ตอนที่ 2 คลื่นใต้น้ำ
เยว่หลิงกลับมาถึงห้องพักรวมของเหล่านางกำนัลด้วยสภาพที่ราวกับิญญาหลุดลอยออกจากร่าง คำพูดของจิ้นอ๋องยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าดุจเสียงระฆังมรณะ... “หลังจากข้ากลับมาจากชายแดน เ้าจะเป็ของข้า”
มันไม่ใช่คำขอ ไม่ใช่คำเกี้ยวพา แต่เป็คำประกาศิตของผู้กุมอำนาจโดยแท้จริง
อาจูที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่บนเตียงของตน เหลือบมองเพื่อนสนิทด้วยความประหลาดใจ "เยว่หลิง ใบหน้าของเ้าซีดเซียวราวกับกระดาษ เป็อะไรไป? หรือว่าถูกหลี่ซ่างกงตำหนิมาอีกแล้ว?"
หลี่ซ่างกง คือหัวหน้าฝ่ายเครื่องภูษาภรณ์และการตกแต่งภายใน เป็สตรีวัยสี่สิบเศษที่มีใบหน้าเคร่งขรึมและสายตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว นางขึ้นชื่อเื่ความเข้มงวดและปากร้าย เหล่านางกำนัลชั้นผู้น้อยต่างยำเกรงนางราวกับพยัคฆ์
เยว่หลิงส่ายหน้าช้าๆ พยายามเค้นรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูฝืนเฝื่อนยิ่งนัก "ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย คงเป็เพราะอากาศเริ่มเย็นลงกระมัง"
นางโกหก...นี่เป็ครั้งแรกที่นางโกหกอาจู เพื่อนเพียงคนเดียวที่นางไว้ใจที่สุดในวังหลวงอันกว้างใหญ่และเ็าแห่งนี้ แต่เื่นี้เป็เื่คอขาดบาดตาย นางจะแพร่งพรายให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดก็ตาม ในวังหลวงแห่งนี้ ความลับคืออาวุธ แต่ขณะเดียวกันมันก็คือภาระอันหนักอึ้งที่สามารถบดขยี้ผู้ที่แบกรับมันไว้ได้ในพริบตา
คืนนั้น ขณะที่นางกำนัลคนอื่นๆ หลับสนิทไปแล้ว เยว่หลิงกลับนอนลืมตาโพลงจ้องมองความมืดมิดบนเพดาน สมองของนางทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยสติปัญญาและความเยือกเย็นทั้งหมดที่นางมี
จิ้นอ๋องจ้าวเฟิง...บุรุษผู้นั้น้าอะไรจากนางกันแน่?
ด้วยรูปโฉมและยศศักดิ์ของเขา หญิงงามประเภทใดเล่าที่เขาจะหามาไม่ได้? ไม่ว่าจะเป็ธิดาของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หรือองค์หญิงจากแคว้นพันธมิตร ต่างก็พร้อมจะถวายตัวให้เขาทั้งสิ้น แล้วเหตุใดเขาจึงต้องมาสนใจนางกำนัลตัวเล็กๆ เช่นนางด้วย?
