มีอะไรใส่ก็คงจะลำบาก นางจึงต้องแก้ปัญหานี้
ในยุคปัจจุบัน แป้งทอดไข่บรรจุในถุงพลาสติกโดยตรงและสามารถรับประทานได้ตลอดเวลา แต่ที่นี่ไม่มีถุงพลาสติก แล้วนางจะใช้อะไรบรรจุ?
เมื่อเห็นเด็กสาวขมวดคิ้วอีกครั้ง หลิวจือโม่ก็ถามนางว่าเป็อะไร?
"พี่จือโม่ กระดาษกันไขมันที่นี่แพงไหม" หลี่ชิงหลิงคิดว่ากระดาษกันไขมันสามารถทำเป็ถุงใบเล็กๆ ได้ ซึ่งทั้งกันน้ำมันและสวยงาม
"แพง..." หลิวจือโม่พยักหน้าทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิงหลิง กระดาษกันไขมันที่นี่ค่อนข้างหายากและราคาจะค่อนข้างสูง "ราคาอย่างน้อย 40 เหวิน จะเอาไปทำอะไร?”
เมื่อได้ยินว่ากระดาษกันไขมันมีราคาแพงมาก หลี่ชิงหลิงก็ล้มเลิกความคิดทันที แผงลอยเล็กๆ ยังไม่ได้กำไร จะเสียเงินจำนวนมากไปกับกระดาษกันไขมันคงไม่คุ้ม
"ขนมที่ขาย ถ้าไม่มีอะไรจะใส่จะลำบาก ข้าแค่อยากเอามาทำเป็ถุงเล็กๆ ให้ลูกค้า" หลี่ชิงหลิงเพิ่งรู้ตัว ปล่อยมือของหลิวจือโม่อย่างช้าๆ นางเกาหัวอย่างเป็ทุกข์ "กระดาษกันไขมันแพงขนาดนั้นคงไม่ได้ ข้าคิดไม่ออกว่าจะใช้อะไรดี"
หลิวจือโม่รู้สึกเสียดาย เขาจับมือที่หลี่ชิงหลิงเคยกุมแล้วกระแอมในลำคอ "ค่อยๆ คิด ไม่ต้องเครียด"
หลี่ชิงหลิงคิดอยู่พักหนึ่ง แต่นางคิดไม่ออกจริงๆ จึงยอมแพ้
“ไปซื้อข้าวกับเนื้อกลับบ้านกินกัน!” เด็กๆ ที่บ้านไม่ได้กินเนื้อมาหลายวันแล้ว ซื้อกลับไปให้เด็กๆ แก้อยากหน่อย
หลิวจือโม่ตอบรับและเดินไปที่ร้านหมูข้างๆ กับหลี่ชิงหลิง
ทั้งสองซื้อของเสร็จก็ตรงกลับบ้าน ไม่เดินเล่นอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ชิงหลิงเข้าเมืองเพื่อรับแม่พิมพ์ เมื่อได้แม่พิมพ์แล้วก็บอกช่างตีเหล็กว่าห้ามช่วยคนอื่นทำแม่พิมพ์แบบนี้อีก
นาง้าหารายได้เพิ่มด้วยขนมนี้ ไม่อยากให้คนอื่นรีบเลียนแบบนัก
ช่างตีเหล็กย่อมรับคำขอของลูกค้าเสมอ
หลี่ชิงหลิงไปซื้อไข่และแป้งแล้วรีบกลับบ้าน
อันที่จริงนางก็ไม่เคยทำแป้งทอดไข่ แต่นางเคยเห็นคนอื่นทำและมันก็ไม่ยากนัก แต่นางก็ต้องลองก่อน หวังว่าจะไม่ล้มเหลว
ทันทีที่กลับถึงบ้าน นางขอให้หลิวจือโม่จุดเตาถ่านในบ้านของเขา
หลิวจือโม่เห็นว่านางนำแม่พิมพ์กลับมาและรู้ว่านางกำลังจะเริ่มทำอาหาร เขาจึงวิ่งไปที่ครัวและจุดเตาถ่านที่ไม่ได้ใช้งานมานานโดยไม่พูดอะไรสักคำ
"พี่ นี่คืออะไร?" หลี่ชิงเฟิงวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นแม่พิมพ์ที่หลี่ชิงหลิงวางอยู่บนพื้นก็ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
หลี่ชิงหลิงลูบหัวเขาและพูดอย่างลึกลับว่า เดี๋ยวก็รู้
หลี่ชิงเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับความอยากรู้อยากเห็นและตามติดพี่สาว อยากรู้จริงๆ ว่าพี่เขาจะทำอะไรอร่อยให้กิน?
