เตี๋ยอีคุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เพราะนางไม่เคยคิดเลยว่า เื่ของนางและคนอื่นๆ รวมถึงคุณหนูจะอยู่ภายใต้พระเนตรพระกรรณของพระชายา ตอนนี้จึงดูเหมือนว่า แผนการเ่าั้ของคุณหนูจะถูกคนล่วงรู้จนหมดสิ้นแล้ว “บ่าวเป็สาวใช้ของคุณหนู ไม่ว่าเื่ใดก็สมควรคิดและกระทำเพื่อคุณหนู เพราะนั่นคือหน้าที่ของบ่าวเ้าค่ะ แต่จะฟังหรือไม่ จะทำหรือไม่ล้วนเป็เื่ของคุณหนู”
อวิ๋นซีหัวเราะหึหึเ็า “หน้าที่หรือ? ดียิ่ง หรือว่า ตอนนี้ในใจเ้าจะยังคิดอยู่ว่านางคือคุณหนูของเ้า? ”
“บ่าว...” เตี๋ยอีนึกถึงเหล่าคนที่จะข่มเหงนางในวันนั้น ในใจชัดเจนดีว่า คนบงการเื่เหล่านี้จักต้องเป็คุณหนูอย่างแน่นอน “บ่าวเพียงแต่รู้สึกผิดหวังเป็อย่างยิ่ง ถึงอย่างไรชีวิตบ่าวก็ต่ำต้อย เป็เพียงสาวใช้คนหนึ่ง ต่อให้จะมองเื่บางเื่และปัญหาบางอย่างได้ชัดเจนดี แต่คนเยี่ยงบ่าวจะทำอันใดได้? ส่วนนางก็เป็ถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากคน้าชีวิตบ่าว บ่าวก็คงทำได้เพียงต้องปล่อยให้ชีวิตของตนเองเป็ไปเช่นนั้น”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็โขกศีรษะเสียงดังให้อวิ๋นซีครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “บ่าวเตี๋ยอีขอบพระทัยพระชายาที่เมตตาช่วยชีวิตไว้ บุญคุณหนนี้ หากไม่ใช่เพราะพระชายา ไม่แน่ว่า ตอนนี้บ่าวอาจกลายเป็สตรีโคมเขียวที่ใครๆ ต่างก็ด่าว่า หรืออาจถึงขั้นกลายเป็ิญญาไร้ที่กลบฝังไปแล้วก็เป็ได้”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ถอนใจเบาๆ ในใจ
“ลุกขึ้นเถอะ” อวิ๋นซีมองนางไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ฉุนเอ๋อร์ช่วยประคองนางลุกขึ้นแล้วจึงกล่าวต่อ “ในเมื่อบอกว่าเปิ่นเฟยเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเ้า แล้วเ้าคิดจะตอบแทนเปิ่นเฟยเช่นไร? ”
เมื่อเตี๋ยอีได้ยินก็มองอวิ๋นซีไปทีหนึ่ง แล้วจึงรีบคุกเข่าลงไปบนพื้นอีกครั้ง “ชีวิตนี้ของบ่าวถือเป็ของพระชายาเพคะ”
อวิ๋นซีมองเตี๋ยอีพลางคิดในใจ สตรีนางนี้ไม่เพียงเฉลียวฉลาด แต่ยังมีใจที่แสนบริสุทธิ์อีกด้วย ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้ว่า สายตาของหยวนอวี่ผู้นั้นเป็อย่างไร อีกฝ่ายละทิ้งคนเช่นนี้ไว้ ไม่เคยคิดให้ความสำคัญ ซ้ำร้ายยังจะไปปกป้องบ่าวเยี่ยงอิ๋งอิ๋งผู้นั้นอีก
“ถ้าหยวนอวี่รู้ว่าคนที่นางขับไล่ไสส่งในวันนั้นได้กลายมาเป็สาวใช้ของข้าในวันนี้ คาดว่าคนคงจะโกรธจนช้ำในเป็แน่ เตี๋ยอี เ้าวางใจเถอะ สัญญาขายตัวของเ้า หยวนอวี่เผาทิ้งไปแล้วั้แ่วันนั้น ดังนั้น นับแต่นี้เป็ต้นไป เ้าจะต้องทำหน้าที่เป็สาวใช้ขั้นสองข้างกายเปิ่นเฟย ส่วนตอนนี้เ้าตามฉุนเอ๋อร์ไปเขียนสัญญาขายตัวที่พ่อบ้านก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อบ้านจะนำสัญญานั่นไปประทับตราที่ส่วนราชการเอง”
