ขณะที่มู่หว่านชิงและหยิวชิงเฟิงกำลังสนทนาถึงไป๋หยุนเฟย ศิษย์ผู้หนึ่งพลันเข้ามารายงานว่าผู้ที่มาแจ้งข่าวเื่ไป๋หยุนเฟยเมื่อยามบ่าย มาที่สำนักเพื่อขอเข้าพบ
“คนผู้นั้นหรือ?” มู่หว่านชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับยุ่งยากใจ
หยิวชิงเฟิงกล่าวอย่างงุนงงว่า “มันมาที่นี่ทำอะไร? หรือมาเพราะไป๋หยุนเฟย? แต่จากการวิเคราะห์ของข้าแล้ว ทั้งคู่กลับไม่มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกันเท่าใด...”
มู่หว่านชิงมองไปยังทิศทางประตูสำนักพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าเป็เื่อันใด คนเมื่อมาแล้ว ข้าย่อมสมควรออกไปต้อนรับ ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้...”
“โอ ข้าทราบว่าท่าน้ากล่าวอันใด ข้าก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ตราบใดที่มันไม่มีเจตนาร้ายพวกเราจะรับรองมันอย่างดี เื่นี้ไม่อาจให้มีข้อผิดพลาดได้” หยิวชิงเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
ทั้งคู่จึงหันกายเดินกลับไปยังประตูใหญ่อีกครั้ง
หงยินยืนอยู่หน้าประตูสำนักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อเห็นมู่หว่านชิงทั้งคู่เดินเข้ามาจึงรีบประสานมือกล่าวขออภัย “เ้าสำนักมู่ได้โปรดอภัยที่เยือนมาโดยกะทันหัน ข้าหวังจะขอพักในสำนักท่านสักหลายวัน หวังว่าเ้าสำนักจะเมตตา”
คำพูดตรงไปตรงมาของหงยินสร้างความประหลาดใจแก่มู่หว่านชิงไม่น้อย นางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านจอมยุทธ์อย่าได้เกรงใจ เมื่อท่านมาเยือนสำนักข้าย่อมยินดีต้อนรับ จริงสิ ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์มีนามใด?”
“หงยิน”
“โอ จอมยุทธ์หงยิน ยามนี้ก็สนธยาแล้วเชิญท่านเข้ามาพักผ่อนก่อน ให้ข้าสั่งคนนำท่านไปยังห้องรับรองแขกติดกับห้องไป๋หยุนเฟยดีหรือไม่?” มู่หว่านชิงเอ่ยปากถาม
หงยินประสานมือคารวะแก่มู่หว่านชิงอีกครั้งพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านเ้าสำนักมู่แล้ว”
หลังจากมองดูหงยินติดตามศิษย์ที่นำทางไป มู่หว่านชิงจึงหันไปหาหยิวชิงเฟิงและพบว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วราวกับครุ่นคิดบางอย่างอยู่
“ชิงเฟิง ท่านเป็ไรหรือ?”
หยิวชิงเฟิงมองตามทิศทางที่หงยินเดินลับตาไปและกล่าวอย่างสงสัย “หงยิน... คล้ายกับว่าเคยได้ยินนามนี้มาก่อน แต่ยามกะทันหันกลับจดจำไม่ออกว่าได้ยินจากที่ใด...”
“โอ? หรือมันจะเป็ศิษย์ที่โดดเด่นจากสำนักใหญ่ไม่ก็ตระกูลดัง?” มู่หว่านชิงถามด้วยน้ำเสียงว้าวุ่น
หยิวชิงเฟิงใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่อาจจดจำได้ จึงสั่นศีรษะแ่เบาถอดใจเลิกครุ่นคิดและกล่าวว่า “ไม่ว่ามันจะเป็ผู้ใด แต่อย่างน้อยก็พอบอกได้ว่าคนผู้นี้ฝีมือเข้มแข็งกว่าเราทั้งคู่อย่างแน่นอน เพียงแต่มันเก็บงำอย่างมิดชิดจึงไม่อาจทราบได้ว่าฝีมือมันถึงระดับใด นี่ย่อมหมายความว่าหงยินผู้นี้ฝีมือเหนือกว่าเราทั้งคู่มากมายนัก... คนประเภทนี้ทางที่ดีสมควรผูกมิตรเอาไว้ หากไม่อาจผูกมิตรก็ต้องพยายามสุดชีวิตที่จะไม่ล่วงเกินมัน ดูเหมือนหงยินผู้นี้จะให้ความสำคัญต่อไป๋หยุนเฟยอย่างยิ่ง แต่ทว่าเพราะเหตุใด...?”
