“นางคือซือหม่าหว่านเอ๋อร์!”
เสิ่นเสวียนมองเด็กสาวคนนั้นพลางกล่าวพึมพำในลำคอ งดงามมาั้แ่เด็ก โตมาแล้วยังสง่างามเช่นเดิม
“ใช่แล้ว! ไม่เจอกันแปดปี ได้ยินว่าพลังยุทธ์ของหว่านเอ๋อร์ไปถึงขั้นแม่ทัพแล้ว!”
เสิ่นว่านซื่อกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น ซือหม่าหว่านเอ๋อร์คือลูกพี่ลูกน้องของเขา ลูกผู้น้องมีความสำเร็จเช่นนี้ เขาที่เป็ลูกผู้พี่จะต้องดีใจด้วยอยู่แล้ว
“ขั้นแม่ทัพ! นางดูเหมือนเพิ่งจะอายุสิบห้าปี”
เมื่อได้ยินคำของเสิ่นว่านซื่อ เสิ่นเสวียนรู้สึกใเล็กน้อย ในแผ่นดินหลิงโซ่วแห่งนี้ พร์คือสิ่งที่สำคัญมาก อายุสิบห้าปีมีพลังถึงขั้นแม่ทัพ แต่หานเฟิงอายุยี่สิบปีแล้วเพิ่งจะมีพลังขั้นแม่ทัพระดับกลางเท่านั้น ในด้านพร์ ซือหม่าหว่านเอ๋อร์เหนือกว่าหานเฟิงอย่างเห็นได้ชัด
“ตระกูลซือหม่ามีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง หว่านเอ๋อร์กลับมาเยี่ยมญาติครั้งนี้ ได้ยินว่านางนำสิทธิ์เข้าเรียนที่สถาบันในเมืองหลวงมาให้ด้วย น่าเสียดายที่ข้าไปไม่ได้”
เสิ่นว่านซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาเป็คนใจกว้าง แม้รู้สึกเสียใจมากที่มิอาจฝึกฝนพลังได้ แต่เขาชินแล้ว เพราะในแผ่นดินหลิงโซ่วนี้ไม่ได้มีเพียงเส้นทางของการฝึกฝนเท่านั้น
“สิทธิ์เข้าเรียนในสถาบัน น่าสนใจดีนี่”
“ดูนั่น เรือมาถึงแล้ว” เสิ่นว่านซื่อชี้ไปยังเรือตระกูลซือหม่า
“หว่านเอ๋อร์ พวกข้าอยู่นี่ พวกข้าอยู่ทางนี้”
เสิ่นว่านซื่อโบกมือพลางะโเรียกซือหม่าหว่านเอ๋อร์
เมื่อได้ยินเสียงะโเรียกของเสิ่นว่านซื่อ ซือหม่าหว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนเรือพลันขมวดคิ้ว นางมองชายหนุ่มหน้าตาคุ้นๆ ที่ยืนอยู่บนท่าเรือด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างอดไม่ได้
นางถูกหมายตาจากคุณชายผู้มั่งคั่งและสูงศักดิ์ตั้งมากมายในเมืองหลวง ถูกเลี้ยงดูให้อยู่ในแนวหน้า อีกทั้งตนเองมีอายุเพียงสิบห้าปี ทว่าฝึกฝนถึงขั้นแม่ทัพได้สำเร็จและได้เข้าเป็ศิษย์สายในของสำนักเสวียนเทียนอีกด้วย ตอนนี้นางกลับมาถึงเมืองอวี่ฮว่าแล้ว กลับมีเพียงสองคนนี้ที่มาต้อนรับนาง ทำให้นางไม่พอใจมาก
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์มองเสิ่นว่านซื่อที่กำลังะโเรียกอยู่บนท่าเรือแต่ไม่ได้ตอบกลับ นางยังคงยืนถือกระบี่ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
นางไม่มีความคิดถึงอีกต่อไปแล้ว ผ่านไปแล้วแปดปี เด็กสองคนที่เล่นด้วยกันในตอนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงอนาคตที่ทั้งสองฝ่ายมิอาจเทียบกันได้แล้ว การที่นางจะดูถูกทั้งสองคนนับเป็เื่ปกติ
เสิ่นเสวียนมองเห็นทุกอย่างจึงยิ้มแล้วส่ายหัว จิตใจของเด็กสาวคนนี้เขามองปราดเดียวก็รู้แล้ว เขาตบบ่าเสิ่นว่านซื่อเบาๆ ก่อนจะกล่าว “อย่าดีใจมากเกินไป นางเปลี่ยนไปแล้ว”
“เอ๊ะ! เปลี่ยนไปแล้ว?”
