หลี่ลั่วกลอกตาไปมา “ข้ามีวิธีการอื่นอยู่บ้างจริงๆ ขอรับ เกี่ยวกับเครื่องหมายวรรคตอน เช่น เครื่องหมายบอกเล่าเทือกนั้น เพียงแต่ว่า...”
“เครื่องหมายวรรคตอนหรือ? คำนี้มีหมายความว่าเช่นใดรึ?” หยางเหล่าฮ่านหลินถามขึ้นทันที
“ไม่รีบ รองานเลี้ยงเลิกแล้ว ข้าจะเชิญเสี่ยวโหวเหฺยมาดื่มน้ำชาที่ฮ่านหลินย่วน มาร่วมปรึกษาหารือกัน” อธิการบดีประจำสำนักราชบัณฑิตหลวง ขุนนางขั้นสอง ลูบเคราของตนแล้วเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“เช่นนั้นผู้น้อยนั้นเคารพ ไม่สู้ทำตามคำสั่งขอรับ” ทุกครั้งที่หลี่ลั่วอ่านหนังสือในยุคสมัยโบราณ มักจะมีสิ่งหนึ่งที่เขาเอือมระอาอย่างยิ่ง นั่นก็คือเครื่องหมายวรรคตอน ในยุคนี้มีเพียงเครื่องหมายวรรค และเครื่องหมายจบประโยค คำพูดยาวๆ ประโยคหนึ่งพูดขึ้นมาแล้วเหนื่อยยิ่งนัก ประธาน กริยา กรรม ล้วนแบ่งไม่ชัดเจน หากมีเครื่องหมายวรรคตอนย่อมเป็คุณูปการช่วยให้การศึกษานั้นพัฒนาได้อย่างมากมาย
“ลั่วเอ๋อร์เฉลียวฉลาดเช่นนี้ เช่นนั้นเตรียมของขวัญอันใดมอบให้เจิ้นเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เริ่มกระทำการทวงของขวัญ
นี่เป็ครั้งแรกที่หลี่ลั่วเดินเข้ามาในสายตาของผู้คนมากมาย วิธีการพูดเกี่ยวกับเส้นทึบและเส้นประของเขาเป็เพียงก้าวแรกในชีวิตเขา เต็มไปด้วยความหมายที่สำคัญ
กู้จวิ้นเฉินรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างช่วยไม่ได้ เ้าสารเลวตัวน้อยนี่แทบจะเหยียบหน้าเขาเพื่อจะปีนขึ้นสู่ที่สูง
เขาอยากตีก้นหลี่ลั่วเหลือเกิน ทำเช่นใดดี?
ใต้หล้านี้คงมีแต่เพียงหลี่เสี่ยวโหวเหฺยเพียงคนเดียวแล้วกระมัง ที่จะกระทำการเหยียบหน้าฉีอ๋องได้เช่นนี้
เมื่อพูดขึ้นมาว่าหลี่ลั่วได้เตรียมของขวัญอันใด คนในสกุลหลี่ต่างให้ความสนใจ ฮ่องเต้พระราชสมภพ ขุนนางใหญ่ไม่ต้องตระเตรียมของขวัญ ดังนั้นขุนนางทั้งหลายจึงรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เหตุไฉนฮ่องเต้จึงทวงของขวัญจากหลี่เสี่ยวโหวเหฺยเสียเล่า
แต่ผู้ที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรในวันนั้นต่างรู้ดี ของขวัญชิ้นนี้นั้นฮ่องเต้ได้เรียกร้องมาั้แ่เดือนห้าแล้ว ดังนั้นหลี่ลั่วจึงมีเวลาถึงสี่เดือนในการตระเตรียมของขวัญ
หลี่ลั่วกล่าวยิ้มๆ “ของขวัญที่เสี่ยวเฉินตระเตรียมมานั้นต้องรองานเลี้ยงตอนค่ำเริ่มจึงจะเปิดได้พ่ะย่ะค่ะ ทว่าเวลานี้ทุกคนต่างคึกคักยิ่งนัก เสี่ยวเฉินไม่อาจทำให้ฝ่าาและขุนนางทั้งหลายหมดสนุกพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ มีการเล่นตัวด้วย เ้าลองพูดมาให้ข้าฟังดูซิ เ้าคิดจะทำอันใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้กลับไปนั่งยังตำแหน่งประธาน สายตาที่มองหลี่ลั่วนั้นมีความประหลาดใจ
“บนภาพขุนเขาและสายน้ำของแคว้นเรา ทั้งผืนขาวสะอาด เสี่ยวเฉินเขียนกวีสักบทหนึ่งเป็เช่นใดพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่ลั่วถาม