เตี๋ยอีพยักหน้า “เ้าค่ะ” ถึงแม้จะเปลี่ยนจากสาวใช้ขั้นหนึ่งมาเป็สาวใช้ขั้นสอง ในใจของเตี๋ยอีก็หาได้มีความรู้สึกเสียใจอันใด แต่กลับมีจิตใจที่กว้างขวางเปิดเผย ทว่า หากเื่นี้เกิดขึ้นกับสาวใช้คนอื่น คาดว่าคนคนนั้นคงจักต้องโศกเศร้าเป็นาน
อย่างไรเสียเมื่อเทียบกับการเป็สาวใช้ขั้นหนึ่งแล้ว สิ่งที่นางสนใจยิ่งกว่าก็คือ ตนเองจะได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้นางได้ให้สัญญาไว้กับมารดาว่าตนจะมีชีวิตให้ดี ดังนั้น จะยอมให้ตัวเองตายไปง่ายๆ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“พระชายาเพคะ เราจะเชื่อใจเตี๋ยอีได้จริงๆ หรือเพคะ? ” เพ่ยเอ๋อร์อดถามขึ้นไม่ได้
อวิ๋นซีอมยิ้ม “กาลเวลาพิสูจน์คน”
ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นซีก็ไม่ได้คิดจะให้เตี๋ยอีรับผิดชอบงานสำคัญๆ ในทันที และหวังเพียงจะให้คนคอยเฝ้าอยู่ที่สวนชิงเฟิงนี้ เพื่อช่วยจัดการเื่ราวประจำวันต่างๆ ภายในเรือน ส่วนเื่ด้านนอก นางจะไม่ให้คนอื่นนอกจากสาวใช้ทั้งสี่ไปยุ่งเกี่ยวด้วยง่ายๆ
“ไปนำกล่องที่เปิ่นเฟยให้เ้าจัดเตรียมไว้มา” อวิ๋นซีพูดเรียบๆ
เพ่ยเอ๋อร์นำกล่องๆ หนึ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้านในนั้นมีหยกสีแดงโลหิตที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไนวางอยู่ ขนาดของมันใหญ่พอดีกับฝ่ามือ ทว่าเพ่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกประหลาดใจยิ่ง พระชายา้านำสิ่งนี้มาทำอันใด?
ถึงกระนั้นด้วยฐานะของสาวใช้ คำถามที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม
อวิ๋นซีมองแผ่นหยกสีเืไก่นั้น มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ ขณะใช้มือลูบไล้ไปบนก้อนหยกที่เนื้อััยังไม่เรียบเนียนนั้นเบาๆ “พวกเ้าออกไปก่อนเถอะ นอกจากจวิ้นจู่น้อยแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามให้เข้ามา”
เมื่อเพ่ยเอ๋อร์ได้ยินคำว่านอกจากจวิ้นจู่น้อยแล้วคำนั้น มุมปากนางก็อดกระตุกไม่ได้ “แล้วท่านอ๋องล่ะเพคะ หากพระองค์เสด็จกลับมาแล้วก็ห้ามไม่ให้เข้าไปด้วยหรือเพคะ? ”
“เปิ่นเฟยบอกแล้วว่า นอกจากจวิ้นจู่น้อย” เมื่อพูดจบ อวิ๋นซีก็เสมองไปยังเพ่ยเอ๋อร์ที่มีสีหน้าสงสัยด้วยสายตาเ็า เพ่ยเอ๋อร์ถูกทำให้ใจนเป็ต้องรีบรับคำ ก่อนจะล่าถอยออกไป
แม้จะก้าวเดินออกมาแล้ว แต่ดวงใจน้อยๆ ของนางก็ยังคงเอาแต่เต้นตุบตับไม่หยุด ไม่ว่าอย่างไรสายตาเมื่อครู่นี้ นางเคยเห็นมาแล้วจากท่านอ๋อง มิคาดพระชายาเองก็จะมีสายตาเ็าแหลมคมเช่นนี้เช่นกัน เหตุการณ์เมื่อครู่ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง
หรือว่า พระชายากับท่านอ๋องจะอยู่ด้วยกันมากเกินไปแล้ว ทำให้บนร่างของพระนางจึงได้มีเงาร่างของท่านอ๋องแฝงอยู่?
