หากอวี๋มู่รู้ว่าโม่เหิงคิดเช่นนี้กับตน เดาว่าคงอยากหัวเราะออกมาดังๆ เป็แน่
เพราะถึงอย่างไรแม้อวี๋มู่จะมีความเห็นใจให้เว่ยจวินหยาง แต่ก็เพราะถูกบังคับ สิ่งที่เขาจดจ่ออยู่ตอนนี้ก็คือการปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงและชนะใจเว่ยจวินหยางให้ได้ เพื่อสลัดตัววายร้ายโรคจิตนี้แล้วไปต่อโลกหน้าได้เสียที
แต่ก็ภาวนาว่าวายร้ายโลกถัดไปจะปกติกว่านี้หน่อยนะ
สุดท้ายโม่เหิงก็รับปาก ซึ่งในจังหวะที่อีกฝ่ายรับปาก อวี๋มู่ก็สลบเหมือดไปเช่นกัน
ครั้งนี้อวี๋มู่หลับอยู่ไม่นานนักก็รู้สึกตัว แม้ท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้ม แต่ฝนหยุดตกแล้ว
เขานอนเปลือยกายท่อนบนอยู่บนเตียง บนตัวมีผ้าคลุมผืนบางๆ ห่มอยู่ แขนขวากับตรงท้องถูกพันด้วยผ้าพันแผลผืนสะอาดเคล้ากลิ่นหอมอบอวลของสมุนไพร
“พี่ชาย ท่านฟื้นแล้ว!” ประตูไม้ถูกผลักออก พร้อมกับมีเด็กหนุ่มอายุราวสิบสามสิบสี่ถือกะละมังใส่น้ำเข้ามา เมื่อเห็นเขาลืมตาก็พลันส่งเสียงดีใจ “ข้าจะไปเรียกศิษย์พี่!”
เด็กหนุ่มวางกะละมังไม้แล้ววิ่งออกไป ไม่นานนักโม่เหิงก็เดินเข้ามา
เขาถือถาดเข้ามา บนนั้นมีน้ำดื่มกับโจ๊ก
“ข้าให้เสี่ยวเหยียนไปต้มยามาให้เ้า” เขาดึงม้านั่งตัวเล็กออกมานั่งข้างเตียงของอวี๋มู่ แล้วยกชามโจ๊กขึ้นมาทำท่าจะป้อน “หิวแล้วสินะ กินโจ๊กก่อน”
“ไม่ต้องๆ ข้ากินเองได้” อวี๋มู่ใเล็กน้อยกับท่าทีอันอบอุ่นของเขา แต่พอเห็นท่าทีเขา กลับรู้สึกเคอะเขิน อยากจะรับชามโจ๊กไว้เอง
“ไม่ต้อง? ” โม่เหิงกระตุกสายตาราวจิ้งจอกเ้าเล่ห์ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งั้นเ้าลองยกแขนดูสิ”
อวี๋มู่ลองทำตาม สีหน้าก็พลันซีดลง เขาหายใจดังเฮือก
“แขนขวาของเ้าได้รับาเ็อย่างหนัก แม้ว่าข้าจะช่วยรักษาให้เ้าได้ แต่อีกหน่อยก็คงทำได้แค่เื่ง่ายๆ หากอยากแกว่งกระบี่เมฆาวิสุทธิ์ได้เหมือนแต่ก่อน คงเป็ไปไม่ได้” สีหน้าของโม่เหิงเปลี่ยนเป็เ็า คนโจ๊กในมือ “หากเทียบกับการที่เ้าตัดสินใจจะทำเพื่อเว่ยจวินหยางแล้ว แขนขวาจะกลับมาใช้การได้หรือไม่นั้น ก็คงไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร”
“หมอเทวดา ท่านหมายความว่าอย่างไร?” อวี๋มู่ฟังแล้วไม่เข้าใจ
โม่เหิงนิ่งเงียบ ตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งช้อน แล้วยื่นไปที่ปากอวี๋มู่ “อ้าปากสิ”
“......” อวี๋มู่มีสีหน้าขวยเขิน
“ไม่ให้ข้าป้อน ข้าก็ไม่บอก”
อวี๋มู่จำต้องอ้าปาก
โม่เหิงป้อนเขาสองคำ แล้วค่อยเอ่ย