เสิ่นว่านซื่อหันมองเสิ่นเสวียนด้วยความสงสัย กล่าวพึมพำอยู่ในลำคอ
เรือเข้าเทียบท่าและจอดนิ่ง เสิ่นว่านซื่อเร่งรุดวิ่งไป ส่วนเสิ่นเสวียนเดินตามอยู่ด้านหลัง
“หว่านเอ๋อร์ เ้ากลับมาแล้ว ยังจำได้ไหมว่าข้าเป็ใคร” เสิ่นว่านซื่อกล่าวกับซือหม่าหว่านเอ๋อร์ด้วยความดีใจ
“พี่ชาย”
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์ขึ้นจากเรือมาแล้ว นางตอบกลับอย่างมีมารยาท
“อื้ม”
เสิ่นว่านซื่อรับคำในทันที ซือหม่าหว่านเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง ไม่เหมือนกับเสิ่นเสวียน แม้จะเป็คนในตระกูลเสิ่นเช่นกัน แต่เสิ่นเสวียนค่อนข้างห่างเหินจากสองคนนั้นอยู่เล็กน้อย
“นี่คือนายน้อยของพวกเรา ยังจำได้ไหม” เสิ่นว่านซื่อแนะนำเสิ่นเสวียนให้ซือหม่าหว่านเอ๋อร์
“เสิ่นเสวียนหรือ”
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์ถามเสิ่นเสวียนอย่างไม่แน่ใจ มองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไป โดยเฉพาะความรู้สึกแปลกหน้า ทำให้มีความรังเกียจฉายลึกอยู่ในแววตา
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เสิ่นเสวียนมองอีกฝ่ายเป็การตอบกลับ ความรังเกียจในแววตาที่เขามองเห็นทำให้เขารู้สึกมึนงง
หรือระหว่างทั้งสองคนยังมีเื่อื่นอีก
“มีแค่พวกเ้าสองคนอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าหว่านเอ๋อร์มองซ้ายมองขวาก่อนจะกล่าว
“ใช่แล้ว ท่านพ่อข้าบอกว่า ไม่ค่อยดีนักที่จะโอ้อวดตระกูลมากเกินไป” เสิ่นว่านซื่อตอบกลับ
“ใครว่าโอ้อวดแล้วไม่ค่อยดีเล่า”
ขณะนั้น พลันมีเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ตามมาด้วยเสียงกลองดังลั่น ดึงดูดสายตาผู้คนบนท่าเรือในฉับพลัน
มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ไม่ไกล ด้านหน้ามีคนสามคนขี่ม้าอยู่ ด้านหลังมีคนตามมาอีกสองกลุ่ม ต่างคนต่างตีกลอง และยังมีรถม้าคันหนึ่งตามหลังมาด้วย ทั้งยังมีโคมไฟสีสันสดใสมีชีวิตชีวา
เสิ่นเสวียนมองคนกลุ่มนั้น พลันเกิดความคิดอยากจะหัวเราะออกมา เพราะคนที่มาหาใช่ใครอื่น ผู้ที่นำหน้ามาคือหานเฟิงที่ได้เผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้
“คนตระกูลหานของข้ากลับมาทั้งที จะไร้เกียรติขนาดนั้นได้อย่างไร”
หานเฟิงขี่ม้าเข้ามายังเบื้องหน้าทั้งสามคน เขาะโลงจากม้าแล้วโค้งคารวะให้ซือหม่าหว่านเอ๋อร์เล็กน้อยอย่างสุภาพ
วันนี้เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาว สวมเครื่องหัวทรงสูง จอนผมยาวลงมาสองข้าง เมื่อผสมผสานเข้ากับพลังอำนาจที่ตัวเองอยู่ ยิ่งส่งให้เขาดูสง่างามขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าทำให้พวกของเสิ่นเสวียนดูด้อยลงไปอีกเท่าไร
เมื่อเทียบกันแล้ว แม้จะโง่เขลาอย่างไรก็รู้ว่าควรเลือกแบบไหน
“น้องหญิง ขออภัยที่ข้ามาช้า” หานเฟิงกล่าวกับซือหม่าหว่านเอ๋อร์
“ท่านพี่กล่าวอะไรอย่างนั้น ท่านมารับหว่านเอ๋อร์ได้ หว่านเอ๋อร์ซาบซึ้งใจยิ่งนัก” ซือหม่าหว่านเอ๋อร์กล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
เสิ่นเสวียนเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมทั้งสองฝ่ายจึงไม่ลงรอยกัน ท่านพ่อของซือหม่าหว่านเอ๋อร์ถูกตระกูลหานรับมาเป็บุตรบุญธรรม พักอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปี สองตระกูลเสิ่นหานมีความเกี่ยวดองกันมายาวนานมาก
“ตรงนี้ลมแรง ท่านพ่อเตรียมงานฉลองไว้ให้น้องหญิงแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!” หานเฟิงปรายตามองเสิ่นเสวียนที่อยู่ข้างๆ เจตจำนงสังหารปรากฏชัดในแววตา จากนั้นจึงกล่าวกับซือหม่าหว่านเอ๋อร์
“อืม”
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์หันมองเสิ่นว่านซื่อและเสิ่นเสวียนเล็กน้อย จากนั้นนางก็ตอบรับคำเชิญของหานเฟิง
“หว่านเอ๋อร์ ท่านพ่อข้าก็เตรียมงานฉลองรอเ้ากลับไปเช่นกัน!”
