ก่อนค่อย ๆ เดินไปหาผู้มาเยือนด้วยฝีเท้าที่ก้าวเสมอกัน ด้านนอกที่สายลมเย็นพัดโชยมาปะทะกาย ร่างของหลี่เทียนจินยืนรอด้วยสีหน้าราบเรียบ เมื่อเห็นหยวนเฟิงอ๋องเดินออกมา ด้วยฐานะต่ำต้อยกว่าจึงน้อมกายลงเคารพ
“ไม่คิดไม่ฝัน ว่าหลี่เทียนจินจะมาพบข้าถึงตำหนักหานเยี่ย” สุรเสียงนุ่มลึกเอ่ยทักทาย พลางสบตาอีกฝ่าย แต่ยังคงเว้นระยะห่างหลาย่แขน
“ข้าน้อยมาพบ เพราะมีเื่บางอย่างอยากถาม” หยวนเฟิงอ๋องยิ้มมุมปาก ค่อย ๆ ก้าวเข้าใกล้อย่างไม่แสดงความเกรงกลัว
“หากให้เดา เป็เื่ของบ่าวรับใช้ในจวนข้า ที่ชื่อว่าจางเหยียนหลิง ใช่หรือไม่?” หลี่เทียนจินพยักหน้ายอมรับ
“ร้านสมุนไพรที่นางจำนำไว้กับเถ้าแก่หลิน ท่านอ๋องไถ่มาในราคาเท่าใด ข้าจะจ่ายคืนให้ในนามของนาง” หยวนเฟิงยิ้มบาง มองอีกฝ่ายั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนเอ่ย
“นางเป็บ่าวในจวนข้า ข้าไถ่ร้านสมุนไพรให้นางย่อมไม่แปลกประหลาด เท่ากับท่านที่เพิ่งแต่งงานเป็เขยของสกุลไป๋ จะนำไถ่ร้านให้บ่าวข้า....ข้าไม่เห็นว่ามีเหตุผลใดจำเป็” น้ำเสียงราบเรียบของหยวนเฟิงอ๋อง กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย ก่อนหลี่เทียนจินจะตอบกลับ
“ก่อนที่ท่านจะรับนางเข้ามาเป็บ่าว ท่านย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางตั้งครรภ์ลูกของข้า หมายความว่านางคือภรรยาของข้า ดังนั้นร้านสมุนไพรจึงควรเป็ข้าที่ต้องรับผิดชอบ”
“ภรรยา? เ้าเรียกนางว่าภรรยา ทั้งที่ปล่อยให้นางถูกรังแกจนแท้งลูก เช่นนั้นเ้าเป็สามีเช่นไร?” หยวนเฟิงอ๋องเลิกคิ้วถาม
“ท่านอ๋อง นางก็แค่บ่าวคนหนึ่งเท่านั้น ท่านแค่ปล่อยให้นางกลับมาหาข้า จะได้ไม่เป็การรบกวนท่านอีก” หยวนเฟิงอ๋องก้มลงเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มเ้าเล่ห์
“เ้าเป็ใคร? แล้วข้าเป็ใคร? เหตุใดข้าต้องฟังเ้า”
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าขอพบนาง ข้าเพียงอยากพูดคุย ทำความเข้าใจกับนางอีกครั้ง” เขาทำท่าย่างกายเข้าไปในจวน ก่อนองครักษ์ของหยวนเฟิงอ๋องจะเข้ามากันตัวไว้ พร้อมกระบี่จี้ไปที่คอหมายเอาชีวิตหากเขาฝ่าฝืนคำสั่ง
“ตอนนี้นางเป็ของข้า ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็เอานางไปจากจวนหานเยี่ยไม่ได้ทั้งนั้น!” หลี่เทียนจินชะงัก แล้วหันมองไปยังอีกฝ่าย ที่เคยได้ยินว่าเขาเป็อ๋องจอมเกเร เหล่าขุนนางต่างไม่ชอบ จนต้องระเห็จออกจากวังหลวงมาอยู่ตามลำพัง นั้นดูจะเป็เื่จริง
“ก็ได้ ข้าจะไม่เข้าไปในจวนท่าน แต่หากวันใดเป็ความ้าของจางเหยียนหลิงแล้ว...ท่านไม่มีสิทธิ์ห้ามนาง” เขากล่าวจบก็สะบัดตัวเดินจากไปอย่างไม่พอใจ
