คติประจำใจของลั่วเสี่ยวซีคือใครไม่ทำร้ายเธอก่อนเธอก็ไม่ทำร้ายเขา แต่ถ้าใครทำร้ายเธอเมื่อไรเธอขอจัดการให้สาสมก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เพราะฉะนั้นสำหรับเธอความสิ้นหวังผุดขึ้นมาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนจะหายไป
สองวินาทีให้หลังเธอก็กำหมัดแน่นก่อนจะชกเข้าไปที่ขมับเขาเต็มแรง
เธอไม่ตบหน้าเขาหรอกเพราะนี่คือสิ่งทีู่เี่อันสอนเธอมา คนเราสามารถาเ็ทางสมองได้จากถูกทำร้ายภายนอกนอกจากบริเวณท้ายทอยแล้วก็มีจุดที่ขมับนี่แหละที่สามารถทำให้เกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง วันนี้เธอไม่เพียงแต่จัดการชายตรงหน้าให้หมอบเธอกะจะต่อยเขาให้ต๊องไปเลย
คนขับแท็กซี่ถูกหมัดลั่วเสี่ยวซีเข้าไปจนมึนไปชั่วครู่ก่อนจะตามมาด้วยอารมณ์โทสะที่พลุ่งพล่าน
“เชี่...ใส่ชุดแบบนี้ไม่ใช่พวกอีตัวหรือไง!”เขาตะคอกใส่เธอ “หรือต้องจ่ายเงินก่อนถึงจะยอมฮะ?”
คนขับควักแบงก์ร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋ากางเกงและโปรยใส่หน้าลั่วเสี่ยวซีลั่วเสี่ยวซีโกรธจัดถึงขีดสุด
เธอคว้าธนบัตรพวกนั้นปาใส่หน้าเขา
“ไสหัวไป!แกมากกว่าที่ควรไปขายตัว! อ๋อ ไม่สิ หน้าตาอย่างแกขายไปก็ไม่มีใครซื้อ!”
เธอกำหมัดกะจะชกเข้าไปที่ขมับเขาอีกครั้งแต่คราวนี้คนขับระวังตัวมากขึ้น เขาคว้ามือเธอไว้ก่อนจะใช้ลำตัวอ้วนๆ ทาบทับเธอทำให้เธอไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้
คราวนี้ถ้าเธอบอกว่าไม่กลัว ก็คงเป็เื่โกหก
แต่ทางขึ้นูเาเปลี่ยวๆแบบนี้ จะมีใครมาช่วยเธอล่ะ?
คนขับแย้มยิ้มชั่วร้ายเขาไม่รีบร้อนอีกต่อไป เพราะตอนนี้เหยื่ออยู่ในกำมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
“ดูไม่ออกนะว่าเธอจะชอบความรุนแรง”เขาพูดอย่างหื่นกระหาย “เดี๋ยวฉันจะทำให้เธออยากจะร้องก็ร้องไม่ออก”
ลั่วเสี่ยวซีหัวเราะเสียงเย็น“ที่ฉันจะร้องไม่ออก ก็เพราะแกมันไร้น้ำยามากกว่า!”
คราวนี้คนขับโกรธจัดเขายื่นมือไปกระชากเสื้อผ้าของลั่วเสี่ยวซีในทันทีลั่วเสี่ยวซีดิ้นเอาเป็เอาตายจึงทำให้หอบหายใจแรงซึ่งนั่นยิ่งทำให้ชายตรงหน้าระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ การกระทำของเขายิ่งเลยเถิดเข้าไปใหญ่
ลั่วเสี่ยวซีนึกจะโหดขึ้นมาก็น่ากลัวไม่น้อยเธอกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในฝ่ามือ
“ถ้าแกกล้าทำอะไรฉันอยากมากวันนี้พวกเราก็ตายไปด้วยกัน”
คนขับชะงักไปลั่วเสี่ยวซีสังเกตเห็นเงาคนที่พาดผ่านด้านนอกรถ เธอไม่เสียเวลาคิดให้มากความส่งเสียงะโร้องออกไปทันที
“ช่วยด้วย!”
