หลี่หรูอี้เอ่ยปากว่า “ท่านพ่อเ้าคะ ต่อไปพี่ชายทั้งสี่จะต้องไปเรียนหนังสือ ท่านแม่จะต้องเลี้ยงน้องชายอีกสองคน ท่านกับท่านอารองก็ต้องทำกิจการใหม่ บ้านเราไม่มีคนเหลือไปปลูกผักในที่ดินมากมาย พวกเราไม่จำเป็ต้องซื้อที่มากเพียงนั้น” นางมีเงินอยู่ที่ตัวสี่สิบสามตำลึง และได้หารือเื่การใช้เงินเหล่านี้กับจ้าวซื่อและพี่ชายทั้งสี่คนแล้ว
หลี่ซานมองไปยังหลี่หรูอี้ที่มีดวงตาแน่วแน่ก่อนที่จะกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ที่ดินเป็รากฐานของครอบครัวเกษตรกร หากมีที่ดินก็จะมีอาหาร เมื่อเกิดภัยแล้งจะไม่หิวตาย”
“ท่านพ่อยังไม่ได้ลงไปดูห้องใต้ดินกระมัง บ้านพวกเราเก็บเสบียงอาหารไว้เกือบสองพันชั่ง ข้าสามารถทำให้บ้านเรามีเสบียงจำนวนเท่านี้ไปได้ตลอด เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวภัยแล้งอีก” หลี่หรูอี้ใช้เท้าสะกิดขาหลี่เจี้ยนอันที่ใต้โต๊ะ
หลี่เจี้ยนอันรวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าน้องห้ากล่าวได้ถูกต้องแล้วขอรับ”
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไป “ท่านลองคำนวณดูหน่อยเถิด ปีนี้เป็ปีที่เก็บเกี่ยวพืชผลได้ดี ที่ดินสิบหมู่ของบ้านเราทำเงินได้เท่าใดกัน หากพี่ชายสี่คนของข้าไปเรียนหนังสือจะมีค่าใช้จ่ายปีละราวๆ สิบหกตำลึง ท่านคิดว่าต้องทำการเกษตรในที่ดินกี่หมู่จึงจะหาเงินได้มากเพียงนี้?”
หลี่ซานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำการเกษตรไม่ใช่เพื่อหาเงิน แต่มีที่ดินอยู่ย่อมทำให้วางใจ”
“หากท่านเอาเงินไปซื้อที่ดินหมดแล้ว พวกเราจะเอาอะไรไปทำการค้า จะหาเงินได้อย่างไร” หลี่หรูอี้ทราบดีว่าการจะกล่าวเหตุผลให้หลี่ซานเห็นด้วยเป็เื่ที่ลำบากยากเย็น
จ้าวซื่อกล่าวกับหลี่ซานต่อหน้าลูกๆ ว่า “ตอนนี้ครอบครัวเราดีเช่นนี้แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็เพราะวิธีการของหรูอี้ เหตุใดท่านไม่ยอมฟังคำพูดของนางเล่า?”
“หากไม่มีที่ดินก็ไม่มีรากฐาน พวกเราจะต้องซื้อที่” ไปๆ มาๆ หลี่ซานก็ยังคงพูดเช่นนี้ เขาแน่วแน่ในการซื้อที่ดิน ต่อให้จ้าวซื่อกล่าวโน้มน้าวก็ไม่มีประโยชน์
จ้าวซื่อนึกไม่ถึงว่าสามีจะหัวโบราณและดื้อดึงเช่นนี้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ท่านไม่อยากทำการค้าใช่หรือไม่”
หลี่ซานกล่าวอย่างจริงจัง “ทำการค้ามีความเสี่ยงมากเกินไป แม้ว่าจะทำให้เป็เศรษฐีได้ในค่ำคืนเดียว ก็อาจจะทำให้กลายเป็ยาจกได้ในค่ำคืนเดียวเช่นกัน มีเพียงทำการเกษตรเท่านั้นจึงจะมั่นคงที่สุด”
แม้ท่านแม่จะอารมณ์เย็นเพียงใด ก็ยังถูกหลี่ซานทำให้โมโหจนได้ “ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่า บ้านใดทำการเกษตรแล้วจะผลิตซิ่วไฉออกมาได้ หากท่านคิดทำการเกษตรเพื่อจะส่งลูกชายสี่คนของพวกเราไปเป็ซิ่วไฉก็ฝันไปเถิด!”