หรือว่า...นางเป็เพียงของเล่นชิ้นใหม่ที่เขาเกิดนึกสนุกอยากจะลองลิ้มชิมรสเท่านั้น? เมื่อเขาเบื่อแล้ว ก็คงจะเขี่ยนางทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ชะตากรรมของนางกำนัลที่ถูกเ้านายชั้นสูง "โปรดปราน" ชั่วข้ามคืนแล้วทอดทิ้งนั้น มักจะจบลงอย่างน่าสังเวชเสมอ บ้างก็ถูกภรรยาหลวงของเ้านายกลั่นแกล้งจนตาย บ้างก็ถูกขายต่อไปยังหอนางโลมชั้นต่ำ หรือที่เลวร้ายที่สุดคือการหายสาบสูญไปจากโลกนี้อย่างเงียบเชียบ
ความคิดนั้นทำให้เยว่หลิงสั่นสะท้านขึ้นมาจับใจ ความหวาดกลัวเย็นเยียบแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย แต่แล้ว...ในส่วนลึกของความหวาดกลัวนั้น กลับมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ มันเป็ความรู้สึกร้อนรุ่ม ตื่นเต้น และท้าทาย
นางนึกถึงััจากปลายนิ้วของเขาที่เชยคางของนางขึ้นมา นึกถึงแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง และนึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่เป่ารดริมฝีปากของนาง...ร่างกายของนางตอบสนองต่อความทรงจำเ่าั้อย่างน่าละอาย ความร้อนแล่นปราดไปทั่วร่าง ทำให้บริเวณหว่างขาของนางรู้สึกชื้นแฉะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
นางกำลังปรารถนาในตัวบุรุษที่อาจจะนำพาหายนะมาสู่ชีวิตของนาง
เยว่หลิงกัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างแรงจนได้รสเค็มปร่าของเื ความเ็ปช่วยเรียกสติของนางให้กลับคืนมา "ไม่ได้!" นางบอกกับตัวเองในใจ "ข้าจะปล่อยให้ตัวเองตกเป็ทาสของอารมณ์เช่นนี้ไม่ได้ ข้าต้องควบคุมมันให้ได้"
นางไม่ใช่หญิงสาวไร้เดียงสาที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าวัง นางอยู่ที่นี่มาหกปีแล้ว ได้เห็นการแก่งแย่งชิงดี การหักหลัง และความโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน หากนาง้าที่จะมีชีวิตรอด นางจะต้องฉลาดกว่านี้ เข้มแข็งกว่านี้ และที่สำคัญที่สุด นางจะต้องใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ได้
แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะอันตรายราวกับการเดินไต่บนเส้นลวดก็ตาม
...
สามวันต่อมา พระราชวังต้าเยี่ยนก็ถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงและผ้าตาดสีทองอร่าม เสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมดังกังวานไปทั่วบริเวณ ค่ำคืนนี้ องค์จักรพรรดิเหลียงเจิ้งทรงจัดงานเลี้ยงหลวงขึ้นที่ท้องพระโรงเพื่อเป็เกียรติและเป็การส่งจิ้นอ๋องจ้าวเฟิงก่อนที่เขาจะนำทัพมุ่งหน้าสู่ชายแดนทางเหนือในรุ่งเช้าของวันถัดไป
เยว่หลิงและเหล่านางกำนัลชั้นผู้น้อยได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้แเื่อยู่บริเวณรอบนอกของท้องพระโรง หน้าที่ของพวกนางคือการรินสุรา เติมน้ำชา และคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เพื่อรอรับคำสั่ง แม้จะเป็เพียงตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็ทำให้นางได้เห็นภาพรวมของงานเลี้ยงทั้งหมดอย่างชัดเจน
ท้องพระโรงในค่ำคืนนี้สว่างไสวราวกับกลางวัน แสงเทียนนับพันเล่มสะท้อนกับเครื่องทองและอัญมณีที่ประดับอยู่บนร่างกายของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงจนพร่างพรายไปหมด องค์จักรพรรดิประทับอยู่บนบัลลังก์ัทองคำ ฉลองพระองค์ปักลายัห้าเล็บดูน่าเกรงขาม ขนาบข้างด้วยเหล่าพระสนมเอกในอาภรณ์ที่งดงามราวกับนางเซียน
แต่สายตาของทุกคนในที่นั้นกลับจับจ้องไปที่บุรุษเพียงผู้เดียว...จิ้นอ๋องจ้าวเฟิง
คืนนี้เขาอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ เกราะสีเงินวาววับสลักลายกิเลนอย่างวิจิตรบรรจง ผ้าคลุมสีแดงเืนกพาดอยู่บนบ่ากว้างขับเน้นให้เรือนร่างของเขาดูสูงใหญ่และทรงพลังยิ่งขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาที่ปกติจะประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ บัดนี้กลับดูเคร่งขรึมและแฝงไว้ด้วยไอสังหารจางๆ ราวกับพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมจะกระโจนเข้าขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ
เขาคือแม่ทัพ คือนักรบ คือเทพาในสายตาของเหล่าทหาร และคือฝันร้ายของศัตรู
เยว่หลิงลอบมองเขาจากมุมที่นางยืนอยู่ หัวใจของนางเต้นไม่เป็ส่ำ นางเห็นภาพของเขาซ้อนทับกับภาพของบุรุษที่กระซิบคำพูดอันร้อนเร่าข้างหูของนางในวันนั้น...คนสองคนนี้คือคนๆ เดียวกันจริงหรือ? บุรุษผู้เ็าและอำมหิตในสนามรบ กับบุรุษที่ปรารถนานางอย่างเปิดเผย ด้านไหนกันแน่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา?