“สิ่งที่ต้องยึดถือไว้ที่สุดในการฝึกวรยุทธ์คือห้ามใช้ทางลัด การที่เว่ยจวินหยางนั้นสามารถเป็เลิศในบู๊ลิ้มั้แ่อายุเพียงยี่สิบสาม ก็เพราะเขาฝึกฝน 《วิชาผนึกโลหิต》ซึ่งมีกระบวนท่าที่อันตราย ล้อเล่นกับชีวิตราวกับทุกย่างก้าวของตนเหยียบย่ำอยู่บนใบมีด หากเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจสูญสิ้นไม่อาจกลับคืน”
“เขามาถึงจุดนี้ได้ ก็เป็กรรมของเขาเอง หรือจะพูดให้ถูกก็คือ การที่เขาฝึก 《วิชาผนึกโลหิต》มาถึงขั้นสูงขนาดนี้ได้โดยมีเพียงธาตุไฟเข้าแทรกก็นับว่าโชคดีอย่างมากแล้ว”
โม่เหิงป้อน อวี๋มู่กินโจ๊ก เขาเบ้ปากยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ย “หากอยากจะช่วยมีเพียงทางเดียว”
อวี๋มู่ทำหูตั้ง ตาเป็ประกาย
“......” ความเงียบผ่านไปชั่วครู่ โม่เหิงจึงเอ่ย “ใช้วิชาต้องห้ามเคลื่อนย้ายการสะท้อนกลับของ 《วิชาผนึกโลหิต》ไปยังผู้อื่น เพียงเท่านี้เว่ยจวินหยางก็จะสามารถคืนกลับสู่จุดสูงสุดที่เขาเคยยืนหรืออาจจะถึงขั้นบรรลุขั้นที่เขาฝึกฝนก่อนหน้านี้ได้ในเวลาไม่ถึงเดือน”
“แต่กลับกัน…... ” โม่เหิงหยุดการกระทำ มองสบตาคู่นั้นของอวี๋มู่แล้วเอ่ย “ในฐานะคนรับ ไม่เพียงแต่จะถูกดูดกลืนกำลังภายในไปจนหมดสิ้น ยังจำต้องรับพลังที่สะท้อนกลับมาทั้งหมดนั้นเอาไว้ด้วย ทำให้ชีพจรแตกซ่าน อวัยวะถูกทำลายและสิ้นลม”
ถึงตอนนี้ ใบหน้าของโม่เหิงไร้ซึ่งรอยยิ้ม เอ่ยกับอวี๋มู่
“เว่ยจวินหยางเป็ประมุขสำนักชิงอี อายุสิบหกเขาเข่นฆ่าบิดามารดาและฆ่าพี่น้องทั้งสิบสองคน พร้อมกับล้างบางคนในสำนักชิงอีถึงหนึ่งร้อยสามสิบห้าคน อายุสิบเจ็ดทำลายสำนักซานเหอ อายุสิบเก้าก่อกวนงานชุมนุมบู๊ลิ้มและตัดแขนประมุขแห่งบู๊ลิ้ม อายุยี่สิบเอ็ดบดขยี้วัดจู้อวิ๋น อายุยี่สิบสองเผาทำลายพรรคจวงหม่านแห่งฝ่ายธรรมะบนเขาเฟิงเจี้ยน”
“เื่ราวโเี้พวกนี้ เ้าไม่มีทางไม่รับรู้ เ้ามีเหตุผลอันใดที่จะละทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อคนแบบนี้กัน?!”
เอ่ยได้ครึ่งเดียว โม่เหิงก็พาลรู้สึกโมโห
เขา้าโน้มน้าวให้ใจอวี๋มู่ครั้งสุดท้าย
ให้เขาถอดใจจากเว่ยจวินหยาง
กระนั้นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดคืออวี๋มู่จะนิ่งอึ้งไป
สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเว่ยจวินหยางมีเพียงบางส่วนที่นิยายกล่าวถึง ว่าเขาทำลายเขาเฟิงเจี้ยน สิ่งที่โม่เหิงเล่าก่อนหน้านั้นมากมาย อวี๋มู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
อวี๋มู่ : ระบบ สิ่งเลวร้ายที่เว่ยจวินหยางเคยทำมันละเอียดขนาดนั้นเลยหรือ? นี่มันเข้าข่ายโรคจิตฆ่าล้างบางที่ไม่มีใครกล้ายอมรับแล้ว ถ้าเป็ยุคปัจจุบันคงได้รับโทษปะาสถานเดียว!