เสิ่นว่านซื่อกล่าวกับซือหม่าหว่านเอ๋อร์ในทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธน้ำใจของตนเองเช่นนี้
“ท่านพี่ ฝากความคิดถึงไปยังท่านลุงแทนข้าด้วย ท่านก็รู้ว่าข้าลำบากใจ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกท่านไปที่ตระกูลหานด้วยกันเลยสิ!”
หานเฟิงหันมองเสิ่นเสวียนและเสิ่นว่านซื่อพลางยิ้มมุมปาก แล้วกล่าว “ใช่แล้ว นายน้อยผู้นี้ไปตระกูลหานด้วยกันเลยไหม อาหารมื้อนี้ตระกูลหานของข้าเลี้ยงไหวอยู่แล้ว”
“แต่ว่า! นี่!”
เสิ่นว่านซื่อไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าซือหม่าหว่านเอ๋อร์จะเลือกตระกูลหานจริงๆ เป็เื่ยากมากสำหรับเขาที่จะซ้อนทับภาพความทรงจำในวัยเด็กของนางกับซือหม่าหว่านเอ๋อร์คนนี้ได้อีกครั้ง
“น้องซื่อ พวกเราก็กลับกันเถอะ ข้าจำได้ว่าเ้ายังไม่ได้ให้อาหารหมาเลยนี่!”
เสิ่นเสวียนกล่าวขัดจังหวะขึ้นมา
“หืม?”
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์ได้ยินคำของเสิ่นเสวียนพลันขมวดคิ้วแน่น
“บังอาจ เ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ กล้ายอกย้อนหว่านเอ๋อร์”
หานเฟิงกล่าวกับพวกเสิ่นเสวียนในทันที ขณะเดียวกันไอพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งก็ปะทุออกมาจากร่างพุ่งเข้าปกคลุมเสิ่นเสวียน ทว่าแม้ไอพลังต่อสู้จะแข็งแกร่งมากเพียงใด เสิ่นเสวียนกลับแสดงท่าทีเหมือนไม่รู้สึกและดึงเสิ่นว่านซื่อให้เดินออกไป
“ที่ยอกย้อน เป็เ้าเองหรือเปล่าที่ยอกย้อน ข้ายังไม่ได้ให้อาหารหมาจริงๆ นะ! หมาสองตัวเลยล่ะ ฮ่าๆๆ”
แล้วเสิ่นเสวียนก็ดึงเสิ่นว่านซื่อให้เดินกลับไปตามทางที่มา
“เ้า!” หานเฟิงเดือดดาล
“ปล่อยไปท่านพี่ พวกเรากลับกันเถอะ!”
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์มองเสิ่นเสวียนด้วยสีหน้ารังเกียจ จากนั้นนางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้า
“กลับ”
หานเฟิงโกรธจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังไม่ได้ชำระแค้นให้กับหานเตา ก่อให้เกิดหนามแหลมทิ่มแทงจิตใจของเขา
“เฮอะ พรุ่งนี้ข้าจะทำให้เ้าตายด้วยน้ำมือของข้าต่อหน้าทุกคน”
หานเฟิงปรายตามองเสิ่นเสวียนอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ดูอำมหิต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้