กู้เจิงมองท่าทางเกรงใจของท่านลุงรอง “ท่านลุงรอง เป็เื่อะไรกันแน่เ้าคะ?”
“เป็เื่ของอวิ๋นเหนียงน่ะ อากุ้ยมักจะออกไปทำงานไม้ อวิ๋นเหนียงที่ต้องอยู่เฝ้าบ้านก็เลยรู้สึกเบื่อ แล้วในบ้านก็ไม่จำเป็ต้องให้นางทำอะไร” ป้ารองยิ้มพลางมองกู้เจิง “เ้าพอจะให้อวิ๋นเหนียงไปทำงานที่หอสมุดด้วยได้ไหม?”
“ได้สิเ้าคะ” กู้เจิงตอบตกลงโดยไม่คิด “ในหอสมุดกำลังขาดแคลนคนงาน แต่ลูกค้าที่มาหอสมุดล้วนเป็บุรุษ ข้าเกรงว่าอวิ๋นเหนียงจะรู้สึกไม่สบายใจเ้าค่ะ”
ลุงรองกับป้ารองนิ่งคิด ก่อนจะรีบกล่าวว่า “จะไม่สบายใจอะไรกัน ชาวบ้านแบบพวกเราไม่มีกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้น ถ้าอวิ๋นเหนียงรู้ข่าวนี้ ไม่รู้ว่านางจะดีใจแค่ไหนกัน”
“ขอบคุณอาเจิงมาก” ลุงรองกล่าวขอบคุณ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกเ้าค่ะ ข้ากำลังจะเปิดหอสมุดใหม่ทางทิศตะวันออกของเมืองพอดี น่าจะอีกประมาณสองเดือน ระหว่างนี้ก็ให้ชุนหงช่วยพี่สะใภ้อวิ๋นทำความคุ้นเคยกับงานในหอสมุดไปก่อน พอถึงตอนที่เปิดหอสมุดใหม่ ที่เดิมนี้ก็จะได้ให้พี่สะใภ้อวิ๋นรับ่ต่อ” กู้เจิงดีใจมากที่อวิ๋นเหนียงจะมาทำงานที่หอสมุด
ลุงรองกับป้ารองมองหน้ากัน ในใจทั้งดีใจและซาบซึ้งใจ
หลังจากทั้งสองกลับไปแล้ว นายหญิงเสิ่นก็พูดกับลูกสะใภ้จากใจจริงว่า “อาเจิง เ้าเป็คนที่ต้องรับภาระ การช่วยเหลือญาติพี่น้อง ถ้าช่วยได้ความผูกพันก็จะลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ถ้าช่วยเหลือได้ไม่ดี เป็ตายไม่ขอข้องแวะก็มีมากมาย รอจนเ้าสำเร็จการใหญ่แล้ว วันหน้าคนที่มาขอให้เ้าช่วยจะมีแต่มากขึ้น ถ้าเ้าเห็นว่าอันไหนไม่เหมาะ สมควรจะปฏิเสธก็ต้องปฏิเสธ อย่าไปกังวล ผลักมันออกไปในตอนนี้ ดีกว่าจะต้องมามีปากมีเสียงกันในวันหน้า”
“ท่านแม่” กู้เจิงหันหน้าไปมองแม่สามีด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเ้าถึงมองข้าแบบนี้?” นายหญิงเสิ่นถูกมองจนรู้สึกเขินอาย จึงจิ้มหน้าผากกู้เจิง
“ท่านแม่ช่างดีจริงๆ เ้าค่ะ” กู้เจิงกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
นายหญิงเสิ่นหลุดหัวเราะ “อะไรดีไม่ดีกัน ข้ามีเ้าเป็ลูกสะใภ้อยู่คนเดียว สิ่งที่ควรพูดข้าย่อมต้องพูด”
กู้เจิงอยู่พูดคุยกับนายหญิงเสิ่นต่ออีกสักพัก ก่อนจะได้ไปที่หอสมุด
ที่หอสมุดเต็มไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นเคย
“คุณหนูมาแล้ว” ชุนหงร้องทักอย่างยินดี
“ลุงหม่าเล่า?” กู้เจิงไม่เห็นลุงหม่าตง
“หอหนังสือทางทิศตะวันออกของเมืองเก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ลุงหม่าตงเลยพาคนไปวาดแบบห้องให้คุณหนูเ้าค่ะ”
กู้เจิงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเล่าเื่อวิ๋นเหนียงให้ชุนหงฟัง
ชุนหงยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่สะใภ้อวิ๋นมาช่วยได้ นั่นย่อมเป็เื่ดีเ้าค่ะ ข้ากำลังกลุ้มใจเื่ไม่มีคนอยู่เลย” นางเอ่ยอีกว่า “คุณหนู บ่าวไปดูแลหอสมุดทางตะวันออกของเมือง ต่อไปหากที่นี่จะมอบให้พี่สะใภ้อวิ๋น งั้นลุงหม่าตงจะทำอะไรเ้าคะ?”
