เล่มที่ 1 บทที่ 20 กระจกโจ่วกวง
ป้ายชื่อสุสานตั้งตระหง่านท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด มีโลงศพแขวนลอยกลางอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเหมือนกับเมื่อหมื่นปีก่อนไม่มีผิด หลายหมื่นปีให้หลังมานี้ที่หลินเฟยได้ก้าวเข้ามาอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความเคารพเหมือนครั้งอดีต
ไม่ว่าจะเป็โลงศพหลังใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือหัว หรือป้ายสุสานที่สลักด้วยอักษรที่ดูแปลกตาพิลึก ทุกอย่างล้วนเป็สิ่งต้องห้ามในสายตาหลินเฟย
เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เ้าสำนักผู้เป็ตำนานท่านหนึ่ง คือนักพรตอิ๋นฟงที่ถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ซิงเหอ ที่ได้เสียสติภายในสุสานแห่งนี้ ส่วนเหตุผลที่เป็เช่นนั้น ก็เพราะเขาพยายามจะเปิดโลงศพที่แขวนอยู่นี้ให้ได้ จนตอนนี้หลินเฟยยังคงจำสีหน้าหวาดกลัวของตาเฒ่าตอนที่บอกความลับนี้กับเขาได้เป็อย่างดี...
ตาเฒ่าเล่าไว้ว่า ได้เห็นนักพรตอิ๋นฟงแง้มโลงศพนั่นออก พริบตาต่อมาใบหน้าของนักพรตอิ๋นฟงก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจออกมา ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันจะรวบรวมสติได้ นักพรตอิ๋นฟงก็เสียสติไปแล้ว...
ในคืนนั้นเอง มือกระบี่ขั้นฟ่าเซิงที่เก่งกาจที่สุดแห่งยุค ได้เข่นฆ่าคนในสำนักเวิ่นเจี้ยนแทบสิ้นสำนัก ั้แ่ผู้าุโยันเหล่าศิษย์ล้วนาเ็ล้มตาย เืหลั่งไหลดั่งสายน้ำ เวลานั้นตาเฒ่าซ่อนตนอยู่ใต้ซากศพจึงรอดชีวิตมาได้ กระทั่งสำนักเวิ่นเจี้ยนไม่มีผู้ใดต้านทานได้อีก นักพรตอิ๋นฟงถึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาทิ้งกระบี่ชื่อหยางในมือออก คุกเข่าร้องไห้ปาดขาดใจลงที่หน้าสำนักจนกระทั่งสิ้นชีพไป...
ภัยพิบัติครั้งนั้นทำให้สำนักเวิ่นเจี้ยนบอบช้ำอย่างหนัก ใช้เวลานานถึงร้อยปีเต็มๆจึงสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ ั้แ่นั้นมา สุสานแห่งนี้ก็กลายเป็เขตหวงห้าม มาจนถึงพันปีให้หลัง จากการไล่ล่าของเ้าแห่งเทวทมิฬ หลินเฟยจึงจำต้องเข้ามาหลบหนีตายในนี้...
หลินเฟยไม่ได้จับต้องสิ่งใดในสุสานเลยแม้แต่ชิ้นเดียว โลงศพขนาดใหญ่ที่แขวนลอยอยู่นั้นก็เช่นกัน เพราะนั่นคือสิ่งต้องห้ามที่แสนอันตรายนั่นเอง...
หลังจากเข้ามาที่สุสานแล้ว หลินเฟยเอาแต่นับป้ายหลุมศพ ั้แ่ป้ายที่หนึ่ง สอง สามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงป้ายที่สิบสาม หลินเฟยจึงหยุดลง ก่อนจะก้มมองไปที่ป้ายหลุมศพนั้น ใช่แล้ว...สัญลักษณ์ที่ทิ้งไว้ยังอยู่นั้น คือก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นสามก้อนที่วางซ้อนกันอยู่...