“อืม เื่นี้ข้าก็ประหลาดใจเช่นกัน” มู่หว่านชิงพยักหน้ากล่าววาจา “ด้วยพลังฝีมือเช่นนี้ การจะช่วยจัดการปัญหาให้แก่ไป๋หยุนเฟยย่อมง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ แต่ดูเหมือนไป๋หยุนเฟยไม่ยินยอมติดค้างมันแม้แต่น้อย เมื่อไม่มีทางเลือกหงยินได้แต่ช่วยส่งข่าวแก่เราให้ไปช่วยเหลือ ข้ารู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองคนสมควรมีความเกี่ยวพันกันไม่มากมายเท่าใด อย่างน้อยไป๋หยุนเฟยก็ไม่คุ้นเคยต่ออีกฝ่าย แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดหงยินกลับกังวลสนใจต่อไป๋หยุนเฟยนัก...”
หยิวชิงเฟิงสั่นศีรษะเล็กน้อย พลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “หว่านชิงท่านอย่าได้ครุ่นคิดมากความแล้ว ครุ่นคิดไปก็ไม่ได้ความอันใด ยามนี้หงยินพำนักอยู่ที่นี่ย่อมเป็ประโยชน์ต่อพวกเรา หากสำนักธารน้ำแข็งมาเพื่อก่อปัญหา มันย่อมไม่นิ่งดูดาย เมื่อเป็เช่นนี้พวกเราก็ลดเื่ที่ต้องกังวลลงได้ไม่ใช่หรือ?”
“อืม ท่านพูดถูก ยามนี้ได้แต่รอดูท่าทีจากสำนักธารน้ำแข็งแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึงพวกเราได้แต่ตัดสินใจตามสถานการณ์แล้ว...”
…………
ในห้องรับรองแขกที่เรือนรับรองทางปีกตะวันตก ไป๋หยุนเฟยนั่งบนเตียงด้วยท่าทีเหม่อลอย กระนั้นมันกลับไม่มีทีท่าว่าจะรักษาอาการาเ็ของตนแม้แต่น้อย ในใจไป๋หยุนเฟยกำลังครุ่นคิดเื่ใดก็ไม่อาจทราบได้
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก...” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไป๋หยุนเฟยที่สะดุ้งรู้สึกตัวรีบกล่าวว่า “เข้ามา”
ประตูถูกผลักเปิดออกพร้อมกับชิวลู่หลิวและฉู่อวี้เหอเดินเข้าห้องมา ฉู่อวี้เหอที่เดินตามหลังประคองชามยาน้ำไว้ในมือ นางเดินเข้าหาไป๋หยุนเฟยอย่างระมัดระวังก่อนจะยื่นชามใส่ยาให้ พลางกล่าวด้วยท่าทีกังวลห่วงใย “พี่หยุนเฟยรีบดื่มยาเถอะ ยาชามนี้จะช่วยรักษาอาการาเ็ของท่าน อีกสักครู่ท่านต้องโคจรพลังิญญาเพื่อซึมซับตัวยาจะได้หายาเ็โดยเร็ว”
ยามที่ไป๋หยุนเฟยมองดูฉู่อวี้เหอทั้งคู่ ดวงตามันก็ฉายแววซาบซึ้งต่อน้ำใจของหญิงสาวทั้งสอง ไป๋หยุนเฟยรับชามใส่ยามาดื่ม เพียงไม่กี่อึกก็หมดสิ้นก่อนจะส่งชามคืนให้แก่อวี้เหอพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ขอบคุณมาก พวกท่านไม่ต้องกังวลใจ ข้าไม่เป็ไรมาก เพียงไม่นานก็หายดี”
