ตอนที่ 6 บททดสอบความสามารถ
สายลมยามบ่ายในเดือนพฤศจิกายนพัดผ่านหน้าต่างบานเกล็ดของเรือนคนใช้ นำพาความเย็นสบายมาเจือจางความร้อนอบอ้าว
ปานชีวานั่งพับผ้าที่เพิ่งเก็บมาจากราวตากผ้าอย่างคล่องแคล่ว สองมือที่เคยนุ่มนิ่มบัดนี้เริ่มหยาบกร้านขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ดูแข็งแรงขึ้น รอยแผลพุพองที่แขนซ้ายเมื่อสองสัปดาห์ก่อนแห้งสนิทและลอกออกเกือบหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยสีจางๆ ที่เตือนความทรงจำถึงค่ำคืนอันแปลกประหลาดคืนนั้น
กาลเวลาในคฤหาสน์วรโชติหมุนผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็มั่นคง สองสัปดาห์มานี้... ราวกับ์ทรงโปรด หรือบางทีโชคชะตาอาจจะเล่นตลกให้เธอได้พักหายใจ ภูผาแทบไม่กลับบ้านเลย... เขาบ้างานอย่างหนัก พักค้างคืนที่คอนโดในเมืองหรือนอนที่ออฟฟิศเพื่อเคลียร์โปรเจกต์ั์ใหญ่ ส่วนโรสริน คู่หมั้นสาวแสนสวยก็บินไปช้อปปิ้งและดูแฟชั่นโชว์ที่ปารีส ทำให้คฤหาสน์หลังมหึมาที่เคยเปรียบเสมือนถ้ำเสือ กลับกลายเป็สถานที่ที่พอจะหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมาบ้าง
“คุณตาลจ๊ะ ผ้าปูที่นอนห้องคุณท่านแห้งหรือยัง?” เสียงแจ่มะโถามมาจากลานซักล้าง “แห้งแล้วจ้ะแจ่ม เดี๋ยวตาลเอาขึ้นไปเปลี่ยนให้เลยนะ” ปานชีวาะโตอบ พร้อมรอยยิ้มบางๆ
เธอเริ่มปรับตัวได้แล้ว... จากคุณหนูที่หยิบจับอะไรไม่เป็ ตอนนี้เธอรู้วิธีผสมน้ำยาถูพื้นให้สะอาดที่สุด รู้วิธีรีดเสื้อเชิ้ตไม่ให้ยับ และรู้วิธีหลบหลีกสายตาจับผิดของหัวหน้าแม่บ้านบางคนที่ยังไม่ชอบหน้าเธอ การที่ภูผาไม่อยู่บ้าน ทำให้ความกดดันที่กดทับไหล่เธอเบาบางลง เธอทำงานด้วยความผ่อนคลายมากขึ้น กล้าที่จะพูดคุยหยอกล้อกับคนงานในบ้าน และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็ส่วนหนึ่งของที่นี่ แม้จะเป็ในฐานะที่ต่ำต้อยที่สุดก็ตาม
ปานชีวาหอบผ้าปูที่นอนกลิ่นหอมแดดเดินขึ้นตึกใหญ่ ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งที่เขาไม่อยู่ แต่อีกใจหนึ่ง... ลึกๆ ลงไปในส่วนที่เธอไม่อยากยอมรับ เธอกลับรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ หลังจากคืนนั้นที่เขาเข้ามาทำแผลให้ เขาก็หายหน้าไปเลย ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการสบตา เหมือนกับพยายามหลบหน้าเธออย่างจงใจ “ก็ดีแล้วนี่... จะได้ไม่ต้องมารองรับอารมณ์ใคร” หญิงสาวบอกตัวเองขณะเดินเข้าห้องนอนใหญ่ที่ว่างเปล่า เธอจัดการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้มอย่างชำนาญ มือเรียวลูบไล้ผืนผ้าให้เรียบตึง พลางเผลอนึกถึงใบหน้าเ้าของห้องที่ชอบทำหน้าดุแต่แววตากลับซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
บรื๊นนนนนน!