หลี่ชิงหลิงชำเลืองมองหลี่ชิงเฟิงอย่างขบขัน แต่แทนที่จะไล่เขาออกไป นางปล่อยให้เขาตามติด สั่งให้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ล้างแม่พิมพ์แทน
หลี่ชิงเฟิงเต็มใจทำตาม เขาทำงานที่พี่สั่งด้วยรอยยิ้ม
"พี่ชิงหลิง มีอะไรให้ข้าทำอีกไหม" หลิวจือเยี่ยนไม่อยากรั้งท้าย
เด็กๆ อยากทำงาน หลี่ชิงหลิงย่อมไม่ห้าม ดังนั้นนางจึงบอกให้หลิวจือเยี่ยนล้างผักทั้งหมดที่เก็บมา
หลิวจือเยี่ยนมีงานทำแล้วจึงรีบบึ่งไปทำ
นับั้แ่ที่ทั้งสองครอบครัวได้กินข้าวด้วยกัน เขาก็ประทับใจในทักษะการทำอาหารของพี่ชิงหลิงมาก
ในอดีต เขาคิดว่าอาหารที่พี่ชายของเขาทำนั้นไม่เลว แต่หลังจากเปรียบเทียบกับพี่ชิงหลิงแล้วก็รู้สึกว่ามันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หลังกินฝีมือพี่ชิงหลิง เขาก็ไม่อยากกินอาหารที่พี่ชายทำอีกต่อไป
"พี่ ข้า… ข้าก็อยากทำเหมือนกัน" เมื่อเห็นว่าพี่ชายทั้งสองมีสิ่งที่ต้องทำ หลิวจือโหรวก็กระวนกระวายใจวิ่งไปกอดน่องของหลี่ชิงหลิง
หลี่ชิงหลิงคุกเข่าลงและจุ๊บหลิวจือโหรว "ถ้าอย่างนั้น โหรวโหรวช่วยพี่รองล้างผัก ได้ไหม" เมื่อเห็นเด็กเรียบร้อยแบบนี้ นางก็รู้สึกมีความสุขมาก
"อืม..." หลิวจือโหรวพยักหน้า ขาสั้นๆ วิ่งไปหาพี่รอง
หลิวจือเยียนกลัวว่าน้องสาวจะทำเสื้อผ้าเปียก จึงให้นางเด็ดผักมาใส่กะละมัง เขาจะได้ล้าง
หลิวจือโหรวไม่สนใจว่าเป็งานอะไร ขอแค่มีให้ทำก็พอ
เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ชายพูดก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง วิ่งไปเก็บผักจากอีกฝั่ง
หลิวจือโม่จุดไฟ เขายืนข้างหลี่ชิงหลิง ถามนางว่าต้องทำอะไรอีก เขาอยากช่วยแบ่งเบา
หลี่ชิงหลิงเห็นหลิวจือเยี่ยนใส่ผักที่ล้างแล้วไว้ในตะกร้า นางจึงขอให้หลิวจือโม่หั่นผักทั้งหมด
นางแสดงวิธีการหั่นผักให้หลิวจือโม่ดู
หลิวจือโม่มอง ตอบรับและรับมีดทำครัวจากมือของนาง
หลี่ชิงหลิงไปเอาน้ำมันและเกลือออกมาทั้งหมด เทลงในกะละมัง คนใบผักที่หลิวจือโม่หั่นแล้วให้เข้ากันในอ่าง
นางไปเทแป้งลงในกะละมังอีกใบหนึ่ง เติมน้ำลงไป แล้วคนช้าๆ เมื่อรู้สึกว่าพอเหมาะแล้ว จึงวางแม่พิมพ์ลงบนเตาถ่าน
เทน้ำมันลงบนแม่พิมพ์และเทแป้งที่คนเรียบร้อยแล้วลงไป ใส่ผักใบเขียวลงไปรอสักครู่แล้วจึงตีไข่ตาม
ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยออกมา ทำให้เด็กๆ กลืนน้ำลายเอื๊อกไม่หยุด