“ยืมจมูกผู้หญิงหายใจ ตายไปกี่ชาติ ก็ไม่ควรได้เกิดมาเป็มนุษย์อีก!” คำพูดของหยวนเฟิงอ๋องบาดลึก จนหลี่เทียนจินหลับตาลงแน่น กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบงัน
หยวนเฟิงอ๋องมองจนอีกฝ่ายเดินลับสายตา จึงหันตัวกลับมาพบร่างของจางเหยียนหลิงยืนมองอยู่ห่าง ๆ สายตาแน่นิ่งของเขายังคงไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ข้าไล่ให้แล้ว ไม่ดีเหรอ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ” จางเหยียนหลิงค่อย ๆ ก้าวเข้ามา สายลมเย็นพัดผ่านกายของทั้งสอง
“เขาบอกหรือไม่ ว่ามาหาข้าด้วยเื่ใด?”
“อาลัยอาวรณ์?” เขาเลิกคิ้วถาม นางสบสายตาเขาไม่หวั่นไหว
“ไม่มีใคร...จะเข้าใจความรู้สึกของข้าได้ดีไปกว่าตัวข้าเอง หากท่านจะตัดสินเช่นนั้น ข้าก็ห้ามไม่ได้ และแม้ข้าจะยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่...นั่นเพราะเขาเคยเป็สามีของข้า” คำตอบของนางทำให้ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ
“จางเหยียนหลิง หากวันนั้นเ้าตอบรับเป็ชายาของข้า ชีวิตของเ้าจะไม่ตกต่ำเช่นนี้” เขาหันสายตาไปทางอื่น แล้วเดินกลับเข้าจวนอย่างสงบ ปล่อยให้นางมองตามด้วยสายตาสั่นไหว
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงของนางหยุดฝีเท้าเขาไว้
“หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าก็จะยังไม่เลือกแต่งงานกับท่านเหมือนเดิม” เขาหันกลับมาเล็กน้อย ยิ้มมุมปาก
“พูดได้ดี เช่นนั้น...ก็อยู่ในฐานะบ่าวของข้าตลอดชีวิตเถิด” ท่าทีเย่อหยิ่งของเขาทำให้นางรู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก หากเขาไม่ได้เกิดมาเป็อ๋อง คงไม่มีทางยืนหยัดถึงทุกวันนี้ได้อย่างแน่นอน
‘ข้าไม่มีทางเป็บ่าวของท่านไปตลอดชีวิต! ข้าจะเก็บเงินเพื่อไถ่ร้านสมุนไพรคืนมาให้ได้ ถึงตอนนั้น...ไม่ว่าใครก็รั้งข้าไว้ไม่ได้’
หญิงสาวตั้งมั่นในใจ แล้วหันตัวกลับเข้าเรือนพัก ท่ามกลางสายตาบ่าวในจวน ที่พร้อมใจมองตรงมายังนาง ราวกับว่านางกำลังทำอะไรผิด
หากแต่เวลานี้จางเหยียนหลิง มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นป้ายสกุลหลี่ถูกปลด สายตาเ่าั้ไม่อาจทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่น ยังคงเดินกลับเข้าเรือนรับรองไปด้วยกิริยาราบเรียบ
ก่อนจะพบกับซูซู หัวหน้าแม่บ้านในไวไล่เลี่ยกันยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“มีอะไรงั้นเหรอ?” ก่อนอีกฝ่ายยื่นชุดใหม่เอี่ยมให้
“ท่านอ๋องให้เ้าสวมชุดนี้ไปงานเฉลิมฉลอง” หญิงสาวก้มมองชุดสีเหลืออ่อนด้วยความฉงน
“ไปรับสิ” ซูซูเร่งเร้า จางเหยียนหลิงจึงยื่นมือรับไว้ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านอ๋อง ให้ข้าใส่ชุดนี้ไปงานเฉลิมฉลองงั้นเหรอ”