อวิ๋นซีมองหยกสีเืไก่ในกล่อง ก่อนจะหยิบมีดแกะสลักที่จัดเตรียมไว้นานแล้วออกมา จากนั้นจึงรีบแกะสลักหยกชิ้นนั้นอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาอยู่สามวันถึงจะแกะสลักเสร็จจนได้หยกประดับสีแดงโลหิตลายดอกรุ่งอรุณดอกหนึ่ง อีกทั้ง ด้านล่างนั้นยังสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษเอาไว้ด้วย
เดิมคิดว่า ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ใช้ มิคาดท้ายที่สุดแล้วจะยังต้องใช้ เพื่อปลุกขุมกำลังที่ตนเคยแอบซ่อนไว้เ่าั้ขึ้นมา
อวิ๋นซีเปลี่ยนไปสวมใส่เป็ชุดบุรุษสีขาวที่เคยเตรียมไว้นานแล้วเช่นกัน จากนั้นจึงส่องกระจกดูว่ายังมีตรงไหนที่ตนยังแต่งออกมาได้ไม่ดี ทันทีที่เห็นจุดที่ยังไม่ดี นางก็จัดแต่งสักเล็กหน่อย กระทั่งเมื่อตนพึงพอใจแล้ว จึงได้เดินออกไปผ่านช่องทางลับเพียงลำพัง
เดินออกมาได้ไม่นาน อวิ๋นซีก็เจอร้านน้ำชาเล็กๆ แห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของเมือง แม้ร้านน้ำชาแห่งนี้จะเล็ก แต่กลับมีคนผ่านไปผ่านมาพลุกพล่าน
ถึงแม้จะแต่งกายเป็ชาย แต่อวิ๋นซีที่ยังคงงดงามสะสวยก็ยังดึงดูดสายตาของผู้คนได้ไม่น้อย นางทำทีราวกับมองไม่เห็น และเดินมุ่งหน้าเข้าไปในร้านน้ำชา นางเดินไปยังโต๊ะเก็บเงิน พูดเสียงขรึม “ข้า้าพบเถ้าแก่ของพวกเ้า”
“คุณชายน้อยท่านนี้ ผู้น้อยต้องขออภัยด้วย ตอนนี้เถ้าแก่เราไม่อยู่ในร้านขอรับ ทว่าอย่างไรท่านนั่งลงแล้วดื่มชาสักถ้วย กินขนมอีกสักหน่อยก่อนเถิดขอรับ เมื่อเถ้าแก่กลับมาเมื่อใด ผู้น้อยจะรีบไปเรียนเถ้าแก่โดยทันที” เสี่ยวเอ้อตอบยิ้มแย้ม
“ไม่จำเป็ เ้ารีบไปบอกเขาเสียตอนนี้ว่า มีคุณชายแซ่หลิงผู้หนึ่ง้าจะพบเขา แต่หากเขาไม่ยอมมาพบข้า เขาย่อมรู้ดีว่าผลสุดท้ายจะเป็อย่างไร” เมื่อพูดจบ นางก็ไม่สนเสียงเรียกใดของเสี่ยวเอ้อที่ดังไล่หลังมา เดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน
อวิ๋นซีนั่งอยู่ในศาลานอกเรือน มองคนตรงหน้า จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆ โค้งขึ้น นางพูดเสียงขรึม “ทำไม เ้าเป็บ้าใบ้สั่งการแล้วไม่รู้ความหรืออย่างไร หรือว่า เ้า้าให้ข้าสั่งสอนเ้าเสียสักรอบก่อนถึงจะรู้เื่หนักเบา”
เสี่ยวเอ้อได้ยินเสียงแหบต่ำนั้นของอวิ๋นซีก็รีบรุดไปตามเถ้าแก่มาทันที
เพียงไม่นาน ชายอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสามผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในสวน ชายผู้นั้นมองเงาร่างคนในชุดขาว ก่อนที่ในใจจะพาลพาให้สั่นสะท้าน จากนั้นจึงรีบร้อนเดินเข้าไปยังศาลา
“ท่านคือคุณชายหลิงหรือ? ” ชายคนนั้นรีบถาม
อวิ๋นซีหันกายมา ทันทีที่เห็นชายตรงหน้าก็พยักหน้ารับ “คิดไม่ถึงว่าเฉียวอีจะให้เ้ามาอยู่ยังที่แห่งนี้”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินชื่อเฉียวอี ในใจก็ตื่นเต้นยิ่ง “คุณชาย เป็ท่าน ท่านมาแล้วจริงๆ ”
อวิ๋นซีอืมไปเรียบๆ เสียงหนึ่ง “ไปแจ้งหลิงอี สิบห้าวันให้หลัง ชีหลี่ปอที่นอกเมือง ข้า้าเจอพวกเ้าทั้งสิบเจ็ดคน” พูดจบ นางก็เดินออกไปด้านนอก
คนเหล่านี้เป็คนที่นางเคยช่วยเหลือไว้เมื่อยามที่ยังเป็เฉียวอวิ๋นซี ยามนั้นนางลอบส่งเงินจำนวนไม่น้อยให้คนกลุ่มนี้ได้นำไปใช้เพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทำให้ในบรรดาพวกเขามีทั้งคนค้าขาย ขุนนาง คนในกองทัพ และยังมีกระทั่งคนที่ทำธุรกิจสีดำซื้อขายข่าวสาร ฆ่าคน ลักขโมย ไม่ว่าอะไรพวกเขาล้วนกระทำได้ทั้งหมด พวกเขาเปรียบเสมือนกระบี่แหลมคมที่นางใช้เวลาลับมาอย่างยาวนาน และนี่ย่อมถึงเวลาที่จะพิสูจน์แล้วว่าความสามารถของคนจะถึงขั้นยาพิษร้ายที่สามารถฆ่าคนตายได้ในทันทีที่เห็นเืหรือไม่