“โยว ยังมีความสามารถถึงเพียงนี้?” จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกสนใจยิ่งนัก “ดูไปแล้วหลี่เสี่ยวโหวเหฺยของพวกเรายังมีความสามารถอีกมายมาย แต่บทกวีนั้นไม่ต้องแล้ว ตัวอักษรของเ้านั้นเจิ้นรู้ ดีกว่าเด็กในวัยเดียวกันเล็กน้อย แต่หากเขียนไว้ข้างบนภาพจะเป็การทำลายภาพผืนนี้”
หลี่ลั่วเม้มปาก “เช่นนั้นเสี่ยวเฉินเป่าขลุ่ย ให้องครักษ์ของเสี่ยวเฉินรำกระบี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ อาวุธมีคมอันตรายเกินไป” มีขุนนางเอ่ยขึ้น
“คือหลี่ฉางเฉิง บุตรชายของหลี่จงิพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นี้เชื่อใจได้” หลี่ลั่วกล่าว
“เสี่ยวโหวเหฺยอายุยังน้อย ไม่รู้ธรรมเนียมก็ช่างเถิด แต่ความปลอดภัยของเสด็จพ่อนั้นไม่อาจนำมาทำเป็เื่ล้อเล่นได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามกล่าว
หลี่ลั่วมององค์ชายสาม องค์ชายสามผู้นี้ นอกจากจะรู้จักแต่อิจฉาริษยาแล้ว ประโยชน์อื่นใดล้วนไม่มี
“เสด็จอา หลานขอเป็ผู้รับรองเองพ่ะย่ะค่ะ” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“วันนี้เจิ้นอารมณ์ดี แล้วแต่จงหย่งโหวเถิด เ้าจะเป่าเพลงอันใดเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้วันนี้อารมณ์ดีเป็พิเศษ ภาพวาดของกู้จวิ้นเฉินนั้นถูกใจเขาเป็อย่างมาก ในเมื่อหลี่ลั่วอยากจะแสดง ก็ให้เขาแสดงเถิด
เวลานี้เอง เสียงจากด้านนอกก็พลันดังเข้ามา “ถวายรายงาน...ฝ่าา ผู้ตรวจการชายแดนจากซีเป่ยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
วันนี้วันคล้ายวันพระราชสมภพฮ่องเต้ ผู้ตรวจการชายแดนที่ควรจะอยู่ซีเป่ยในเวลานี้กลับขอเข้าเฝ้า หรือว่าจะมีเื่ใหญ่เกิดขึ้นที่ซีเป่ยแล้วหรือไร? บรรดาขุนนางเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
จ้าวหนิงฮ่องเต้หลับตาลง “เรียกตัวเข้ามา”
กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว ผู้ตรวจการซีเป่ยรับผิดชอบการเฝ้าดูเหตุการณ์ทางซีเป่ย เขาขอเข้าเฝ้าเช่นนี้ หรือว่าทางด้านพี่ชายจะเกิดเื่?
พี่ชายของกู้จวิ้นเฉิน หลานชายของแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ ผู้ถูกขนานนามว่าแม่ทัพน้อยอวี๋ เป็ผู้ที่หลี่ซวี่ปลุกปั้นขึ้นมากับมือ ปีนี้มีอายุยี่สิบหกปี หลังจากที่หลี่ซวี่ตายไป เขาในวัยยี่สิบสองปีได้เข้ามาทำหน้าที่ป้องกันชายแดนซีเป่ยแทน เวลานี้อำนาจและกองทัพสกุลอวี๋จำนวนสิบหมื่นนายอยู่ในมือเขา
เวลานี้หากแม่ทัพน้อยอวี๋เกิดเื่...คนทั้งหมดมองไปที่กู้จวิ้นเฉิน นี่เป็การพุ่งเป้าเข้าหากู้จวิ้นเฉินหรือไม่?
หลี่ลั่วมองไปทางกู้จวิ้นเฉิน แต่ทว่ากู้จวิ้นเฉินยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง บนสีหน้านอกจากความเ็าแล้วก็ไม่มีความกระวนกระวายใจใดๆ ปรากฏให้เห็น
ผู้ตรวจการซีเป่ยเข้ามาถึงงานเลี้ยง ด้วยเขาเร่งเดินทางเป็เวลาติดกันหลายวัน ดังนั้นฝุ่นดินจึงติดตามร่างกาย “ผู้น้อย โค่วฉี ถวายบังคมฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้น” ดวงตาราวดุดันกับพญาเหยี่ยวของจ้าวหนิงฮ่องเต้มองโค่วฉี “เ้าไม่ประจำการอยู่ที่ซีเป่ย มาเมืองหลวงทำอันใด?”