“ไม่เท่านั้น ยังให้แต่งตัวเ้าด้วยเครื่องประดับพวกนี้อีก” หญิงสาวหันไปมองเครื่องเงินที่วางอยู่ด้านข้างด้วยแววตาแปลกใจ
“แต่ว่า...ข้าไปในฐานะบ่าวของท่านอ๋อง ชุดพวกนี้มัน...” ยังไม่ทันพูดจบ ซูซูก็พูดแทรกขึ้น
“เ้าจะตามเสด็จท่านอ๋องเข้าเฝ้าในฐานะคนใกล้ชิด งานเฉลิมฉลองนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงจะเข้าร่วมกันมากมาย เื่การแต่งกายย่อมสำคัญ เพื่อรักษาหน้าตาของท่านอ๋อง...แม้จะเป็เพียงบ่าว ก็ต้องแต่งให้สมเกียรติ” จางเหยียนหลิงมองชุดในมือ แล้วพึมพำออกมา
“นี่ไม่ใช่ชุดของบ่าว” ก่อนซูซูจะยกมือขึ้นกอดอก
“ไม่ว่าในใจท่านอ๋องจะคิดอะไร แต่เมื่อสั่งให้เ้าใส่ เ้าก็ต้องใส่ เมื่อถึงวันงาน ข้าจะมาแต่งตัวให้” กล่าวจบ ซูซูก็เดินจากไป ทิ้งให้จางเหยียนหลิงยืนนิ่งมองชุดในมือ ก่อนค่อย ๆ วางชุดผืนนั้นลงเบา ๆ แล้วทิ้งตัวนั่งลง
นับจากนี้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับหยวนเฟิงอ๋องในรูปแบบใด ก็ต้องตั้งรับให้ได้ เขาก็แค่อ๋องตกต่ำคนหนึ่งเท่านั้นเหมือนที่ใครต่อใครพูดกัน
วันงานเฉลิมฉลองฮ่องเต้มาถึง โคมไฟและผ้าสีแดงสดผูกประดับไว้ตามมุมต่าง ๆ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ทยอยเดินทางเข้ามา ร่วมถึงพูดคุยเจรจากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ร่างของหลี่เทียนจินที่เดินคู่มากับภรรยาคนใหม่ของเขา นับจากเด็กจนโต เขาไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสเข้ามาเป็ขุนนางในวังหลวง เพราะฐานะยากจน บางวันข้าวในหม้อแทบไม่มีกิน ต้องดิ้นรนต่อสู้ ผ่านอุปสรรคนานัปการ ใบหน้าหล่อเหลา หันมองงานเฉลิมฉลองด้วยสายตาเป็ประกาย เป็ปีแรกที่เขาได้เข้ามาเห็นความยิ่งใหญ่ตื่นตาตื่นใจเช่นนี้
ก่อนหลี่ชิงหลีในชุดสีแดง พร้อมประดับด้วยเครื่องมุกแพรวพราวเดินเข้ามาหาลูกสะใภ้แล้วยิ้มเมตตา
“พวกเราต้องไปทางไหน ทำอย่างไรบ้าง” ไป๋หลานเสวี่ย ในเวลานี้ย้ายมาใช้สกุล หลี่ ใคร ๆ ต่างก็เรียกนางว่า หลี่ฮูหยิน หรือ หลี่หลานเสวี่ย หญิงสาวในชุดสีขาวยิ้มเล็กน้อย แล้วพาสามีและแม่สามีเดินตรงไปยังท้องพระโรงขนาดใหญ่ พร้อมด้วยบ่าวรับใช้อีกสองคนติดตามมาด้วย
หลี่ชิงหลี ที่ไม่เคยัังานใหญ่โตในวังมาก่อน ได้แต่กวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความปลื้มปีติ แล้วกระซิบกับบุตรชายเบา ๆ
“หากเ้ารับจางเหยียนหลิงเป็ภรรยา อย่าหวังเลยว่าจะได้ร่วมงานเช่นนี้” หลี่เทียนจินตอบเสียงเบา
“ท่านแม่ ตอนนี้ข้าเป็จิงซื่อ ฐานะของข้าสามารถพานางมาได้” หลี่ชิงหลีเชิดหน้าขึ้นพร้อมยิ้ม