ถ้าคนคนนี้ช่วยเธอได้เธอจะขอตามติดเขาไปตลอดชีวิตเลย
ซูอี้เฉิงลากคนขับแท็กซี่ออกมาจากรถก่อนจะผลักชายวัยกลางคนร่างอ้วนตรงหน้าให้ล้มลงไปที่พื้นคบขับเงยหน้ามองซูอี้เฉิงพลางคิดว่าชายหนุ่มร่างกายสูงโปร่งแถมใส่สูทรองเท้าหนังแบบนี้ คงไม่ได้แน่สักเท่าไร
คนขับรีบลุกขึ้นมา“อุตส่าห์เจอของดีหายากทั้งที ฉันขอเตือนว่าแกอย่าเข้ามายุ่งดีกว่าหรือว่าอยากจะร่วมด้วยล่ะ? ไม่มีปัญหารอฉันเสร็จก่อนแล้วแกค่อยต่อก็ได้”
ไม่รู้ว่าคำไหนกันแน่ที่ทำให้ซูอี้เฉิงเดือดถึงขีดสุดแววตาของเขาเย็นเยียบก่อนจะส่งหมัดหนักๆ อัดเข้าหน้าคนขับไปเต็มๆแต่เขาก็ยังไม่พอใจ จึงกระทืบลงไปบนกระดูกซี่โครงของคนขับอีกหลายทีชายที่เมื่อครู่ในสมองเต็มไปด้วยความคิดสกปรกขณะนี้กลับทำได้แค่อ้อนวอนขอร้องอย่างเ็ปอยู่ที่พื้น
ซูอี้เฉิงยิ้มเย็นก่อนจะกระทืบซ้ำเขาไม่สนว่ากระดูกขาของชายตรงหน้าหักไปแล้วหรือไม่แต่ที่แน่ใจคือมันคงหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
จากนั้นเขาจึงเข้าไปดูลั่วเสี่ยวซีที่ยังอยู่ในรถแท็กซี่เธอยังคงตื่นตระหนกขดตัวกอดตัวเองอยู่ที่มุมรถ ดวงตาคู่โตปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
เธอไม่ร้องไห้นี่คือสิ่งที่ซูอี้เฉิงประหลาดใจ แต่อย่างว่า ถ้าร้องไห้ก็คงไม่ใช่ลั่วเสี่ยวซี
ซูอี้เฉิงลากเธอให้ออกมาจากรถ
“คิดจะอยู่บนแท็กซี่ปลอมคันนี้ไปอีกนานไหม”
ลั่วเสี่ยวซีเข่าอ่อนจนแทบล้มลงไปกองที่พื้นซูอี้เฉิงรีบพยุงตัวเธอไว้ก่อนจะสังเกตเห็นสีหน้าซีดขาวของเธอแต่อย่างน้อยในตอนนี้ดวงตาคู่นั้นก็เริ่มกลับมามีประกายดังเดิมขึ้นบ้าง
ที่จริงลั่วเสี่ยวซีก็แค่ยังใไม่หายหลังจากเห็นซูอี้เฉิงเธอก็ไม่หวาดกลัวอีกต่อไปตอนนี้เหลือแค่เพียงความใจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
เธอพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเกินไป
“เมื่อกี้นายบอกว่าแท็กซี่ปลอมอะไร?”
“มันไม่ใช่คนขับรถแท็กซี่ทะเบียนก็เป็ของปลอมที่พวกบริษัทแท็กซี่เถื่อนทำขึ้นเอาไว้หลอกผู้หญิงอกใหญ่แต่ไร้สมองอย่างเธอให้ขึ้นรถไปกับพวกมันไง”
ลั่วเสี่ยวซีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“F*ck หน้าอกใหญ่ก็ผิดงั้นเหรอ?”