[เอ่อ…] ระบบเอามือกุมหน้า [อย่างไรเสีย เขาก็เป็ตัววายร้ายนะ ไม่อย่างนั้นสุดท้ายเขาจะถูกพระเอกฝ่ายธรรมะทำลายได้อย่างไร…]
อวี๋มู่ฟังดูรู้สึกมีเหตุผล แต่พอคิดทบทวนดูก็รู้สึกแปลก เขาถามระบบ : ระบบ แล้วทำไมนายถึงอยากให้ฉันพิชิตใจวายร้ายคนนี้ให้ได้ล่ะ? นายให้ฉันพิชิตใจพระเอกไม่ดีกว่าหรือไง?
[...] ระบบพูดในใจ ก็เพราะนิสัยของท่านผู้นั้นไม่มีทางเป็พระเอกมาดดีได้น่ะสิ แต่คำพูดนี้จะบอกกับอวี๋มู่ไม่ได้ ได้แต่ปล่อยผ่านไปเท่านั้น [นี่คือข้อกำหนดจากเบื้องบน ต้องพิชิตใจตัววายร้ายเท่านั้น ไม่มีทางเลือก]
อวี๋มู่ : …เช่นนั้นก็ได้
ฝ่ายโม่เหิงเมื่อเห็นว่าอวี๋มู่นิ่งอึ้งไป ก็คิดไปว่าในที่สุดเขาก็คล้อยตามและถอดใจจากเว่ยจวินหยางแล้ว หัวคิ้วจึงคลายออก ฉับพลันฉายแววดีใจ
แต่ประโยคต่อมาของอวี๋มู่ก็ทำลายรอยยิ้มนั้นลง หน้าตึงขึ้น
“ถึงอย่างไร เขาก็เป็นายท่านของข้า ข้าอยากให้เขามีชีวิตอยู่ ต่อให้ต้องมอบชีวิตนี้ก็ไม่เสียดาย”
ความหมายจริง : ถึงอย่างไร ฉันก็ต้องจบภารกิจนี้ให้ได้ นายจะตื๊ออย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
โม่เหิงคิดแค่ว่าเขาทำเพื่อเว่ยจวินหยาง จึงโกรธจนมือไม้สั่น เขาลุกพรวด ชี้นิ้วไปที่อวี๋มู่ “เ้านี่มัน หมดหนทางเยียวยา!”
เอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
อวี๋มู่เบ้ปาก เขาหยิบเอาช้อนออก แล้วยกชามซดโจ๊กส่วนที่เหลือเข้าปาก เรอออกมา จากนั้นล้มตัวลงนอน พลางขยับหมอนนอนบนเตียงแข็งๆ หลับตางีบพัก
เขายังคงมีไข้ เพียงแต่เพราะยาสมุนไพรที่โม่เหิงให้เขาใช้ล้วนเป็ยาดี ทำให้แผลของเขาไม่แย่ไปกว่าเดิม ตอนนี้ยังพออดทนไหว
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณโม่เหิงเป็อย่างมาก
หมอเทวดานี่เป็คนดีเสียจริง
*
โม่เหิงไม่รู้ตัวเลยว่าได้รับบทคนดีนั้นอย่างงงๆ หลังออกจากห้องของอวี๋มู่ เขาก็เดินไปยังห้องเก็บฟืน
เทียบกับการเป็อยู่อย่างดีของอวี๋มู่นั้น ความเป็อยู่ของเว่ยจวินหยางที่ถูกหิ้วไปโยนทิ้งไว้ในห้องเก็บฟืนช่างแตกต่างกัน ขนาดเสื้อผ้าแห้งๆ ยังไม่มีให้แม้แต่ชุดเดียว ให้เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่อย่างนั้น
โม่เหิงนั่งลงข้างเด็กน้อย วางฝ่ามือลงบนศีรษะอยู่อย่างนั้น แววตาฉายแววพิฆาตพลุ่งพล่าน
ขอเพียงฝ่ามือเดียว ก็จะบดทำลายกระดูกของเว่ยจวินหยาง นอกจากจะยั้งการพลีชีพของอวี๋มู่แล้ว ยังช่วยบู๊ลิ้มกำจัดจอมมารนี่อีกด้วย
แต่พอคิดนึกถึงคำมั่นที่ให้ไว้กับอวี๋มู่แล้ว ท้ายสุดเขาก็ยอมปล่อยมือไปในที่สุด