“แน่นอนว่าเป็เถ้าแก่ใหญ่ของโรงหนังสือ งานของลุงหม่าหนักกว่าเ้า ต่อไปการพิมพ์หนังสือ การทำหนังสือทั้งหมดมอบให้กับลุงหม่า” กู้เจิงดื่มชาไปอึกหนึ่ง
“พิมพ์หนังสือ? คุณหนูยัง้าออกหนังสือด้วยหรือเ้าคะ?”
“คนก็รับสมัครแล้ว ข้างนอกก็แปะบทความไว้แล้ว การตอบรับของทุกคนก็ไม่เลว พอพิมพ์เป็หนังสือออกมา รายได้จะต้องมากขึ้นแน่” กู้เจิงถามต่ออีกว่า “หนังสือวิถีเซียนเล่มนั้นมีการตอบรับเป็ยังไงบ้าง?”
“หนังสือเล่มนั้นทุกคนล้วนบอกว่าผิดวิสัยของมนุษย์ ไม่สามารถอ่านได้ แต่ที่แปลกก็คือ หนังสือที่คนให้ความคิดเห็นมากที่สุดในกล่องก็คือหนังสือเล่มนี้เ้าค่ะ”
“เ้าดูนี่สิ หนังสือเล่มนี้ต้องดังมากแน่ๆ ถึงขั้นทำให้คนชอบมากกว่าเื่บันทึกสวนบุปผาเล่มนั้นอีก”
“ชาติกำเนิดของพระเอกน่าสงสารเกินไป ทำให้คนเห็นอกเห็นใจ หากไม่ใช่เพราะบรรยายถึงการฝึกเซียนอะไรนั่น บ่าวก็ชอบอ่านเหมือนกันเ้าค่ะ ส่วนบันทึกสวนบุปผาเล่มนั้น บ่าวก็อ่านไม่เข้าใจ นัดพบกันกับบุรุษในสวนบุปผา คุณหนูผู้นั้นก็ช่างกล้าเสียเหลือเกินเ้าค่ะ”
กู้เจิงเห็นท่าทางอธิบายของชุนหง นางก็รู้สึกว่าน่าเอ็นดูมาก “มันคือความรัก เพื่อความรักแล้วจึงทำลายกำแพงทุกอย่างที่ขวางกั้น ตัวเอก้าอยู่กับคนที่รักโดยไม่สนต่อสถานะครอบครัว”
ชุนหงฟังเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“แต่ว่า สถานะทางครอบครัวเป็สิ่งที่สำคัญมากนะเ้าคะ”
ลุงหม่าตงเพิ่งก้าวเข้ามาในหอสมุด พอเขาเห็นกู้เจิงจึงรีบทักขึ้น “นายหญิงไม่พบกันนานเลย ข้าน้อยคารวะนายหญิงขอรับ”
“ลุงหม่าเปลี่ยนคำเรียกขานได้ไวทีเดียว” กู้เจิงยิ้มขัน
“แน่นอนขอรับ คำเรียกว่าคุณหนูนี้ไหนเลยจะสูงส่งเท่าคำว่านายหญิง ตอนนี้คุณหนูใหญ่ได้เลื่อนขั้นเป็ภรรยาของขุนนางขั้นสองแล้ว ดังนั้นการจะเรียกคุณหนูก็ต้องยกระดับขึ้นอีก เท่านี้พอคนอื่นได้ฟัง สถานะของหอสมุดเราก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก”
คำกล่าวนี้กู้เจิงเห็นด้วย สิ่งที่เรียกว่าน้ำขึ้นเรือย่อมสูงก็เพราะมีเหตุเช่นนี้
“นายหญิงเชิญดูขอรับ นี่คือภาพของหอสมุดทางตะวันออกของเมือง” ลุงหม่าตงยื่นกระดาษให้กู้เจิงดู
กู้เจิงเอ่ยชมไม่หยุด “วาดได้ดีมาก วาดได้เหมือนกับของจริงเลย ตึกกว้างขวางและปลอดโปร่งเช่นนี้ เป็สถานที่ที่เหมาะแก่การอ่านหนังสือจริงๆ”
“จริงสินายหญิง ยังมีอีกเื่หนึ่งที่ข้าน้อยไม่รู้จะกล่าวดีหรือไม่ขอรับ” ลุงหม่าสองจิตสองใจ
“ว่ามา”
ลุงหม่าถอนหายใจก่อนจะเอ่ยว่า “เป็เื่เกี่ยวกับคุณหนูตระกูลเซี่ยขอรับ”
ชุนหงก็ถอนหายใจไปด้วย คุณหนูเซี่ยผู้นี้ นางเองก็ไม่เข้าใจ
กู้เจิงละสายตาจากภาพวาดเงยหน้าขึ้นมองลุงหม่าตง “ทั้งสองคนนั้นมาอีกแล้วหรือ?”