เสียงเครื่องยนต์รถสปอร์ตคำรามกึกก้องที่หน้ามุขบ้าน ปลุกปานชีวาให้ตื่นจากภวังค์ หัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับมาเต้นรัวแรงด้วยความหวาดหวั่น เขากลับมาแล้ว... ความสงบสุขชั่วคราวสิ้นสุดลงแล้ว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
"ปานชีวา! คุณท่านเรียกให้ไปพบที่ห้องทำงาน เดี๋ยวนี้!" ป้าสมรเดินมาบอกที่เรือนคนใช้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก "ดูท่าทางคุณภูจะอารมณ์ไม่ดีนะ ระวังตัวด้วยล่ะ" ปานชีวากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เพิ่งนั่งพักเหนื่อยเมื่อตะกี้ เธอพยักหน้ารับคำ แล้วรีบเดินตามป้าสมรไป ตลอดทางเดิน เธอพยายามรวบรวมสติ ท่องคำว่า อดทน ซ้ำไปซ้ำมา
เมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป กลิ่นกาแฟเข้มข้นและกลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยมาปะทะจมูก ห้องทำงานของภูผากว้างขวาง ตกแต่งด้วยไม้สักดูเคร่งขรึม ผนังด้านหนึ่งบุด้วยชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน อีกด้านเป็กระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวสวน แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุด คือสภาพของห้องที่ เละเทะ กองเอกสาร แฟ้มบัญชี และกระดาษพิมพ์เขียว วางระเกะระกะเต็มโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ลามลงมาถึงพื้นพรม ภูผานั่งอยู่หลังกองูเาเอกสารนั้น ใบหน้าหล่อเหลาดูอิดโรย ขอบตามีรอยคล้ำจากการอดนอน เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนออกและพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นเส้นเืที่ปูดโปนด้วยความเครียด
"มาแล้วเหรอ..." เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ สายตาเ็าแต่แฝงไปด้วยความหงุดหงิด "ค่ะ... คุณภูมีอะไรให้ตาลรับใช้คะ?" ปานชีวายืนกุมมือสงบเสงี่ยมอยู่หน้าโต๊ะ
ภูผาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หมุนปากกาในมือเล่น มองสำรวจเธอั้แ่หัวจรดเท้า "ดูสบายดีนี่... อ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นนะ ในขณะที่ฉันทำงานหัวปั่นจนไม่มีเวลากินข้าว" คำทักทายแรกก็เต็มไปด้วยความประชดประชัน "่ที่คุณไม่อยู่... ตาลก็ทำงานตามหน้าที่ทุกอย่างค่ะ ไม่ได้อยู่เฉยๆ" เธอตอบเสียงเรียบ "เหรอ?" ภูผาเลิกคิ้ว "งานอะไร? กวาดบ้าน ถูพื้น ล้างห้องน้ำ? งานพวกนั้นมันใช้แค่แรงงาน ไม่ต้องใช้สมอง... ซึ่งก็คงเหมาะกับผู้หญิงอย่างเธอดี"
ปานชีวาเม้มปากแน่น เจ็บจี๊ดที่ใจ เขากำลังดูถูกสติปัญญาของเธอ "เห็นป้าสมรบอกว่าเธอเรียนจบนอก? จบอะไรมานะ? การจัดการ? หรือบริหารธุรกิจ?" ซึ่งเขารู้อยู่แล้ว "การเงินและธนาคารค่ะ... เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง" เธอตอบเน้นเสียงเล็กน้อยเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ภูผาหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะที่ฟังดูแคลนอย่างที่สุด "เกียรตินิยม... หึ! สมัยนี้เงินซื้อได้ทุกอย่าง ใบปริญญาก็คงเหมือนกัน ยิ่งเป็ลูกสาวของพ่อเธอด้วยแล้ว คงใช้เงินฟาดหัวอาจารย์มาสิท่า" "คุณภู!..." ปานชีวาเผลอเรียกชื่อเขาเสียงดัง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ "คุณจะดูถูกตาลยังไงก็ได้ แต่อย่ามาดูถูกความพยายามของตาล ตาลเรียนมาด้วยสมองของตาลเอง ไม่เคยใช้เงินซื้อ!"
"งั้นก็พิสูจน์สิ!" ภูผาลุกขึ้นยืน กวาดมือกวาดกองแฟ้มเอกสารบัญชีปึกใหญ่บนโต๊ะให้ร่วงลงไปกองแทบเท้าเธอ ตุ้บ! พรึ่บ! กระดาษปลิวว่อน แฟ้มหนาหนักหล่นกระแทกพื้น "นี่คือเอกสารบัญชีย้อนหลัง 6 เดือนของบริษัทในเครือที่กำลังมีปัญหา ตัวเลขไม่ลงตัว งบดุลขาดดุล และมีรายการเบิกจ่ายที่น่าสงสัย... ฝ่ายบัญชีของฉันแก้มาสามรอบแล้วก็ยังผิด" ภูผาชี้หน้าเธอ "ในเมื่อเธออวดว่าเธอฉลาดได้เกรียรตินิยม ก็ลองจัดการกองขยะพวกนี้ให้ฉันดูหน่อยสิ! เรียงลำดับ ตรวจสอบความถูกต้อง แล้วสรุปยอดมาให้ฉัน... ภายในคืนนี้!"