“ต่อให้พาเข้ามาได้ เ้าจะไม่อับอายหรือ ที่ภรรยาเ้าเป็แค่แม่ค้าขายสมุนไพร ดูโน่นสิ!” นางชี้ไปยังเหล่าขุนนางที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ภรรยาของพวกเขาล้วนแต่งกายงดงาม สง่างาม สมกับฐานะ
“จางเหยียนหลิงมีคุณสมบัติเพียงพอจะเคียงข้างเ้าอย่างภาคภูมิได้หรือไม่?” กล่าวจบ หลี่ชิงหลีก็เดินนำขึ้นไปด้วยท่วงท่าสง่า โดยมีหลานเสวี่ยเคียงข้าง
แม้ถ้อยคำของมารดาจะติดจะดูแคลน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลี่เทียนจินรู้สึกโกรธ เขายังคงสังเกตสิ่งรอบตัวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหมาย ไม่นาน ขุนนางทั้งหลายก็ทยอยเข้าประจำที่นั่งในท้องพระโรงอย่างเป็ระเบียบ
หลี่ชิงหลีนั่งลงพลางมองอาหารที่จัดเรียงอยู่เบื้องหน้า รินชาลงถ้วยแล้วจิบ รสหอมหวานของชาวังหลวงทำให้นางยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ ก่อนรอยยิ้มนั้นจะชะงักลงเมื่อเห็นร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏ
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างเงียบกริบ ราวกับเวลาหยุดลง เมื่อร่างของหยวนเฟิงอ๋องในชุดสีดำสนิท ก้าวย่างเข้ามาอย่างสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเฉยชา ราวกับรูปปั้นหินเคลื่อนไหว ย่างเท้าเข้ามาในท้องพระโรงพร้อมกับจางเหยียนหลิงที่ติดตามข้างกาย
เหล่านางกำนัลและทหารล้วนก้มลงคำนับพร้อมเพรียง ทำให้จางเหยียนหลิงที่เคียงข้างรู้สึกประหลาดใจ
‘ใคร ๆ ต่างบอกว่าเขาเป็อ๋องตกอับ แต่เหตุใดเหล่านางกำนัลและทหารพวกนี้ ยังปฏิบัติต่อเขาราวกับว่ายังมีอำนาจอยู่’
“ท่านอ๋อง เชิญทางนี้เพคะ” นางกำนัลาุโผู้หนึ่งรีบเข้ามาน้อมกายรับ เสียงและถ้อยคำของนางยังคงใช้าาศัพท์เต็มยศ ทำให้สายตาของจางเหยียนหลิงสั่นไหวเล็กน้อย ปกติแล้วนางไม่เคยพูดคำาาศัพท์กับเขาเพราะคิดว่าเขาเป็อ๋อง ที่ถูกราชสำนักขับออกไปนานแล้ว
“วันนี้ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยอย่างมาก เมื่อรู้ว่าท่านอ๋องเสด็จมางานเฉลิมฉลองวันเกิด ได้รับสั่งให้หม่อมฉันจัดเตรียมที่พิเศษไว้ให้ด้วยเพคะ” จางเหยียนหลิงมองกิริยานอบน้อมของนางกำนัลาุโอย่างเงียบงัน ก่อนจะเดินตามนางไปยังโต๊ะรับรองขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากพระที่นั่งของฮ่องเต้มากนัก
เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ ต่างก็หันมองมาสีหน้าตื่นตระหนก นับสิบปีแล้ว ที่ไม่มีใครได้เห็นพระพักตร์ของหยวนเฟิงอ๋อง บัดนี้ พระองค์กลับปรากฏตัวในร่างชายหนุ่มรูปงาม สมบูรณ์พร้อมทุกกระเบียดนิ้ว
ขุนนางหลายคนเคยจงรักภักดีต่อหลัวอินกุ้ยเฟย เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับน้ำตาคลอ ดวงหน้าสั่นไหวด้วยความตื้นตัน ก่อนจะลุกขึ้นยืดกาย น้อมศีรษะลงเคารพ
“ถวายพระพรหยวนเฟิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อมีผู้เริ่มต้น ขุนนางคนอื่น ๆ ก็เริ่มมองหน้ากันอย่างลังเล ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นน้อมกายถวายพระพรอย่างระมัดระวัง ทีละคน สองคน จนในที่สุด ขุนนางทั้งท้องพระโรงต่างลุกขึ้นแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
มีเพียงครอบครัวสกุลไป๋ที่ยังนั่งนิ่ง ราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง ขณะสายตาคมเข้มของหยวนเฟิงอ๋องทอดมองตรงไปยังพวกเขา พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เป็พวกเ้าที่เชิญข้ามางานนี้เองมิใช่หรือ แล้วเหตุใดกลับทำท่าเหมือนไม่อยากต้อนรับกันเล่า...ไป๋ ฮู...หยิน!” เขาลากเสียงช้า ๆ พลางมองหญิงกลางคนด้วยแววตาเย็นเยียบ ไป๋เซิ่นเยว่ผู้เป็สามีถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ก่อนจะลุกขึ้นยืดกาย น้อมศีรษะลงเล็กน้อย แล้วกล่าว
“หยวนเฟิงอ๋อง”
“ในตอนนี้ข้าดูเป็เพื่อนเล่นกับเ้างั้นเหรอ” น้ำเสียงนั้นแฝงความเย้ยหยัน ก่อนชายผู้นั้นจะรีบก้มลึกลงกว่าเดิม
“ถวายพระพร หยวนเฟิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ขณะเดียวกัน ไป๋ฮูหยินนั่งกำมือแน่นจนสั่นเทา แต่ก่อนที่นางจะกล่าวสิ่งใด สายตาเ็าของหยวนเฟิงอ๋องก็หันขวับมาจับจ้อง
“ท่านเป็คนเดียวในท้องพระโรง ที่ยังไม่ลุกขึ้นถวายความเคารพข้า...เป็อะไรไป? หรือจะให้ข้าส่งคนไปพยุงท่านขึ้นจากเบาะ” สุรเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงความกดดัน ทำให้ไป๋เซิ่นเยว่รีบพูดแก้
“ภรรยาของข้าขาเจ็บพ่ะย่ะค่ะ อาจลุกลำบากสักหน่อย” ไป๋ฮูหยินเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลืนความขมขื่นลงคอ แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอำนาจของหยวนเฟิงอ๋องหาได้ลดถอยลง หากยังได้การต้อนรับอย่างดีจากฮ่องเต้ ถึงขั้นมีที่นั่งพิเศษถวายให้ ในเมื่อสถานะต่ำกว่า นางจึงจำใจต้องยอม
“ถวายพระพรหยวนเฟิงอ๋องเพคะ” จางเหยียนหลิงหันไปมองชายหนุ่มในชุดดำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เงียบ ๆ
‘สายตาของเขา มีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายใน... ปกติแล้ว ที่จวนหานเยี่ย เขาไม่ใช่คนยึดติดกับฐานะ คำที่ใช้พูดกับเขาไม่ใช่าาศัพท์ แต่ในตอนนี้ ทุกอย่างกลับดูเคร่งครัด แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง’ หญิงสาวยังคงนั่งเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่มองดูเหล่าขุนนางที่ค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้