“ขอรับ เมื่อบ่ายวานนี้” ลุงหม่าตงพูดอย่างลำบากใจ “แม้จะบอกว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้ แต่กระดาษปิดควันไฟไม่มิด* คุณหนูเซี่ยแต่งตัวเป็บัณฑิต แต่ทั้งตัวนางมีกลิ่นเครื่องแป้งของสตรี เื่ระหว่างผู้สูงศักดิ์ทั้งสองนั้นข้ามองเพียงแวบเดียวก็มองออก หากปล่อยนานไป เกรงว่า... หอสมุดของเราจะมีข่าวไม่ดีแพร่งพรายออกไปขอรับ”
(*อุปมาว่าความจริงเป็สิ่งที่ยากจะปิดบังได้)
“เื่นี้ ข้าจะไปปรึกษากับท่านพี่ก่อน” องค์รัชทายาทกับเซี่ยิ่หรูสองคนนี้ก็คือบันทึกสวนบุปผาของจริงเลยมิใช่หรือไร? ไม่สิ ควรจะเรียกว่าบันทึกหอสมุด องค์รัชทายาทผู้นี้ก็จริงๆ เลยเชียว การก่อตั้งหอสมุดแห่งนี้ เดิมทีก็ทำเพื่อบ้านเมืองและประชาชน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็สถานที่สำหรับนัดพบส่วนตัวของเขา ช่างน่าขันเสียจริง เื่นี้นางคงออกหน้าเองไม่ไหว เสิ่นเยี่ยนก็ทำไม่ได้ แต่ท่านอ๋องน่าจะทำได้
หลังมื้ออาหารกลางวัน กู้เจิงก็ได้วาดรูปสวนดอกไม้เพิ่มเข้าไปในแผนผังโครงร่างหอสมุดใหม่ และยังเพิ่มทางเดินและที่นั่งใต้ต้นไม้เข้าไปด้วย เพื่อที่ถ้าหากที่นั่งอ่านหนังสือภายในหอสมุดเต็มจะได้สามารถมานั่งอ่านใต้ร่มไม้ภายนอกอาคารได้
หลังจากทำธุระเสร็จ นางก็ออกไปดูหอสมุดทางตะวันออกของเมืองกับลุงหม่าตง
ทำเลที่ตั้งของหอสมุดทางตะวันออกอยู่ในบริเวณที่ดีมาก เป็แถบที่ครึกครื้นและเงียบสงบในเวลาเดียวกัน
กู้เจิงเชื่อใจลุงหม่าตง ดังนั้นนางจึงแค่ไปดูสถานที่จริงแล้วก็กลับไปที่จวนอย่างหมดห่วง
ร่างกายของนางเพิ่งจะดีขึ้น พอนางกลับมาถึงจวน ซู่หลันก็รีบเข้ามาปรนนิบัติให้นางได้พักผ่อน กู้เจิงหลับไปจนถึง่หัวค่ำที่เป็เวลาที่เสิ่นเยี่ยนกลับมาพอดี นางตื่นขึ้นมาพร้อมท้องที่ร้องโครกคราก
เสิ่นเยี่ยนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อตัวนอกอยู่หลังฉากกั้นในห้อง เขาได้ยินเสียงท้องร้องของภรรยาจึงหัวเราะเบาๆ “ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะใช้วิธีอะไรปลุกเ้า”
กู้เจิงมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดแล้ว“ข้านอนนานขนาดนี้เชียวหรือเ้าคะ?” นางว่าพลางก้าวขาลงจากเตียง
เสิ่นเยี่ยนหยิบเสื้อตัวนอกมาคลุมให้นาง สีหน้าของกู้เจิงดูสดใสขึ้น “หิวแล้วใช่ไหม อาหารวันนี้มีหน่อไม้ที่เ้าชอบกินด้วย”
กู้เจิงหิวแล้วจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นหน่อไม้ที่นางชอบอยู่บนโต๊ะ “อร่อยมากเลยเ้าค่ะ”
“กินช้าๆ ไม่มีใครแย่งเ้าหรอก” เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ ก่อนชวนคุยต่อ “วันนี้ไปหอสมุดมาหรือ?”
กู้เจิงพยักหน้า
“ร่างกายเ้าเพิ่งจะดีขึ้น ยังไม่ต้องรีบโหมงานนักหรอก”
“ข้ารู้เ้าค่ะ นี่ข้าก็รีบกลับมาพักแล้วนะเ้าคะ” กู้เจิงเถียง
“อีกสามวันจะเป็วันแต่งงานของแม่ทัพเยี่ยนกับคุณหนูตระกูลหนิง เ้าไปคิดมาว่าควรจะมอบอะไรเป็ของขวัญ”
กู้เจิงยิ้มอย่างหมายมั่น “พรุ่งนี้ข้าจะไปถามท่านแม่ว่าให้อะไรถึงจะเหมาะสมเ้าค่ะ”