ไม่มีใครคิดหรอกว่า ภายใต้ก้อนหินธรรมดาสามก้อนที่เรียงซ้อนอยู่นี้ จะซ่อนสมบัติประจำสำนักตงจี่ในอดีตอย่างกระจกโจ่วกวงเอาไว้
เมื่อครั้งอดีต หลินเฟยเคยพยายามหาวิธีรักษาเส้นปราณบกพร่องไปทั่วพิภพหลัวฝู มีครั้งหนึ่งที่ชิงเอากระจกโจ่วกวงซึ่งเป็สมบัติประจำสำนักตงจี่มาได้ โดยของสิ่งนี้นั้นมีอำนาจควบคุมมิติเวลาได้
น่าเสียดาย ที่ถึงแม้ว่ากระจกโจ่วกวงจะสามารถปรับเปลี่ยนมิติเวลาได้ แต่ก็ไม่อาจรักษาเส้นปราณที่บกพร่องของเขา สุดท้ายจึงต้องนำมาเก็บซ่อนที่สุสานแห่งนี้ หวังว่าวันหน้าจะมีศิษย์สำนักเวิ่นเจี้ยนนำมันออกไปใช้อีกครั้ง
คิดไม่ถึงว่าหลายหมื่นปีผ่านไป ศิษย์สำนักเวิ่นเจี้ยนที่นำมันออกมานั้น จะเป็ตัวเขาเสียเอง...
‘ราวกับว่าทุกอย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว...’
ในชาตินี้หลินเฟยพยายามฝึกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ หนทางนี้แสนยากที่จะสามารถบรรลุได้ ทุกอย่างเป็เพราะสำนึกดีของเขาในชาติที่แล้ว ที่ประสงค์จะทิ้งสมบัติให้ศิษย์รุ่นหลังของสำนักเวิ่นเจี้ยน คิดไม่ถึงเลยว่าความหวังดีเช่นนี้ จะสานต่อหนทางบำเพ็ญที่สิ้นสุดไปแล้วของตนในชาตินี้ได้
ชาติที่แล้วหลินเฟยเองก็มีความรู้กว้างขวาง แต่สำหรับอาวุธที่ปรับเปลี่ยนห้วงเวลาได้ ก็รู้เพียงแค่สามสิ่ง และสองในสามสิ่งนี้เอง ก็ล้วนเป็สิ่งที่ผู้บำเพ็ญชั้นสูงขั้นฟ่าเซินเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ สองสิ่งนี้ก็คือนาฬิกาทรายกวงยิง และกาฉุนจวินของเซียนกระบี่ตงหลี ของเหล่านี้ล้วนถูกผนึกไว้กับจิติญญาของผู้บำเพ็ญขั้นฟ่าเซินที่มีตบะเก่งกล้าทั้งสอง หากคิดจะแล้วละก็คงต้องผ่านศพของพวกเขาไปก่อน
กล่าวได้ว่า กระจกโจ่วกวงเป็เพียงโอกาสเดียวเท่านั้น...
และแล้วหลินเฟยก็สามารถคว้าโอกาสหนึ่งเดียวนี้ได้พอดี
“โชคดีที่ตอนนั้นยังฉลาดพอ..” หลินเฟยชื่นชมการกระทำของตนในอดีต จากนั้นจึงชักกระบี่ออกมาเพื่อทำการขุดหลุม
ไม่นานก็ขุดได้หลุมที่ลึกประมาณหนึ่งฉื่อ ขณะที่กำลังจะลงมือขุดต่อ เขาก็รู้สึกถึงของแข็งบางอย่าง
“กระจกโจ่วกวง!” หลินเฟยสลัดดาบทิ้งทันที ก่อนจะใช้สองมือคุ้ยดินที่ปกคลุมออก กระทั่งมองเห็นกระจกกลมสีมรกตที่โผล่พ้นดินออกมาครึ่งหนึ่ง
‘เหมือนที่คิดไว้จริงๆด้วย...’
เห็นเพียงแวบเดียวหลินเฟยก็จำได้ทันที นี่คือกระจกโจ่วกวงที่เขาซ่อนไว้ด้วยมือของเขาเอง ไม่รู้เป็เพราะอะไร เมื่อเทียบกับเมื่อหมื่นปีก่อน กระจกตรงหน้ากลับดูหม่นแสงลงมาก...
“แปลกจัง...”