ชิวลู่หลิวผงกศีรษะแก่ไป๋หยุนเฟย “อืม ข้าทราบว่าท่านเข้มแข็ง แต่ก็สมควรรักษาอาการาเ็ให้ดี พวกเราไม่รบกวนท่านแล้ว หาก้าสิ่งใดสามารถไปหาพวกเราได้ที่เรือนใบหลิวทางด้านซ้ายของเรือนรับรอง”
หลังจากกล่าวจบ ก็ฉุดดึงฉู่อวี้เหออย่างแ่เบา แล้วทั้งคู่จึงเดินออกจากห้องไป
ไป๋หยุนเฟยนิ่งงันเพ่งมองประตูอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายจึงถอนหายใจอย่างแ่เบา จากนั้นนั่งขัดสมาธิตั้งจิตเพ่งความคิดเพื่อตรวจสอบอาการาเ็ของตนอย่างละเอียด
หากไม่นับอาการาเ็ที่ได้รับตอนแรกขณะต่อสู่กับวีรชนิญญาระดับกลางทั้งคู่ ไป๋หยุนเฟยถูกฝ่ามือธารน้ำแข็งของหลิวเฉิงถึงสองครั้ง ครั้งแรกมันเตรียมการรับมืออย่างดี แต่ครั้งที่สองมันถูกฝ่ามือฟาดใส่ที่กลางหลังขณะหลบหนี แม้ขณะนั้นหลิวเฉิงเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างกะทันหันจึงไม่อาจใช้กำลังอย่างเต็มที่ แต่ฝ่ามือนี้ก็ยังฟาดไป๋หยุนเฟยจนาเ็สาหัสยิ่ง
อวัยวะภายในมันบอบช้ำไม่น้อย กระดูกซี่โครงก็แตกร้าว มิหนำซ้ำกระแสพลังเย็นเยียบยังพลุ่งพล่านเคลื่อนไหวอยู่ในร่าง ไม่ว่าพลังเย็นนี้ไปถึงที่ใดก็ทำให้บริเวณนั้นขนลุกชี้ชันทั้งทำให้ััเฉื่อยชาลง ไป๋หยุนเฟยพยายามชักนำพลังิญญาเพื่อต่อต้านพลังเย็นนี้แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยความอับจนปัญญา ไป๋หยุนเฟยไม่มีทางเลือกได้แต่นำทวนเปลวอัคคีออกมาเพื่อดึงดูดพลังความร้อนเข้าสู่ร่าง เมื่อทำเช่นนี้จึงค่อยสลายพลังเย็นเยียบที่พลุ่งพล่านในร่างลงได้บ้าง
“วิธีนี้ไม่อาจใช้ได้... แม้ทำเช่นนี้ดูเหมือนจะสลายพลังเย็นลงได้ แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว ข้าเองก็เข้าใจกระจ่าง ครั้งก่อนหากไม่ใช่เพราะผู้าุโเกอช่วยเหลือสถานการณ์คงเลวร้ายสุดคาดคิด ครั้งนี้ก็ย่อมมีพลังธาตุน้ำแข็งที่ข้าไม่อาจตรวจพบหลงเหลืออยู่ในร่าง แต่ข้าก็ไม่มีหนทางจะทราบได้... หรือข้าต้องขอให้ผู้อื่นช่วย? บางทีเ้าสำนักมู่หรือผู้าุโหยิวจะช่วยข้าขับพลังเย็นนี้ออกจากร่างได้ แต่ข้าไม่้าติดค้างหนี้บุญคุณพวกนางอีกแล้ว...”
ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะ ตัดสินใจละความคิดเกี่ยวกับ‘อันตรายแฝง’นี้ไว้ชั่วคราว และเริ่มเยียวยาอาการาเ็ที่สามารถรักษาเองได้ก่อน
…………
เช้าตรู่วันต่อมา ยามที่แสงอรุณสาดส่องเข้าห้อง ไป๋หยุนเฟยจึงลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้าก่อนจะระบายลมหายใจออกอย่างแ่เบา สีหน้ามันดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากนัก ดูเหมือนไป๋หยุนเฟยจะฟื้นฟูร่างกายได้ไม่น้อยแล้ว
ไป๋หยุนเฟยเก็บทวนเปลวอัคคีที่วางพาดขวางหน้าตักใส่ไว้ในแหวนช่องมิติ จากนั้นบีบนวดกำปั้นพร้อมกับพยักหน้าด้วยท่าทีพึงพอใจ “ยาชามที่อวี้เหอให้ข้าดื่มนับว่ามีประสิทธิภาพเหลือเชื่อ หากข้าใช้เพียงพลังิญญาเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างมากก็ได้เพียงครึ่งเดียวของยามนี้ ดูจากอาการตอนนี้ อย่างมากสามวันข้าก็จะหายเป็ปกติ”
ชั่วขณะนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอันนุ่มนวลของอวี้เหอแว่วเข้ามา “พี่หยุนเฟย ท่านตื่นแล้วหรือไม่? ข้านำอาหารเช้ามาให้ท่าน”
“โอ ข้าตื่นแล้ว เข้ามาเถอะอวี้เหอ”
ประตูถูกผลักเปิดอย่างแ่เบาพร้อมกับอวี้เหอเดินประคองชามโจ๊กเข้ามา นางแย้มยิ้มให้แก่ไป๋หยุนเฟยก่อนจะวางชามลงบนโต๊ะและกล่าวว่า “พี่หยุนเฟย ท่านรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “อืม ข้าดีขึ้นมากแล้ว ภายในสองวันสมควรหายเป็ปกติ อวี้เหอเ้าไม่ต้องกังวล”
“โอ ดียิ่งนัก ท่านควรรีบรับประทานโจ๊กก่อนแล้วค่อยรักษาอาการาเ็ต่อ หรือท่านจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศก็ได้”
“ตกลง ขอบคุณเ้ามากอวี้เหอ หากข้า้าอันใดจะบอกต่อเ้าเอง” ไป๋หยุนเฟยพยักหน้ากล่าววาจา
“ถ้าเช่นนั้น... ข้าไม่รบกวนท่านแล้วพี่หยุนเฟย ยามเที่ยงข้าค่อยนำอาหารมาให้ท่านอีก”
หลังจากมองดูฉู่อวี้เหอจากไป ไป๋หยุนเฟยรับประทานโจ๊กแล้วจึงนั่งลงบนเตียงฝึกปรือพลังิญญาอยู่ชั่วขณะ แต่ก็พบว่าฝึกปรืออย่างยากลำบากอีกทั้งไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ ด้วยความอับจนปัญญาไป๋หยุนเฟยไม่มีทางเลือกได้แต่ตัดสินใจออกไปเดินเล่นด้านนอกเพื่อผ่อนคลายจิตใจ
หลังออกมาจากห้องไป๋หยุนเฟยจึงมองดูรอบข้าง นี่เป็เรือนรับรองที่มีห้องพักอยู่ห้าห้อง ด้านนอกมีถนนสายเล็กที่ปูด้วยแผ่นหิน สองฟากข้างถนนเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้าหลากสีที่กำลังโบกไสวใต้สายลม คราแรกที่ได้พบเห็นก็ทำสร้างความแช่มชื่นทั้งดวงตาและจิตใจ
ชั่วขณะที่ไป๋หยุนเฟยจะก้าวเท้าออกไปชมดู คนผู้หนึ่งที่ประตูด้านขวามือก็หันกายมากลับมา ทันทีที่สบตากันไป๋หยุนเฟยต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่อีกฝ่ายกลับเพียงแย้มยิ้มให้
“หงยิน!” ไป๋หยุนเฟยกล่าวอย่างประหลาดใจ “ไฉนท่านอยู่ที่นี่?”
หงยินกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “อะไรกัน? ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ?”
“เอ่อ ไม่ ข้าหมายความว่า หรือท่านเป็ศิษย์สำนักหลิวขจี?” ไป๋หยุนเฟยเอ่ยปากถามอย่างสงสัย
“หรือผู้ที่พำนักอยู่ในสำนักหลิวขจีต้องเป็ศิษย์ของสำนักด้วย? เ้าก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ? ฮ่า ฮ่า ข้าเพียงมาพักที่นี่ไม่กี่คืนเท่านั้น”
ไป๋หยุนเฟยมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง หงยินก็ไม่หลบสายตาทั้งยังมองกลับมาอย่างยิ้มแย้ม ไป๋หยุนเฟยถึงรั้งสายตากลับมาก่อนจะเอ่ยปากขึ้นหลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ “ไฉนท่านจึงช่วยเหลือข้าเช่นนี้? พวกเรา... พวกเราไม่ได้มีความเกี่ยวพันอันใดต่อกันไม่ใช่หรือ?”
“ฮ่า ฮ่า มิผิด เมื่อวานซืนพวกเราไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย” หงยินพยักหน้ากล่าว “แต่เ้าไม่ต้องระแวงไป อย่างน้อยข้าก็ไม่มีเจตนาร้ายต่อเ้าไม่ใช่หรือ?”
เห็นดวงตาไป๋หยุนเฟยยังคงฉายแววสงสัย หงยินจึงอดไม่ได้ต้องกล่าวว่า “เอาเถอะ ข้าบอกต่อเ้าได้อีกอย่าง ข้าทราบว่าเ้ามีความสัมพันธ์กับสำนักชะตาลิขิต มิหนำซ้ำผู้าุโเกออี้หยุนยังไปพบเ้าด้วยตนเอง ดังนั้นข้าจึง้าเป็สหายกับเ้า บางทีวันหน้าพวกเราอาจจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือกัน...”
“ข้าจะช่วยเหลือท่านอย่างไร? ท่านฝีมือสูงส่งกว่าข้ามากมาย ยังมีเื่ใดที่ข้ายังจะช่วยเหลือท่านได้อีก?”
“ยามนี้ย่อมเป็เช่นนี้ แต่ผู้ใดกล้าพูดว่าอนาคตจะเป็เช่นไร?”
ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดจนคิ้วขมวดแแ่ไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวอย่างจริงใจว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าต้องขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับความช่วยเหลือจากท่าน เมื่อวานนี้หากไม่ใช่ท่าน ข้าคงไม่อาจตัดใจได้ง่ายดายเพียงนี้”
เมื่อวานภายในตรอก หงยินบอกต่อไป๋หยุนเฟยว่าวันที่มันอยู่ในหอเร้นลับสุขสันต์ หลิวเฉิงเฝ้าจับตาดูอยู่ในเงามืด มิหนำซ้ำยังเตือนอีกว่าหลิวเฉิงและหลิวเมิ่งที่อยู่ข้างกายไป๋หยุนเฟยดูคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง
ต้องขอบคุณคำเตือนจากหงยินที่ทำให้ไป๋หยุนเฟยเชื่อมโยงเื่ราวที่น่าสงสัยเข้าด้วยกันได้ จึงตัดสินใจ‘หงายไพ่’ก่อน มันไปหาหงยินขอให้ส่งข่าวยังสำนักหลิวขจีเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ฮ่า ฮ่า นับว่ายังดีที่เ้าเชื่อถือข้าน้องชายหยุนเฟย ที่จริงผู้คนสมควรปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ แม้ไม่ผิดอันใดที่จะระวังตัว แต่เ้าก็วะแรงสงสัยทุกเื่ราวมากไป เ้าคงอยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างเหินจากผู้คนมาตลอดกระมัง?”
เมื่อได้ยินคำพูดหงยิน ไป๋หยุนเฟยจึงตะลึงงันไปชั่วขณะ มันประสานมือคารวะพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ “นี่... ขอบคุณพี่หงยินที่ชี้แนะ”