เสียงดนตรีและการแสดงเริ่มขึ้น นางรำในชุดที่บางเบาราวกับปีกของผีเสื้อร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม แต่เยว่หลิงกลับไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย นางกำลังตั้งใจฟังบทสนทนาของเหล่าขันทีและขุนนางชั้นผู้น้อยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
"พวกเ้าได้ยินหรือไม่? ว่ากันว่าครั้งนี้จิ้นอ๋องตั้งใจจะบุกทะลวงเข้าไปถึงใจกลางดินแดนของพวกซยงหนูเลยทีเดียว" ขันทีเฒ่าคนหนึ่งกระซิบ
"์! นั่นมันเสี่ยงเกินไปแล้ว กองทัพของเราไม่เคยบุกเข้าไปลึกขนาดนั้นมาก่อน" ขันทีหนุ่มอีกคนอุทานด้วยความใ
"หึ เ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว นี่แหละคือสไตล์ของจิ้นอ๋อง ยิ่งเสี่ยง ยิ่งอันตราย เขายิ่งชอบ ว่ากันว่าทุกครั้งที่เขานำทัพออกรบ เขาจะเป็คนแรกที่บุกเข้าใส่ข้าศึก และเป็คนสุดท้ายที่ถอยออกมา"
"น่าเกรงขามสมคำร่ำลือจริงๆ"
เยว่หลิงยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ช่างซับซ้อนและอันตรายเกินกว่าที่นางจะหยั่งถึงได้ นางแอบชำเลืองมองไปยังบัลลังก์อีกครั้ง และเห็นองค์จักรพรรดิยกจอกสุราขึ้นพระราชทานให้แก่จิ้นอ๋องด้วยพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจและความไว้วางพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม
"เฟิงเอ๋อร์ น้องรักของข้า ชัยชนะของต้าเยี่ยนในครั้งนี้ฝากไว้ในมือของเ้าแล้ว จงนำความรุ่งโรจน์กลับมาสู่แผ่นดินของเรา และจงกลับมาอย่างปลอดภัย!"
จ้าวเฟิงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง รับจอกสุรามาดื่มรวดเดียวจนหมดจอก ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและดังกังวาน "กระหม่อมจ้าวเฟิง ขอถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าฟ้าดินและฝ่าา หากไม่สามารถขับไล่พวกซยงหนูให้พ้นไปจากแผ่นดินต้าเยี่ยนได้ กระหม่อมจะไม่ขอมีชีวิตกลับมาเหยียบแผ่นดินแห่งนี้อีก!"
คำปฏิญาณของเขาทำให้เหล่าขุนนางและทหารโห่ร้องขึ้นด้วยความฮึกเหิม บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความรักชาติและความเชื่อมั่นในตัวแม่ทัพหนุ่มผู้นี้
ในขณะที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับความยิ่งใหญ่เบื้องหน้า ทันใดนั้นเอง เยว่หลิงรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองทะลุผ่านฝูงชนมายังนาง สายตาของจิ้นอ๋อง
หัวใจของนางหยุดเต้นไปชั่วขณะ โลกทั้งใบราวกับหยุดหมุน เหลือเพียงนางกับเขาที่สบตากันท่ามกลางผู้คนนับร้อยนับพัน แววตาของเขาที่มองมานั้นไม่ได้เ็าเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับลุกโชนไปด้วยเปลวไฟที่นางคุ้นเคย เปลวไฟแห่งความปรารถนาที่ร้อนแรง
เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้พยักหน้า เพียงแค่จ้องมองนางนิ่งๆ แต่สายตาของเขากลับสื่อความหมายได้ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ “ข้าจะกลับมา...และเมื่อถึงวันนั้น เ้าจะเป็ของข้า”
เยว่หลิงรีบก้มหน้าลงทันที หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวราวกับถูกไฟนาบ นางรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังเปลือยกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน ทั้งๆ ที่นางสวมเสื้อผ้าอยู่ครบทุกชิ้น
นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีกเลยตลอดทั้งงานเลี้ยง ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตารินสุราต่อไป มือไม้สั่นเทาจนเกือบจะทำจอกสุราหลุดมือหลายครั้ง
...