เห็นดังนั้นหลินเฟยพลันขมวดคิ้วยุ่ง กระจกโจ่วกวงเกือบได้เป็ศาสตราวุธขั้นเซียนเทียนด้วยซ้ำ หากสามารถบ่มเพาะจิติญญาหยวนหลิงออกมาได้ พลังทำลายล้างนั้นก็สามารถเทียบเสมอผู้บำเพ็ญขั้นฟ่าเซินเลยทีเดียว ‘แล้วทำไมถึงหม่นแสงแบบนี้กันละ?’
‘แถมพลังของมันก็ดูอ่อนกำลังลงอีก’
“หรือว่า...” มีบางสิ่งปรากฏขึ้นภายในห้วงความคิดของเขา เวลานั้นเองหลินเฟยไม่แม้แต่จะสนใจดินบนพื้น แต่กลับโถมทั้งตัวของเขาลงในหลุมดิน และใช้สองมือประคองยกกระจกขึ้นมา
ทันใดนั้นกระจกโจ่วกวงก็แตกเข้าทันที!
‘ใช่แล้ว มันแตก!’
“...” หลินเฟยรู้สึกมึนงงขึ้นมาทันที สองมือประคองกระจกโจ่วกวงที่แตกเป็สองส่วน ใบหน้าถอดสีก่อนจะทิ้งตัวล้มลงบนกองดิน ผ่านไปหนึ่งงเค่อเต็มๆ จึงจะกลับมาได้สติอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้โยนเศษกระจกโจ่วกวงลงพื้น ก่อนใช้มือขุดดินอย่างเอาเป็เอาตาย ปากก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุด
“ไม่มีทาง! มันจะแตกได้อย่างไร ต้องมีคนแกล้งข้า เอาของปลอมมาฝังไว้ ของจริงมันจะต้องอยู่ข้างใต้นี้แน่...”
“หนึ่งฉื่อ สองฉื่อ สามฉื่อ...”
หลินเฟยขุดลึกลงไปถึงสามฉื่อเต็มๆ สองมือถลอกปอกเปิกและมีเืซึมออกมา แต่ก็ยังไร้วี่แววของกระจกโจ่วกวงอีกชิ้น
‘ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันกะทันหันจนเกินไป’ หลินเฟยมึนงงจนทำอะไรไม่ถูก
หากไม่มีกระจกโจ่วกวงไว้ปรับความเร็วของเวลา แล้วเขาจะฝึกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่อย่างไร ไม่ถึงขั้นจิงตันก็คงจะแก่ตายไปเสียก่อน
ั้แ่ครั้งที่ฟื้นคืนชีพที่หอดาบ หลินเฟยก็ไม่เคยตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็การใช้กระบี่ระลึกตนเอาชนะกระบี่พิฆาตเซียนมาร หรือสั่งสอนนายน้อยแห่งสำนักเทียนซือที่หุบเขาอวี้เหิง แม้กระทั่งตอนเผชิญหน้ากับอสรพิษปักษานับพันที่ผาปากเหยี่ยว หลินเฟยก็ไม่เคยรู้สึกวิตกขนาดนี้มาก่อน
แต่กับครั้งนี้ไม่ใช่…เขารู้สึกร้อนรนเหลือเกิน
‘หากไม่มีพลังขั้นฟ่าเซินขึ้นไป เขาจะสามารถสานต่อเื่ที่ค้างคาเมื่อชาติที่แล้วได้อย่างไร?’
เปลวไฟที่เผาไหม้สำนักเวิ่นเจี้ยน หยาดเืของศิษย์สำนักเวิ่นเจี้ยนทุกคนที่ตายในเหวทมิฬที่ไหลริน รวมถึงรอยยิ้มของตาเฒ่ายามที่ก้าวเข้าสู่เหวทมิฬ ภาพทุกอย่าง ล้วนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลินเฟย
‘หากไม่มีกระจกโจ่วกวง ทุกอย่างคงเป็ได้แค่ภาพลวงตา...’
หรือจะต้องทำลายรากฐานของตัวเอง เพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง?
พิภพหลัวฝูมีความเป็มานับล้านล้านปี คนที่ทำลายรากฐานตนเองแล้วบำเพ็ญได้ถึงขั้นฟ่าเซิงก็มีเพียงน้อยนิดแค่หยิบมือ แล้วเขาควรจะเสี่ยงกับโอกาสอันต่ำเตี้ยเช่นนี้หรือไม่?
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้