“ผู้น้อยมีเื่ด่วนมาถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ” โค่วฉีคุกเข่าลงอีกครั้ง “ผู้น้อยขอทูลร้องเรียนแม่ทัพอวี๋รักษาชายแดนซีเป่ยสมคบคิดกับแคว้นฝูชิว ทั้งยังมีสารลับระหว่างแม่ทัพอวี๋และแคว้นฝูชิว ค้นมาได้จากจวนแม่ทัพซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”
มือที่อยู่ใต้โต๊ะของกู้จวิ้นเฉินกำแน่น ทว่าเมื่อขุนนางทั้งหลายจ้องมองกู้จวิ้นเฉิน ปฏิกิริยาที่พวกเขาได้เห็นก็คือฉีอ๋องยังคงสุขุม ไม่ได้พูดจาขอความเห็นใจแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ในใจหลี่ลั่วสั่นสะท้าน ฝ่ายตรงข้ามเลือกที่จะมาพูดขึ้นในเวลาเช่นนี้ ฝ่าายังไม่ได้เอ่ยถามเื่อันใด เขาก็พูดออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็การกระทำอย่างเจตนา เขามีเจตนาที่จะพูดต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ้าทำให้กู้จวิ้นเฉินและฝ่าาตกที่นั่งลำบาก ไม่ว่าเื่นี้จะเป็เื่จริงหรือไม่ ทันทีที่แม่ทัพน้อยอวี๋ถูกสงสัย อำนาจการควบคุมกองทัพทหารซีเป่ยจะต้องยกให้ผู้อื่นดูแลแทน หากเป็เช่นนี้ เมื่ออำนาจทางทหารตกอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม ต่อให้แม่ทัพน้อยอวี๋พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ในภายหลัง ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลับไปอีกแล้ว
อีกฝ่าย้าคิดบัญชีกับสกุลอวี๋ และคิดบัญชีกับกู้จวิ้นเฉิน นี่มัน....เป็ผู้ใดกันที่เริ่มลงมือกับกู้จวิ้นเฉิน
มีจุดประสงค์เพื่ออันใด? บัลลังก์ัใช่หรือไม่?
จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยอันใด สิ่งที่หลี่ลั่วคิดออกมาได้ จ้าวหนิงฮ่องเต้ย่อมคิดออกมาได้เช่นกัน ในเวลานี้ หากฝ่าาสอบถามลงไปตามการวางหมากของโค่วฉีแล้วละก็ ย่อมไม่เป็ผลดีต่อสกุลอวี๋และกู้จวิ้นเฉิน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก ต่อให้จิตใจนั้นเอนเอียง ทว่าต่อหน้าจะลำเอียงไม่ได้
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาภายในชั่วพริบตา
ขุนนางจำนวนไม่น้อยมองไปยังกู้จวิ้นเฉิน อยากจะพูดจาทว่ากลับหยุดชะงัก แต่เมื่อเห็นกู้จวิ้นเฉินส่ายหน้าเบาๆ พวกเขาจึงนิ่งเงียบไป หากเอ่ยปากขึ้นมาก่อนจะเท่ากับกินปูนร้อนท้อง ไม่เอ่ยปากใด ปล่อยให้เป็ไปตามที่ผู้อื่นจะคาดเดา
เื่นี้ไม่ว่าจะก่อนหรือหลัง อย่างไรกู้จวิ้นเฉินก็เป็ฝ่ายผู้ถูกกระตุ้น
“ฝ่าา” หลี่ลั่วยืนขึ้นมาอีกครั้ง “ฝ่าา ั้แ่เสี่ยวเฉินกลับมาถึงเมืองหลวง ได้อ่านตำรากฎหมายอย่างคุ้นเคย มีเื่หนึ่งอยากทูลถามฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้พระเนตรเป็ประกาย “พูด”