ไม่มีเหตุผลเลย โม่เหิงไม่อยากถูกคนผู้นั้นเกลียด และเขาก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้
ก่อนจากไป โม่เหิงเอ่ยกับเว่ยจวินหยางที่ยังไม่ได้สติ “จอมมาร ไม่รู้ว่าเ้าทำบุญอะไรมาแต่ชาติปางก่อน แม้ชาตินี้จะก่อกรรมไว้มากมาย แต่ก็ยังมีคนอย่างอวี๋มู่คอยปกป้องเ้าเช่นนี้”
ประตูห้องเก็บฟืนถูกปิดลง ท่ามกลางความมืด เว่ยจวินหยางที่เดิมควรสลบอยู่ก็ลืมตาขึ้น มือที่ซ่อนอยู่ในอกเหน็บเข็มเงินสามแท่งเอาไว้ คงกลัวว่าหากโม่เหิงเกิดลงมือทำอะไรกับเขาขึ้นมาจริง เขาก็จะใช้เข็มเงินนั่นแทงเข้าที่จุดตายของโม่เหิง
เว่นจวินหยางปล่อยวางความคิดลง แม้ลมหายใจเว่ยจวินหยางจะร้อนผ่าว แต่กายกลับรู้สึกหนาวเหน็บ
เขาดมกลิ่นเฟินเยี่ยนจากตัวโม่เหิงที่ยังทิ้งกลิ่นไว้รอบๆ นั้น ั์ตาดำมืดลงฉับพลัน
หลังจากฟื้นขึ้นมาจากการสลบครั้งนี้ เว่ยจวินหยางจำเื่ราวได้ทุกอย่าง
สิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ นาๆ ระหว่างเขากับอวี๋มู่ เขาจำได้ชัดเจนทุกอย่าง
ที่เหนือความคาดหมายคือ เขาที่รักความสะอาดในเื่อย่างว่ากลับไม่มีอาการรังเกียจแต่อย่างใด ถึงขนาดแอบดีใจเล็กน้อยกับเื่นี้ แล้วยังชื่นชอบกับการได้ขึ้นคร่อมอวี๋มู่อีกด้วย
เพียงแต่กลิ่นเฟิงเยี่ยน…
เว่ยจวินหยางข่มสีหน้าเยือกเย็น ขบริมฝีปากล่าง พร้อมกับปล่อยจิตสังหาร
ที่แท้ก็เป็โม่เหิงนี่เอง
อวี๋มู่แอบเขาไปมีสัมพันธ์กับโม่เหิง ทั้งยังเป็สัมพันธ์แแ่
ไม่อย่างนั้นจะมีกลิ่นเฟิงเยี่ยนติดตัวเข้มข้นได้ยังไง?
หรือว่าอวี๋มู่รู้จักกับโม่เหิงมาก่อนหน้านี้แล้ว?
ดังนั้นจึงบอกเขาว่าจะพามาดูอาการที่นี่
ถ้าเป็เช่นนั้นแล้ว อวี๋มู่กับโม่เหิงมีสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?
สหาย? หรือเป็ความลับกว่านั้น…
อีกอย่าง ทำไมเขาตื่นมาแล้วถึงไม่เห็นอวี๋มู่
อวี๋มู่ไปไหนแล้ว?
ยามค่ำคืนอวี๋มู่กับโม่เหิง จะมีอะไรกันหรือไม่…
เว่ยจวินหยางไม่อาจหยุดยั้งความคิดอันแสนสกปรกที่สุดคาดเดาในตัวอวี๋มู่ได้ ถึงขนาดกระอักเืเพราะความคิดของตัวเอง
หลังผ่านเื่วันนี้ อวี๋มู่นั้นกลายเป็สมบัติทั้งหมดที่เขามี
ขอเพียงแค่เขาคิดภาพว่าอวี๋มู่อยู่กับโม่เหิง เว่ยจวินหยางก็รู้สึกแย่จนอยากฆ่าคน!
ส่วนทางนี้ อวี๋มู่กำลังดื่มยาที่เสี่ยวเหยียนซึ่งเป็ศิษย์น้องของโม่เหิงยกมาให้ รสชาตินั้นขมจนขึ้นสมองเลยทีเดียว
หลังจากดื่มยาจนหมด เขาก็หยิบผลไม้แช่อิ่มขึ้นมาเข้าปากหนึ่งชิ้น แล้วเอ่ยกับเสี่ยวเหยียน “เ้าเห็นเด็กที่มาพร้อมข้าหรือเปล่า?”
“อา เขาน่ะเหรอ…...” เสี่ยวเหยียนไม่กล้ามองหน้าเขา
อวี๋มู่สงสัย จึงรีบเอ่ยถาม “เขาอยู่ที่ไหน?”