“ตำรวจใกล้มาถึงแล้ว”ซูอี้เฉิงกล่าว “ถ้าไม่อยากถูกตำรวจลากไปสอบสวนดึกดื่นแบบนี้ก็รีบกลับไปกับฉัน”
ลั่วเสี่ยวซียืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับจนซูอี้เฉิงต้องลากเธอเดินไป
เธอสวมรองเท้าส้นสูงกว่าเจ็ดเิเเพราะขาอ่อนแรงแถมถนนก็ขรุขระทำให้เดินได้อย่างทุลักทุเล หลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของซูอี้เฉิง ก่อนทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นได้จึงถอดส้นสูงมาคล้องแขน และเดินย้อนกลับไป
ซูอี้เฉิงเพิ่งเคยเห็นสายตาเย็นเยียบเด็ดขาดของเธอเป็ครั้งแรก
แล้วก็เป็ตามที่คาดเธอกลับไปชำระแค้นให้สาสม เธอใช้ส้นรองเท้าแหลมๆ คู่นั้นตีลงไปที่หัวของคนขับจนแตกเืซึมเป็สาย
ซูอี้เฉิงรู้ดีว่าหากไม่ปล่อยให้เธอระบายความโกรธในวันนี้วันหน้าเธอก็คงหาโอกาสชำระแค้นอีกเป็แน่ เขาจึงปล่อยให้เธอทำตามอำเภอใจแต่ลั่วเสี่ยวซียิ่งตีก็ยิ่งแรง ชายร่างอ้วนร้องขอชีวิตไม่หยุดสุดท้ายเธอจึงทิ้งรองเท้าคู่นั้นไว้ข้างกายเขาก่อนจะลุกขึ้นมา
ซูอี้เฉิงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอรับมาเช็ดมือก่อนเอ่ย
“ไว้วันหลังฉันซื้อผืนใหม่คืนให้นายแล้วกัน”
พูดจบเธอก็โยนผ้าเช็ดหน้าลงบนพื้นก่อนจะเดินเท้าเปล่าไปยังรถของซูอี้เฉิงแต่ก็พบว่ายังต้องเดินอีกไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร จึงอดบ่นขึ้นไม่ได้
“ทำไมนายไปจอดรถซะไกลขนาดนั้น”
ซูอี้เฉิงตอบอย่างไม่แยแส“ฉันกลัวว่าเธอจะนัดใครมาเดทที่นี่เลยไม่อยากเข้าใกล้เกินไปเดี๋ยวจะเป็การรบกวนอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของเธอ”
ลั่วเสี่ยวซีหันกลับไปมองเขาอย่างโมโห“นายหมายความว่าไง!”
เธอโกรธจัดจนพุ่งตัวเข้าหาเขาราวแม่สิงโตตัวน้อยเธออยากจะผลักเขาให้ตกเขาไปซะ จะได้ไม่ต้องมาจมปลักคิดถึงแต่เขาอยู่แบบนี้
แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอรู้สึกก็คือััของเศษกระจกที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นถนนเธอดันไปเหยียบพวกมันซะได้
ไม่รู้ว่ามีเศษกระจกกี่ชิ้นทิ่มเข้าไปในเท้าของเธอเธอเจ็บจนไม่อาจขยับไปไหน ขอบตาเริ่มร้อนแดงขึ้นมา