กู้จวิ้นเฉินมองหลี่ลั่วด้วยความประหลาดใจ หลี่ลั่วหันกลับมายิ้มบางๆ ให้เขา รอยยิ้มนั้นช่าง...อ่อนโยน ทั้งสว่างไสว เหมือนการพบกันครั้งที่สองของพวกเขา ตอนนั้นหลี่ลั่วจับมือของเขาเอาไว้ ลั่วเอ๋อร์ อย่าสร้างความวุ่นวาย
“ฝ่าา หากขุนนางในราชสำนักกระทำผิดต่อกฎเมือง แล้วต่อมาเขายังร้องเรียนผู้อื่นอีก เช่นนั้นควรจะตัดสินเื่แรกก่อนจึงจะตัดสินเื่ที่เขาร้องเรียน ถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลี่ลั่วถาม
“หลี่เสี่ยวโหวเหฺย” เสนาบดีฉินเอ่ยปาก “นี่เป็เื่ใหญ่ของราชสำนัก เสี่ยวโหวเหฺยจะเล่นก็ไปเล่นสนุกอีกด้านหนึ่งเถิด”
หลี่ลั่วได้ยิน สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด “คำพูดของเสนาบดีฉินนี้ช่างทำให้คนผิดหวังอย่างยิ่ง ข้าเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบยังรู้ว่าเื่ของซีเป่ยนั้นต่างจากเื่ธรรมดาสามัญ และรู้ว่าควรจะใส่ใจ ในเวลาเช่นนี้เสนาบดีฉินกลับคิดแต่จะเล่นสนุก ตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมนี่ควรจะ...อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมกับตำแหน่งของเสนาบดีฉินเสียแล้วกระมัง”
“เ้า...” เสนาบดีฉินมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหกปีมานี้ หลังจากจ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ก็ไม่มีใครสามารถตบหน้าของเขาได้ คำพูดของหลี่ลั่วในวันนี้กลับดำให้เป็ขาว ตบเขาเสียจนเ็ปยิ่งนัก “ปากของเสี่ยวโหวเหฺยแหลมคมยิ่งนัก”
“ลิ้นพันกันนั้นเป็สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน ขุนนางในราชสำนัก มีปากของผู้ใดบ้างที่ไม่เฉียบคม?” ผู้ใดยอมรับว่าฝีปากของตนไม่เฉียบคม วันนี้คงต้องลาออกจากตำแหน่งขุนนางแล้วกลับไปเสีย นี่เป็ความนัยที่หลี่ลั่ว้าพูดกับทุกคน
“เสี่ยวโหวเหฺย ท่านตาเป็เสนาบดีขั้นสาม เ้าเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ อย่างไรเสียยังต้องให้ความเคารพเขา” องค์ชายใหญ่เอ่ยปาก
“อยู่ในราชสำนักปรึกษาหารือเื่ของบ้านเมืองเบื้องหน้าพระพักตร์ฝ่าา มิใช่เพื่อเป็การพูดความจริง พูดถึงความคิดของตนออกมาหรือไร หรือว่ายังต้องดูาุโผู้เยาว์อีก?” หลี่ลั่วย้อนถาม “อีกทั้งหากจะว่ากันตามาุโหรือผู้เยาว์แล้ว เสนาบดีก็ไม่ใช่ท่านตาของข้า วันนี้ท่านตาของข้า ท่านปู่ของข้าล้วนอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่เคยตำหนิติเตียนว่าข้าไม่เคารพาุโ คำพูดขององค์ชายใหญ่นี้...ออกจะเกินไปอยู่สักหน่อย” หลี่ลั่วกล่าว
“เ้า...”