เมื่อรู้ว่าเว่ยจวินหยางถูกทิ้งไว้ที่ห้องเก็บฟืนเหมือนขยะ อวี๋มู่ก็รีบคว้าเสื้อนอกที่เสี่ยวเหยียนเตรียมให้เขา แล้วออกไปหาเว่ยจวินหยางทันที
อวี๋มู่คิดไม่ถึงว่าโม่เหิงจะโหดร้ายขนาดนี้ แค่การปฏิบัติที่ห่างชั้นเช่นนี้ก็ชัดเจนเกินไปแล้ว
ถึงเว่ยจวินหยางจะโเี้ขนาดไหน ก็เป็เป้าหมายที่เขาต้องพิชิตใจ ถึงยังไงต่อหน้าก็ต้องรัก ต้องปกป้อง จะให้มานอนในห้องเก็บฟืนได้อย่างไรกัน
แม้ฝนจะหยุดตกแล้ว แต่ดีที่พำนักของโม่เหิงปูพื้นด้วยหิน พื้นจึงไม่ถึงกับแฉะ หากแอ่งน้ำเล็กก็มีไม่น้อย บวกกับอวี๋มู่มีแผลลูกศรปักที่ขาที่แม้จะทำแผลแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่คล่องเหมือนปกติ ทำให้เวลาเหยียบเท้าลงไปจะมีเสียงดังออกมาเล็กน้อย
เว่ยจวินหยางนึกว่าโม่เหิงย้อนกลับมาหาตนอีกแล้ว จึงรีบหลับตาลง พร้อมกำเข็มเงินในมือไว้แน่น รอโอกาส
กระนั้นคนที่เข้ามากลับไม่มีกลิ่นเฟิงเยี่ยนนั่น และไม่มีจิตสังหารแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาแล้วอุ้มเขาขึ้นมา
“โอ้ย” แขนขวาของอวี๋มู่ออกแรงมากไม่ได้อยู่แล้ว พอต้องใช้แขนรับน้ำหนักขนาดนี้ ก็ทำเอาอวี๋มู่ถึงกับหน้าถอดสี เจ็บจนเกือบร้องออกมา
“ปล่อยข้าลง” พอรู้ว่าเป็อวี๋มู่ ภาพความคิดอันสกปรกระหว่างโม่เหิงกับอวี๋มู่ในหัวของเว่ยจวินหยางก็หายไปกว่าครึ่ง ในใจรู้สึกพองโตขึ้นมาเล็กน้อย พลันเกิดความได้ใจขึ้นมาเล็กๆ
เห็นหรือไม่ เ้าคนรับใช้นี่ก็ยังให้ความสำคัญกับข้าที่สุด
“ท่านฟื้นแล้วหรือ?” อวี๋มู่สะดุ้งใเมื่อสบตาเข้ากับเว่ยจวินหยางที่ลืมตาตื่นขึ้นมา เขาสะดุ้งโหยง พอเว่ยจวินหยางบอกว่าไม่ต้องอุ้ม พลันรู้สึกโล่งอก เขารีบปล่อยตัวเว่ยจวินหยางลงมา
เว่ยจวินหยางแสร้งทำว่าไม่รู้เื่ เอ่ยถาม “ที่นี่ที่ไหน?”
“เรียนนายท่าน ที่นี่คือที่พำนักของหมอเทวดาโม่” อวี๋มู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงความดีใจ “พวกเราหาหมอเทวดาพบแล้ว เขาตอบตกลงรักษาท่านด้วย”
“หาเจอ?” เว่ยจวินหยางหัวเราะเ็า “เ้าแน่ใจหรือว่าเพิ่งรู้จักโม่เหิงวันนี้?”
อวี๋มู่ทำความเข้าใจคำพูดนี้ของเว่ยจวินหยางอยู่สักพัก แล้วจึงตอบกลับ “หลังจากที่ข้าน้อยมาที่ป่าหยวนฟาง บังเอิญได้พบกับหมอเทวดาโม่ ข้าจึงขอร้องให้เขาช่วยท่าน เขาจะตอบตกลงก็ต่อเมื่อข้าสามารถพาท่านมายังที่พำนักของเขาได้ หากทำได้เขาจะรับปากในเื่ช่วยรักษาท่าน”
เว่ยจวินหยางจ้องเขาเหมือนไต่สวน จ้องจนอวี๋มู่รู้สึกขนหัวลุก จึงเอ่ย “ที่แท้ก็เป็เช่นนี้”
ขณะเดียวกันนั้นเอง อวี๋มู่ก็สังเกตเห็นแถบหัวใจห้าดวงบนศีรษะของเว่ยจวินหยางค่อยๆ สว่างขึ้นอีกดวง กลายเป็สามดวง
???