ปานชีวามองกองเอกสารมหึมาตรงหน้า สลับกับมองหน้าเขา "คืนนี้? ทั้งหมดนี่เหรอคะ? มันต้องใช้เวลาเป็อาทิตย์นะคะถึงจะ..." "ทำไม่ได้?" ภูผาสวนขึ้นทันควัน ยิ้มเยาะมุมปาก "ก็อย่างว่าแหละนะ... ของปลอมก็คือของปลอม เก่งแต่ปาก พอเอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้... ถ้าทำไม่ไหวก็หอบกลับไปกองไว้ที่เดิม แล้วไสหัวไปขัดห้องน้ำซะ อย่ามาอวดเก่งกับฉันอีก"
สายตาดูถูกเหยียดหยามคู่นั้น... มันเหมือนน้ำมันราดลงบนกองไฟแห่งศักดิ์ศรีในใจของปานชีวา เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มลงเก็บแฟ้มเอกสารขึ้นมาทีละเล่ม "ได้ค่ะ..." เธอกัดฟันตอบ สายตามุ่งมั่นจ้องกลับไปที่เขา "ดิฉันจะทำให้เสร็จภายในคืนนี้... เพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า สมองของดิฉันมีค่ามากกว่าที่คุณคิด!" "ดี!" ภูผาตบโต๊ะ "เอาออกไปทำข้างนอก อย่ามานั่งเกะกะสายตาฉันในนี้ และถ้าพรุ่งนี้เช้าฉันตื่นมาแล้วยังไม่เสร็จ หรือเสร็จแต่ผิดๆ ถูกๆ... เธอโดนดีแน่"
ปานชีวาหอบกองแฟ้มที่สูงจนแทบท่วมหัว เดินออกจากห้องทำงานไปโดยไม่หันกลับมามอง ภูผาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มองตามหลังเธอไปพร้อมกับความรู้สึกหลากหลาย ใจจริงเขาแค่อยากจะหาเื่แกล้งเธอ อยากระบายความเครียด และอยากทำลายความมั่นใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นในแววตาคู่นั้น เอกสารพวกนั้น... ขนาดผู้จัดการฝ่ายบัญชีมืออาชีพยังนั่งกุมขมับมาเป็อาทิตย์ เด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอจะไปทำอะไรได้? "เดี๋ยวก็คงวิ่งร้องไห้กลับมายอมแพ้..." เขาบอกตัวเอง ก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้าต่อ โดยไม่รู้เลยว่า เขาได้ปลุกสัญชาตญาณนักสู้ในตัวเธอขึ้นมาเสียแล้ว
เวลา 02:45 น. ณ โถงห้องสมุดเล็กชั้นล่าง
ปานชีวาขออนุญาตป้าสมรมาใช้พื้นที่โต๊ะตัวยาวในห้องสมุด เพราะในเรือนคนใช้มืดเกินไปและไม่มีโต๊ะทำงาน แสงไฟจากโคมระย้าส่องกระทบใบหน้ามุ่งมั่นที่ไร้เครื่องสำอาง บนโต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษที่ถูกกางออก เครื่องคิดเลขตัวเก่าที่เธอยืมมาจากสำนักงานแม่บ้าน และปากกาสีต่างๆ ที่เธอพกติดตัวมา แว่นสายตากรอบบางถูกหยิบขึ้นมาสวม เพื่อช่วยในการเพ่งตัวเลขยิบย่อย
บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด แต่ในหัวของปานชีวากำลังแล่นเร็วปรื๋อ ทันทีที่เธอเปิดแฟ้ม ตัวเลขที่ดูยุ่งเหยิงสำหรับคนอื่น กลับเรียงตัวกันเป็ระเบียบในสมองของเธอ เธอไม่ได้มองแค่ตัวเลข... แต่มองเห็น พฤติกรรม ของตัวเลข งบดุลตรงนี้ไม่สัมพันธ์กับยอดขาย... ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดสูงผิดปกติในไตรมาสที่สาม... ใบกำกับภาษีของบริษัทซัพพลายเออร์เ้านี้ดูแปลกๆ... ทักษะที่เธอเคยร่ำเรียนมาและความเฉลียวฉลาดที่ติดตัวมาแต่เกิด ถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เธอหลงลืมความเหนื่อยล้า ลืมว่าเป็คนใช้ ลืมแม้กระทั่งความโกรธที่มีต่อภูผา ตอนนี้เธอคือนักวิเคราะห์การเงินผู้ปราดเปรื่องที่กำลังสนุกกับการไขปริศนา
"เจอแล้ว..." ปานชีวาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเป็ประกาย เธอพบจุดผิดสังเกตที่ซ่อนอยู่อย่างแเีในการตกแต่งบัญชี มือเรียวตวัดปลายปากกาจดบันทึกย่อลงในกระดาษโน้ตสีเหลือง (Post-it) แผ่นเล็กๆ แล้วแปะลงไปที่หน้าเอกสารที่มีปัญหา เธอทำแบบนี้แฟ้มแล้วแฟ้มเล่า... แยกหมวดหมู่ จัดเรียงเอกสาร ตรวจทานยอดรวม และทำสรุปยอดใหม่ในกระดาษเปล่าด้วยลายมือที่สวยงามเป็ระเบียบ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามไรผม แต่เธอก็ปาดมันออกลวกๆ แล้วลุยงานต่อ จนกระทั่งแสงแรกของวันใหม่เริ่มจับขอบฟ้า...