“ฝ่าา” หลี่ลั่วคุกเข่า “ตามกฎหมายของรัชสมัยเรานี้ ผู้ตรวจการชายแดนซีเป่ยรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ผู้บังคับบัญชากองทัพซีเป่ยรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ขุนนางผู้ใต้บังคับบัญชามีอำนาจในการสั่งการให้ไปรื้อค้นคฤหาสน์ของผู้บังคับบัญชาั้แ่เมื่อใดกันพ่ะย่ะค่ะ? เป็พระราชโองการของฝ่าาหรือราชโองการปากเปล่าหรือพ่ะย่ะค่ะ? หากไม่มีแล้วไซร้ หรือว่าจะเป็การแอบอ้างเบื้องสูง? หรือเป็การบุกรุกโดยพลการพ่ะย่ะค่ะ?” คำพูดของหลี่ลั่วตรงประเด็นและมีเหตุมีผลทุกตัวอักษร
ท่านข้าหลวงจวนว่าการนั้นร้องไชโยโห่หิ้วในใจแล้ว มารดาของข้าเอ๋ย ฝีปากระดับยอดเยี่ยมของหลี่เสี่ยวโหวเหฺย เด็กน้อยอายุห้าขวบ มาปรึกษาหารือกฎหมายต่อหน้าฝ่าา ขวัญกล้าปานนี้ ช่างทำให้คนนับถือๆ
และที่สำคัญคือคำพูดของหลี่เสี่ยวโหวเหฺยนั้น ช่างไร้ตำหนิยิ่งนัก
กฎหมายก็คือกฎหมาย ขุนนางขั้นที่ต่ำกว่าไม่มีอำนาจนี้จริงๆ
“เด็กน้อยท่านนี้ ข้าได้ตัดสินใจกระทำการตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” โค่วฉีกล่าว
“ผู้ตรวจการที่รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม เมื่ออยู่ต่อหน้าเปิ่นโหวที่รั้งขั้นหนึ่ง แม้แต่คำว่า ‘ข้าน้อย’ ก็พูดไม่เป็หรือไร? หรือคิดว่ากฎหมายของรัชสมัยเรานั้นไร้น้ำยา” น้ำเสียงของหลี่ลั่วเคร่งขรึมขึ้นมา
กู้จวิ้นเฉินมองหลี่ลั่ว มอง...ตลอดเวลา แม้จะกะพริบตาก็ยังมิอาจตัดใจได้ เขากลัวว่าทันทีที่เขากะพริบตาแล้วจะเสียโอกาสที่จะได้เห็นหลี่ลั่วในทุกๆ อิริยาบถ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็อันใดกันแน่ เขาไม่อาจถอนสายตากลับมาได้ หลี่ลั่วคุกเข่าอยู่ที่นั่น มีพลังแห่งความเข้มแข็งชนิดหนึ่งกระจายออกมา เป็พลังที่ดึงรั้งให้เขาดึงสายตากลับมาไม่ได้
หลี่ลั่ว
มือทั้งคู่ของกู้จวิ้นเฉินกำเป็หมัดแน่น ไม่เคยปรารถนาถึงคนผู้นี้เช่นนี้มาก่อน เวลานี้ นาทีนี้ เขาอยากกอดเขาเหลือเกิน กอดเขาให้แน่นๆ
“เ้า...” โค่วฉีผู้เป็ชายหนุ่มอายุสามสิบปี ถูกเด็กชายตัวน้อยอายุห้าขวบพูดใส่เสียจนหน้าดำหน้าแดง
“เสนาบดีกรมยุติธรรม ท่านข้าหลวงจวนว่าการ ต้าหลี่ซื่อชิง เรียนถามใต้เท้าทั้งสามท่าน คำพูดของเปิ่นโหวเมื่อสักครู่ มีเหตุผลพอหรือไม่”
ท่านข้าหลวงจวนว่าการเป็คนแรกที่เอ่ยขึ้น “เสี่ยวโหวเหฺยพูดได้ถูกต้องแล้วขอรับ ขุนนางขั้นต่ำกว่าหากไม่มีพระราชโองการ ไม่สามารถเข้ารื้อค้นคฤหาสน์ของผู้บังคับบัญชาได้”
“คำพูดของเสี่ยวโหวเหฺยมีเหตุผล กฎหมายของบ้านเมืองเราไม่ได้บัญญัติไว้ว่าให้กระทำการตัดสินโดยพลการตามเหตุการณ์ได้ นอกจาก...จะมีพระราชโองการหรือราชโองการปากเปล่าจากฝ่าา” เสนาบดีกรมยุติธรรมกล่าว
ต้าหลี่ซื่อซิงนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยอันใด เมื่อสักครู่หลี่ลั่วได้ช่วยเขาเอาไว้ และคำพูดของหลี่ลั่วล้วนเป็ความจริงทั้งสิ้น “เสี่ยวโหวเหฺยซึ่งเป็เด็กน้อยอายุห้าขวบไฉนจึงเข้าใจกฎหมายของรัชสมัยอย่างลึกซึ้งเยี่ยงนี้ ข้าและคนอื่นๆ ล้วนผ่านการสอบเคอจวี่ มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้กฎหมาย” คำพูดประโยคนี้ ทำให้ขุนนางที่กำลังจะเอ่ยปากพูดจานั้นถูกอุดปากทันที
หากกล้าพูดว่าคำพูดของหลี่ลั่วไม่ถูกต้อง เช่นนั้นย่อมหมายถึงท่านไม่ได้ถือกำเนิดจากการสอบเคอจวี่