คำพูดไหนที่ได้ใจเขานะ?
คะแนนความประทับใจนี่เพิ่มได้น่าฉงนเกินไปแล้ว?
เว่ยจวินหยางถามอีก “ได้ข่าวว่าที่พำนักของโม่เหิงมีกับดักอันตรายมากมาย ตอนที่เ้ามานั้นลำบากหรือไม่?”
“ไม่ลำบากๆ ” คะแนนความประทับใจพุ่งกระฉูดแบบนี้ อวี๋มู่รู้สึกดีใจ พลอยทำให้ท่าทีที่มีต่อเว่ยจวินหยางก็ดีขึ้นตามไปด้วย
เว่ยจวินหยางก็เอออออย่างง่ายดาย แต่พอนึกอะไรได้ก็กลับมาทำหน้าเ็าอีก เขาเอ่ยถามอวี๋มู่
“แล้วทำไมเ้าไม่รีบมาหาข้าให้เร็วกว่านี้? ” เว่ยจวินหยางเอามือไพล่หลังและเงยหน้าค้อนเขา ดูน่ารักน่าชังทีเดียว เขาสอบสวนอวี๋มู่ “ตอนที่เ้าไม่ได้อยู่กับข้า ไปทำอะไรมาบ้าง? ”
อวี๋มู่รีบเอาใจเขา “ขออภัยนายท่าน ก่อนจะมาข้าน้อยได้รับาเ็จนสลบไสลไป ดังนั้นจึงมาช้า ขอนายท่านโปรดเมตตา”
เว่ยจวินหยางขมวดคิ้ว “แต่เมื่อครู่เ้าบอกว่าไม่ลำบาก…”
“นายท่าน เสื้อผ้าของนายท่านยังเปียกอยู่ พวกเราไปเปลี่ยนกันดีกว่า” อวี๋มู่ไม่อยากอธิบายเื่พวกนี้ จึงขัดคำพูดเว่ยจวินหยางแล้วเอ่ยให้ออกจากที่นี่
“าเ็ที่ใด? ”
อวี๋มู่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เว่ยจวินหยางถึงได้ใส่ใจเขาขึ้นมา เขาอึ้งไปชั่วขณะ
“ข้าถามว่าเ้าาเ็ที่ไหน?” นี่เป็ครั้งแรกที่เว่ยจวินหยางเป็ห่วงผู้อื่น แม้น้ำเสียงยังคงดุร้าย แต่ก็เพื่อจะกลบเกลื่อนปกปิดความเก้ๆ กังๆ นั่นเอง
“เรียนนายท่าน แขนขวากับน่องซ้าย”
เว่ยจวินหยางนึกถึงตอนที่เขาอุ้มตัวเองขึ้นมาแล้วส่งเสียงเหมือนาเ็ ก็รู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย เขาปั้นสีหน้าเ็าแล้วเอ่ย “ครั้งหน้าก็อย่าฝืนอวดดี าเ็ก็ทำตัวให้เหมือนคนาเ็ ไปเถอะ พาข้าไปที่พักของเ้า”
[เพิ่มขึ้นอีกครึ่งดวงแล้ว!] ระบบอุทาน
อวี๋มู่เองก็เห็นแล้ว แม้เขาจะสงสัยว่าทำไมถึงหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้ แต่ในใจก็ปลื้มปริ่ม จากนั้นตอบรับ “ขอรับ” แล้วเดินโซซัดโซเซนำทางเว่ยจวินหยางไปยังที่พักของตัวเอง
เว่ยจวินหยางมองดูแผ่นหลังอวี๋มู่ กำหมัดข้างกายแน่น
อวี๋มู่
อวี๋มู่
อวี๋มู่……
เขาพึมพำชื่อนี้วนอยู่ในใจ
ในเมื่อเลือกที่จะช่วยชีวิตข้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นต่อจากนี้ไป ไม่ว่าเ้าจะทำอะไร อยากทำอะไร หรือทำอะไรได้บ้าง ล้วนไม่ได้ขึ้นอยู่กับเ้าคนเดียวแล้วนะ
----------------------------------------------------------------------