เวลา 07:00 น. ห้องทำงานภูผา
ภูผาเดินลงมาจากห้องนอนในชุดสูททำงานเตรียมพร้อมเข้าบริษัท เขาดูสดชื่นขึ้นหลังจากได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง เขาเดินตรงไปที่ห้องทำงาน กะว่าจะเข้าไปเอาเอกสารคืนจากปานชีวา แล้วเยาะเย้ยเธอสักหน่อยว่า “เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าเธอทำไม่ได้”
แต่เมื่อเขาเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป เขาก็ต้องชะงัก... บนโต๊ะทำงานที่เมื่อวานรกเหมือนรังหนู บัดนี้สะอาดเอี่ยม กองแฟ้มเอกสารเ้าปัญหาถูกจัดวางเรียงซ้อนกันเป็ตั้งสูง แยกประเภทด้วยสีของสันแฟ้มอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยจนน่าทึ่ง และที่้าสุดของกองเอกสาร... มีกระดาษสรุปยอดหนึ่งแผ่นวางทับอยู่ พร้อมกับร่างบางของปานชีวาที่ฟุบหลับคาโต๊ะอยู่ข้างๆ กองงาน
ภูผาเดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างเงียบเชียบ เขามองหญิงสาวที่หลับใหล ลมหายใจสม่ำเสมอ แก้มใสแนบอยู่กับท่อนแขน แว่นสายตายังคงสวมคาอยู่บนหน้า "ทำเสร็จจริงๆ เหรอวะ..." เขาพึมพำด้วยความไม่อยากจะเชื่อ มือหนาหยิบกระดาษสรุปยอดขึ้นมาอ่าน ดวงตาคมกริบไล่สายตาไปตามตัวหนังสือและตัวเลขลายมือสวย ยิ่งอ่าน... หัวใจเขายิ่งเต้นแรง ไม่ใช่เพราะความรัก... แต่เพราะความทึ่ง สรุปยอดพวกนี้... มันสมบูรณ์แบบ! แม่นยำ กระชับ ตรงประเด็น และที่สำคัญ... เธอทำงบดุลที่ฝ่ายบัญชีแก้ไม่ตกให้ลงตัวได้
เขาวางกระดาษลง แล้วหยิบแฟ้ม้าสุดขึ้นมาเปิด สิ่งที่สะดุดตาเขาคือกระดาษ Post-it สีเหลืองแผ่นเล็กๆ ที่แปะอยู่ตรงกลางหน้า มีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ แต่มั่นใจว่า ยอดสั่งซื้อวัตถุดิบเดือนมิถุนายนสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับยอดผลิตจริง ส่วนต่างหายไปเข้าบัญชีบริษัทนอมินีชื่อ SK Supply รบกวนตรวจสอบใบเสนอราคาเทียบเคียงค่ะ ปานชีวา
ภูผาเบิกตากว้าง เขาดึง Post-it แผ่นนั้นออกมาถือไว้ มือสั่นเล็กน้อย SK Supply... นี่มันชื่อบริษัทของญาติฝ่ายแม่เลี้ยงที่เขากำลังสงสัยว่าแอบโกงบริษัทอยู่ แต่หาหลักฐานไม่ได้ แต่ปานชีวา... ผู้หญิงที่เขาดูถูกว่าซื้อใบปริญญา กลับหาเจอมันเจอภายในคืนเดียว!