หลี่ซานกลัวว่าจ้าวซื่อจะโมโหจนส่งผลกระทบต่อครรภ์ของนางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ครอบครัวของพวกเราไม่ได้มีพื้นเพอยู่ที่หมู่บ้านหลี่ หากมีที่ดินก็นับว่ามีรากฐาน”
จ้าวซื่อกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “หากลูกๆ สอบได้ซิ่วไฉจึงจะมีผลงานมีชื่อเสียง ครอบครัวของเราจึงจะนับว่ามีรากฐาน มิเช่นนั้นหากทำการเกษตรไปกี่ชั่วคนก็เป็ได้เพียงเกษตรกร ไร้อำนาจไร้บารมีที่ไม่ว่าผู้ใดก็มารังแกได้” ในฐานะที่นางเป็บุตรีของซิ่วไฉย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกที่มีต่อที่ดินของหลี่ซาน ซึ่งทำการเกษตรมาหลายชั่วอายุคนได้เลย
หลี่เจี้ยนอันมีใบหน้าเป็กังวล กลัวว่าบิดามารดาจะทะเลาะกัน
หลี่ฝูคัง หลี่อิงฮว๋า และหลี่ิ่หาน ยืนฟังบทสนทนาอยู่ตรงประตูห้องโถงด้วยใจหนักอึ้ง
“ท่านพ่อเ้าคะ เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากท่านและท่านอารองกลับมาแล้ว จะให้พวกท่านขายอาหารชนิดใหม่ แต่ตอนนี้ในเมื่อท่านไม่เต็มใจ เช่นนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน เงินในมือข้าจะแบ่งเป็สองส่วน ท่านนำเงินครึ่งหนึ่งไปซื้อที่ ส่วนข้าจะนำเงินอีกครึ่งหนึ่งไปทำการค้า” หลี่หรูอี้ดูออกว่าต่อให้เป็จ้าวซื่อก็ไม่อาจโน้มน้าวหลี่ซานได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้หลี่ซานไปทำการเกษตรเถิด ดีกว่าปล่อยให้บ้านมีปัญหา
หลี่ซานส่ายหน้า “ไม่ได้ เงินทั้งหมดต้องนำไปซื้อที่ ซื้อที่แล้วก็ปลูกพืช เมื่อได้เงินมาแล้วค่อยไปทำการค้า”
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไป “ท่านลองพูดให้ข้าฟังหน่อยเถิดว่า ที่ดินยี่สิบหมู่หนึ่งปีจะหาเงินได้เท่าใด”
จ้าวซื่อเห็นหลี่ซานไม่ยอมพูด จึงกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “อย่างมากก็ห้าตำลึง”
หลี่หรูอี้จึงกล่าวเสียงดังขึ้นว่า “ห้าตำลึงยังไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวเราในตอนนี้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าเล่าเรียนสำหรับพี่ชายทั้งสี่คนเลย”
หลี่ซานจึงกล่าวว่า “หลังจากเก็บเกี่ยวฤดูร้อนแล้วข้ากับอารองของเ้าจะไปสร้างกำแพงเมืองอีก หากยังไม่พอข้าจะนำลาไปขาย”
“ขายลา?” หลี่หรูอี้ถึงกับเอามือกุมศีรษะ ทั้งๆ ที่เมื่อวานหลี่ซานยังขี่ลาอย่างดีอกดีใจอยู่แท้ๆ เหตุใดวันนี้จึงคิดจะนำลาไปขายแล้ว
หลี่เจี้ยนอันมองไปยังบิดาของตนด้วยสายตาเศร้าสร้อย คราวก่อนที่เขาไปเมืองเยี่ยนก็เป็เช่นนี้ เปลืองน้ำลายไปมากเพียงใดก็ไม่อาจโน้มน้าวบิดาได้ ในใจรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจริงๆ เขาจึงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เรียนหนังสือแล้ว ข้าจะไปขายอาหารกับน้องห้า หาเงินให้น้องชายไปเรียน”
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “ในตำราย่อมมีทรัพย์สมบัติ ในตำราย่อมมีคุณค่าดั่งหยก พี่ใหญ่ ปีนี้ท่านเพิ่งจะอายุสิบสาม ไปเรียนอีกสิบปีท่านก็เพิ่งอายุยี่สิบสาม เมื่อสอบได้ซิ่วไฉแล้วก็ไม่ต้องทำการเกษตรอีก”
“การค้านั้นลำบากยากเข็ญ ข้าไม่อาจยืนมองเ้าทำงานอย่างลำบากลำบนอยู่คนเดียวได้” หลี่เจี้ยนอันรู้ดีว่าต้องศึกษาเล่าเรียนและสอบเป็ซิ่วไฉให้ได้จึงจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ ทว่าจะต้องมีผู้เสียสละ กระทั่งน้องสาวที่เด็กที่สุดอายุไม่ถึงสิบขวบก็ยังรู้จักเสียสละ แล้วเขาในฐานะที่เป็บุตรชายคนโตจะไม่เสียสละได้อย่างไร