รุ่งอรุณของวันใหม่มาถึง แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องกระทบกำแพงเมืองนครหลวง เสียงแตรศึกดังกึกก้องไปทั่วสารทิศ ประกาศถึงเวลาที่กองทัพอันเกรียงไกรของต้าเยี่ยนจะเคลื่อนพล
เยว่หลิงแอบปีนขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์เล็กๆ ที่อยู่บนกำแพงวังด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็จุดที่สามารถมองเห็นขบวนทัพที่กำลังเคลื่อนออกจากประตูเมืองได้อย่างชัดเจนที่สุด นางปะปนอยู่กับเหล่านางกำนัลและขันทีคนอื่นๆ ที่มาแอบดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
เบื้องล่างนั้นคือภาพของมหาสมุทรแห่งเหล็กและเื ทหารนับหมื่นในชุดเกราะเต็มยศยืนเรียงรายกันอย่างเป็ระเบียบ ธงรบสีแดงสดที่มีอักษร "จ้าว" ปักด้วยดิ้นทองโบกสะบัดอย่างทรงพลังอยู่กลางกองทัพ เสียงฝีเท้านับหมื่นที่ย่ำลงบนพื้นพร้อมกันนั้นหนักแน่นจนแผ่นดินะเืเลื่อนลั่น
แล้วนางก็เห็นเขา...
จิ้นอ๋องจ้าวเฟิงนั่งอยู่บนหลังอาชาสีนิลตัวใหญ่สง่างามราวกับเทพาจุติลงมาเกิด เขาสวมเกราะเต็มยศเช่นเดียวกับเมื่อคืน แต่บนศีรษะสวมหมวกเกราะเหล็กกล้าเอาไว้ ทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในเงา ยิ่งเสริมให้ดูน่าเกรงขามและลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก
ราวกับมีกระแสจิตบางอย่าง เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นมองมายังกำแพงวัง สายตาคมกริบคู่นั้นกวาดมองไปทั่วอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาหยุดลง ณ จุดที่เยว่หลิงยืนอยู่ ราวกับว่าเขารู้ั้แ่แรกว่านางอยู่ที่นั่น
แม้จะอยู่ห่างไกลกันจนมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้ไม่ชัดเจน แต่เยว่หลิงกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังมองมาที่นาง และนางเพียงคนเดียวเท่านั้น
เวลาหยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะหันม้ากลับไป และชูกระบี่ในมือขึ้นฟ้า "ทหาร! ออกรบ!"
เสียงโห่ร้องดังกึกก้องสะท้านฟ้าะเืดิน กองทัพขนาดมหึมาเริ่มเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองอย่างช้าๆ กลายเป็สายธารแห่งเหล็กกล้าที่ไหลบ่ามุ่งหน้าสู่ทิศเหนือที่ห่างไกลและอันตราย
เยว่หลิงยืนมองตามขบวนทัพนั้นไปจนกระทั่งธงรบผืนสุดท้ายลับหายไปจากสายตาที่ปลายขอบฟ้า สายลมเย็นะเืพัดมาปะทะใบหน้าของนาง แต่นางกลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย ในใจของนางบัดนี้มีเพียงความคิดเดียว
เขาไปแล้ว แต่เขาจะกลับมา
เยว่หลิงกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความหวาดกลัวในใจของนางยังคงอยู่ แต่มันได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็สิ่งอื่นแล้ว ความมุ่งมั่น
นางไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็เช่นไร ไม่รู้ว่าเมื่อเขากลับมาแล้ว ชะตากรรมของนางจะเป็อย่างไร นางอาจจะถูกยกขึ้นสู่์ชั้นฟ้า หรืออาจจะถูกผลักลงไปในขุมนรกที่ลึกที่สุด
แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้ก็คือ นางจะไม่ยอมเป็เพียงเบี้ยบนกระดานที่รอให้คนอื่นมาหยิบไปทิ้งอย่างไร้ค่าอีกต่อไป
่เวลาที่จิ้นอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวงนี้ คือโอกาสของนาง นางจะต้องเรียนรู้ นางจะต้องสังเกต นางจะต้องทำให้ตัวเองมีค่ามากขึ้น ไม่ใช่แค่ในฐานะหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ในฐานะคนที่มีประโยชน์ คนที่จะสามารถยืนอยู่ข้างกายบุรุษที่อันตรายที่สุดในแผ่นดินต้าเยี่ยนได้
คลื่นใต้น้ำในวังหลวงได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และเยว่หลิงก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า นางจะไม่ยอมให้คลื่นลูกนี้ซัดพานางไปตามยถากรรม แต่นางจะเป็ผู้ที่โต้คลื่นลูกนี้ด้วยตัวเอง