เขามองแฟ้มอื่นๆ ก็พบ Post-it แปะอยู่อีกหลายจุด ทุกจุดชี้เป้าความผิดปกติได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมาในอก ความยอมรับนับถือ... ความชื่นชม... และความรู้สึกผิดที่เคยดูแคลนเธอ เขาละสายตาจากเอกสาร มองไปยังร่างเล็กที่ยังคงหลับไม่รู้เื่ แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามากระทบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอ ในวินาทีนี้... เธอดูไม่เหมือนคนใช้ และดูไม่เหมือนลูกหนี้ที่น่ารังเกียจ แต่เธอดูเหมือน... เพชรที่ถูกซ่อนอยู่ในโคลนตม และเขาก็เพิ่งจะเป็คนเช็ดโคลนนั้นออกด้วยความบังเอิญ
"อือ..." เสียงครางเบาๆ ในลำคอทำให้ภูผาสะดุ้ง ปานชีวาขยับตัวช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือภูผายืนถือแฟ้มเอกสารจ้องหน้าเธออยู่ หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความใ ปรับแว่นให้เข้าที่ "ขอ... ขอโทษค่ะคุณภู! ตาลเผลอหลับไป... เอกสารเสร็จหมดแล้วนะคะ วางอยู่บนโต๊ะ..." เธอละล่ำละลักบอก กลัวจะโดนดุ
ภูผานิ่งเงียบไปนานจนน่าอึดอัด เขาวางแฟ้มลงบนโต๊ะช้าๆ ก่อนจะหันมาสบตาเธอ แววตาดูแคลนหายไปแล้ว... เหลือเพียงความนิ่งลึกที่อ่านไม่ออก "ฉันอ่านแล้ว" เขาพูดเสียงเรียบ ปานชีวากลั้นหายใจ "มี... มีตรงไหนผิดพลาดไหมคะ? ตาลแก้ได้นะ"
"ไม่มี" คำตอบสั้นๆ แต่หนักแน่น "ทุกอย่างถูกต้อง... ถูกต้องจนน่าใ" เขาหยิบ Post-it แผ่นนั้นขึ้นมาชูให้เธอดู "โดยเฉพาะไอ้นี่... เธอรู้ได้ยังไง?" "ตาลสังเกตจากแพทเทิร์นการสั่งซื้อค่ะ แล้วก็ลองครอสเช็คกับสต็อกสินค้า มันไม่สัมพันธ์กัน" เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มมั่นใจขึ้นเมื่อพูดเื่งาน
ภูผาลดมือลง มองหน้าเธอเต็มตาเป็ครั้งแรก "ฉันคงต้องถอนคำพูด..." "คะ?" "ที่บอกว่าเธอใช้เงินซื้อใบปริญญา... ฉันถอนคำพูด" ปานชีวาชะงัก หัวใจพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด มันไม่ใช่คำชมหวานหู ไม่ใช่คำขอโทษซึ้งๆ แต่มันคือการ ยอมรับ จากปากผู้ชายที่ทิฐิสูงเทียมฟ้าอย่างภูผา "แต่ก็อย่าเพิ่งได้ใจไป..." เขาฟอร์มจัด รีบวางมาดขรึมต่อ "แค่นี้มันแค่พื้นฐาน ใครๆ ก็ทำได้ถ้าตั้งใจ... วันนี้เธอไม่ต้องทำงานบ้าน่เช้า กลับไปนอนพักซะ เดี๋ยวบ่ายๆ ค่อยมาทำงานต่อ"
พูดจบเขาก็รวบเอกสารทั้งหมด ถือกระเป๋าทำงาน แล้วเดินออกจากห้องไปดื้อๆ ทิ้งให้ปานชีวายืนงงอยู่กลางห้อง สักพัก... รอยยิ้มกว้างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน เธอทำได้! เธอเอาชนะคำสบประมาทของเขาได้แล้ว แม้จะเป็แค่ก้าวเล็กๆ... แต่มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับลูกหนี้อย่างเธอ
ขณะเดียวกัน... บนรถยุโรปคันหรู ภูผานั่งมอง Post-it แผ่นสีเหลืองที่เขาแอบดึงออกมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อสูท มุมปากหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว "ร้ายกาจจริงๆ นะคุณหนูตกอับ..." เขาพึมพำเบาๆ ศึกครั้งนี้เธอชนะ... และเขาก็เต็มใจที่จะแพ้ให้กับความเก่งกาจของเธอเสียด้วยสิ
////****/////