หลี่ฝูคังค่อยๆ เดินเข้ามายืนข้างกายหลี่เจี้ยนอัน “พี่ใหญ่ ข้าจะร่วมทำการค้ากับท่านและน้องห้าเอง”
หลี่เจี้ยนอันเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของน้องชายคนรองที่คล้ายตนถึงเจ็ดส่วนก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้อง เ้าฉลาดกว่าข้า เ้าไปเรียนหนังสือจะต้องสอบได้ซิ่วไฉแน่”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานมองหน้าสบตากัน พวกเขาเป็ฝาแฝดจึงมีใจสื่อถึงกัน ไม่นานก็ตัดสินใจได้จึงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เข้าไปในห้องโถง
“พี่สาม ท่านพูดเถิด”
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าและน้องสี่อายุน้อยกว่าพวกท่าน ต่อไปยังมีโอกาสเรียนอีกมาก พวกเราจะเป็คนทำการค้ากับน้องห้าเอง ส่วนพวกท่านก็ไปเรียนหนังสือเถิด” เมื่อหลี่อิงฮว๋ากล่าวจบก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
หลี่หรูอี้ทอดถอนใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง “ท่านพี่ ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของท่านแม่ก็คือ ให้พวกท่านได้เรียนหนังสือทุกคน”
หลี่ิ่หานมิได้ชอบกล่าวตามใจปากเช่นหลี่ฝูคัง แต่มีความกล้ามากกว่า แม้จะเป็บุตรชายคนเล็กก็ไม่กลัวหลี่ซาน “แต่ท่านพ่อไม่ทำการค้ากับเ้า ทั้งยังจะเอาเงินทุนของเ้าไปซื้อที่ทั้งหมด หาเงินได้ไม่พอให้พวกเราไปเรียนกันทุกคนหรอก”
สีหน้าของจ้าวซื่อมืดมน นางกล่าวกลับบุตรีด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเ้าออกไปก่อน ข้ามีเื่จะคุยกับบิดาเ้า”
หลี่หรูอี้ออกไปเป็คนสุดท้าย ขณะที่ปิดประตูห้องโถงก็เห็นแววตาจริงจังอย่างร้ายกาจของจ้าวซื่อ จึงคิดกังวลกลัวว่าจ้าวซื่อจะทะเลาะกับหลี่ซาน
เสียงของจ้าวซื่อดังขึ้นอย่างแ่เบา “หลี่ซาน สิบหกปีก่อนตอนที่ข้ายังไม่แต่งให้ท่าน บ้านท่านมีที่ดินกี่หมู่?”
หลี่ซานได้ยินภรรยาเรียกชื่อตนตรงๆ เช่นนี้ในใจก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาโดยพลัน ตอบไปอย่างระมัดระวังว่า “สิบสามหมู่”
“สิบห้าปีก่อนตอนที่เกิดโรคระบาด ที่ดินสิบสามหมู่ของท่านมีคนซื้อหรือไม่”
“ไม่มีคนซื้อ” ตอนนั้นเกิดภัยโรคระบาด ทำให้ผู้คนบริเวณร้อยลี้ในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือกระทั่งคนในเมืองก็ล้มตายนับพันนับหมื่นคน มีหลายครอบครัวที่ตายกันยกบ้าน จะไปที่ใดก็ล้วนมีแต่ที่ดินดีที่ไร้เ้าของ ทว่าต่อให้เป็ที่ดินดีเพียงใดก็ขายไม่ออก ยามนั้นหลี่ซานพาหลี่สือที่เพิ่งจะอายุห้าขวบออกจากตระกูลหลี่ ในตัวมีเงินเพียงสิบกว่าทองแดง เรียกได้ว่ายากจนอย่างมาก
“บ้านเดิมของข้ามีที่ดินสามสิบหมู่ แม้จะขายหมู่ละห้าร้อยทองแดงก็ยังขายไม่ออก ในยามที่ข้าหนีออกจากบ้านเกิดไม่ได้พกโฉนดที่ดินติดตัวมาด้วย สิ่งที่นำติดตัวมาก็คือ ตั๋วเงินและเศษก้อนเงิน ในตอนที่ข้าเจอท่านกับหลี่สือมีตั๋วเงินยี่สิบห้าตำลึงกับเศษเงินอีกเจ็ดตำลึงสี่สิบทองแดง รวมกันแล้วมีสามสิบสองตำลึงกับอีกยี่สิบทองแดง ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจึงแต่งให้ท่าน เงินเหล่านี้ย่อมกลายเป็สินเดิมของข้า” จ้าวซื่อมิได้กล่าวเื่เหล่านี้ต่อหน้าลูกๆ เพราะกลัวจะเป็การทำร้ายจิตใจของสามี
หลี่ซานรู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะโรคระบาดในคราวนั้น จ้าวซื่อย่อมไม่กลายเป็เด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งพา ย่อมไม่ตกต่ำจนต้องแต่งให้เขาที่เป็เพียงเกษตรกรยากจนที่ไม่เหลือสิ่งใดนอกจากชีวิต
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้