แสงไฟหน้ารถที่สาดส่องเข้ามาทำให้ซูอี้เฉิงสังเกตเห็นรอยเืสีแดงสดที่ไหลซึมไปทั่วพื้นบริเวณที่ลั่วเสี่ยวซียืนอยู่
“ลั่วเสี่ยวซี!นี่เธอมีตาหรือเปล่า”
เขาอุ้มลั่วเสี่ยวซีขึ้นมาอย่างโกรธจัดก่อนจะรีบเดินตรงไปที่รถ
ลั่วเสี่ยวซีเพิ่งเคยถูกเขาอุ้มท่าเ้าหญิงเป็ครั้งแรกไม่นึกเลยว่ากว่าวันนี้จะมาถึง เธอต้องโดนเขาสวดก่อนรอบหนึ่งว่าแล้วจึงเบือนสายตาหนี
“ต้องโทษนายไม่ใช่หรือไงอารมณ์พลุ่งพล่านอะไรกัน ฉันไม่มาทำอะไรกลางป่ากลางเขาแบบนี้ดึกๆ ดื่นๆ หรอก”
ซูอี้เฉิงเพลียที่จะสนใจเธอเขาโยนเธอเข้าไปในรถ ฝ่าเท้าของเธอยังคงมีเืไหลไม่หยุด เขาจึงจำใจถอดเนกไทของตนมาพันแผลห้ามเืไว้ให้เธอ
ลั่วเสี่ยวซีรู้ดีว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้คงแย่มากแต่เธอก็อดดีใจไม่ได้
กลางป่ากลางเขาแบบนี้มีเพียงเธอกับซูอี้เฉิงเขาอุ้มเธอแถมยังช่วยพันแผลให้เธออย่างตั้งอกตั้งใจ
ถ้าเป็เมื่อก่อนเขาคงไม่ปรายตามองเธอด้วยซ้ำ
ซูอี้เฉิงพันแผลเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นลั่วเสี่ยวซีกำลังยิ้มอยู่เขาจึงลุกขึ้นก่อนเอ่ย
“ลั่วเสี่ยวซีเธอโดนกระจกตำขาจนเพี้ยนไปแล้วหรือไง? ยกเท้ากลับเข้าไป”
ลั่วเสี่ยวซียกขาตัวเองเข้ามาในรถซูอี้เฉิงปิดประตูรถดังปังก่อนจะเดินอ้อมไปอีกทางเพื่อขึ้นรถและกลับรถเพื่อเตรียมลงจากเขา
ถนนสองข้างทางมืดสนิทมีเพียงไฟหน้าสองดวงที่กำลังส่องสว่างถ้าเป็ไปได้เธออยากจะให้ถนนเส้นนี้ไม่มีปลายทาง ลั่วเสี่ยวซีคิดในใจ
ทว่าไม่ถึงสิบนาทีรถของซูอี้เฉิงก็มาถึงถนนเส้นหลัก
“เรียกหมอไปที่บ้านเดี๋ยวฉันพาเธอไปส่ง”
“อย่า”ลั่วเสี่ยวซีรีบเอ่ย “ถ้าพ่อแม่ฉันมาเห็นฉันสภาพนี้คงใจนเป็ลมแน่ๆ นายพาฉันไปโรงพยาบาลเถอะ”
ซูอี้เฉิงจึงต้องขับรถไปโรงพยาบาลในเขตตัวเมือง
ตอนนั้นเองที่ลั่วเสี่ยวซีฉุกคิดอะไรขึ้นได้
“ซูอี้เฉิงทำไมนายถึงบังเอิญไปอยู่ที่นั่นพอดี?”
“ฉันจะกลับบ้าน”ซูอี้เฉิงตอบ
ลั่วเสี่ยวซีไม่ได้โง่ขนาดนั้น“บ้านนายอยู่บนเขาร้างหรือไง? เหอะ นายอยู่ถ้ำไหนล่ะ วันหลังฉันจะไปเยี่ยม อ๋อหรือว่านายพูดถึงบ้านนายที่ชานเมือง งั้นก็ควรขับตรงไปตามถนนอีกเส้นไม่ใช่เหรอแล้วขับขึ้นเขาไปทำไม? นายจำทางผิด?”
อีกอย่างน้อยครั้งที่เขาจะกลับไปที่บ้านหลังนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าเขาชอบพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ใจกลางเมืองถ้าเธอเชื่อเขาเธอก็เป็หมูแล้ว
ซูอี้เฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบ
“ฉันกำลังขับรถอย่าส่งเสียงรบกวนได้ไหม”
เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนเจี่ยนอันโดนพวกแฟนคลับหานรั่วซีดักทำร้ายลู่เป๋าเหยียนที่รีบทิ้งการประชุมไปเพื่อช่วยน้องสาวเขากลับอ้างว่าผ่านไปทางนั้นพอดี
บางครั้งคนเราก็ชอบหาข้ออ้างที่ห่างไกลจากความจริงพอถูกจับได้ก็ได้แต่บอกให้ฝ่ายตรงข้ามเงียบซะ
นั่นก็เพราะไม่แน่ใจและไม่กล้ายอมรับความรู้สึกที่เก็บซ่อนเอาไว้ของตัวเอง
ลั่วเสี่ยวซีไม่อยากซักไซ้เขาต่อจึงเอ่ยแค่ว่า
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบใจนายนะถ้าไม่มีนาย พรุ่งนี้ถ้าอยากเจอฉันนายคงต้องไปขอดูศพที่สถานีตำรวจแทนแล้วล่ะ”
เธอพูดว่าเธอจะกลายเป็ศพ? คนที่ร่าเริงแบบนี้จะกลายเป็ศพที่แน่นิ่งไม่ขยับไปไหน?
ซูอี้เฉิงไม่อยากจินตนาการถึงภาพเ่าั้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน ขนาดน้ำเสียงยังเย็นเยียบลงไปด้วย
“ลั่วเสี่ยวซีหุบปากซะ!”
หุบปากก็ได้เท้าเธอตอนนี้ก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว
จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมภายในรถเมื่อใกล้ถึงโรงพยาบาลซูอี้เฉิงก็โทรศัพท์ไปแจ้งไว้ก่อน ทันทีที่เขาจอดรถทีมแพทย์และพยาบาลก็รีบเข็นรถเข็นเข้ามา
คุณหมอช่วยเปิดประตูรถก่อนเอ่ย
“คุณหนูลั่วลงมาเถอะค่ะพวกเราจะรีบทำแผลให้คุณโดยด่วน”
ซูอี้เฉิงลงจากรถไปแล้วแต่ลั่วเสี่ยวซีกลับไม่ยอมขยับไปไหน เธอปฏิเสธเสียงแข็ง
“ซูอี้เฉิงฉันไม่อยากนั่งรถนั่น!”
บ้าจริงเธอไม่ได้ขาหักสักหน่อย ทำไมต้องนั่งรถเข็นด้วยล่ะ?
“ลงมา!”ซูอี้เฉิงออกคำสั่งเสียงเย็น
ลั่วเสี่ยวซีเบือนหน้าหนีสายตาเขาก่อนจะรู้สึกเสียหลักจึงเอื้อมมือไปโอบรอบแขนของซูอี้เฉิง เธอยิ้มอย่างเ้าเล่ห์
“นายอุ้มฉันเข้าไปแบบนี้ได้หรือเปล่า”
ซูอี้เฉิงโยนเธอลงบนรถเข็นสีหน้าเรียบเธอกัดฟันเค้นคำพูดออกมา
“ใจร้าย!”
โรงพยาบาลเอกชนที่สร้างขึ้นเพื่อให้บริการกลุ่มคนชั้นสูงแบบนี้ทั้งทีมแพทย์และพยาบาลต่างเคยได้ยินข่าวที่ลั่วเสี่ยวซีตามจีบซูอี้เฉิงมาบ้างเมื่อได้เห็นกับตาแต่ละคนก็พากันอมยิ้ม ก่อนจะเข็นลั่วเสี่ยวซีให้เข้าไปด้านใน
ลั่วเสี่ยวซีสุขภาพร่างกายแข็งแรงั้แ่เด็กเธอแทบจะไม่เคยเข้าโรงพยาบาล พอถูกหมอและพยาบาลรุมล้อมแบบนี้จึงอดคิดไม่ได้ว่ามีกระจกกี่ชิ้นกันนะที่ทิ่มลงไปบนฝ่าเท้าของเธอคิดแล้วก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา เธอจึงจับมือซูอี้เฉิงเอาไว้แน่น
“นายอยู่เป็เพื่อนฉันก่อนนะอย่าไปไหน”
