เฟิงซื่อแย้มยิ้ม มองสำรวจจ้าวซื่อ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบ้านหลี่จะกล้าหาญเพียงนี้ ถึงกับเริ่มต้นทำกิจการรับซื้อแป้งขาวจากหมู่บ้านแล้ว “พอเ้ามีเื่ดีๆ ก็นึกถึงข้าเป็คนแรก ทั้งยังมาหารือกับข้าด้วย ขอบใจเ้ามาก เื่ที่เ้าพูด ข้าไม่จำเป็ต้องคุยกับตาเฒ่าที่บ้าน ข้าตัดสินใจเองได้เลย”
บ้านหลี่รับซื้อแป้งขาวทำให้ต้นทุนลดลง บ้านหวังขายแป้งขาวทำให้มีรายรับเพิ่มขึ้น นี่เป็การค้าที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
จ้าวซื่อถาม “ไม่รู้ว่าบ้านเ้าจะขายแป้งขาวให้พวกเราได้เท่าใด?”
หลังเก็บเกี่ยว่ฤดูร้อน ทุกครอบครัวในหมู่บ้านนำแป้งขาวไปขายที่ตำบลกันหมดแล้ว เหลือไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อใช้ทำกินใน่ปีใหม่ บ้านหวังไห่มีที่ดินมาก ได้ยินว่าขายให้ร้านในตำบลไปสามพันชั่งแล้ว
เฟิงซื่อยื่นมือขวาที่ผอมแห้งจนเห็นเส้นเืชัดเจนออกไป กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ห้าร้อยชั่ง”
“มากขนาดนี้เชียวหรือ” แววตาของจ้าวซื่อปรากฏความตกตะลึง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่า บ้านหวังไห่จะเก็บแป้งไว้มากมายขนาดนี้ มากกว่าบ้านของตนห้าสิบเท่าทีเดียว
เฟิงซื่อลองถามข้อมูลเพิ่มเติม “บ้านเ้าซื้อได้เท่าใด?”
จ้าวซื่อยิ้มเล็กน้อย “หากการค้าขายดี ซื้อได้วันละสามสิบชั่ง เดือนหนึ่งก็ซื้อได้หมดแล้ว”
คราวนี้ถึงคราวเฟิงซื่อตื่นตะลึงบ้างแล้ว อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “การค้าบ้านเ้าดีจริงๆ”
“เช่นนั้นก็เริ่มั้แ่พรุ่งนี้ หากบ้านข้า้าแป้งขาว ข้าจะให้ลูกชายมาซื้อที่บ้านเ้า สองชั่งห้าทองแดง” จ้าวซื่อเน้นย้ำเื่ราคาอีกครั้ง
หลี่อิงฮว๋าพูดยิ้มๆ “น้าเฟิงขอรับ ถึงตอนนั้นข้าและพี่ๆ น้องๆ คงต้องรบกวนบ้านท่านแล้ว”
“ข้าอยากให้พวกเ้ามารบกวนทุกวันจริงๆ” ผู้ใดจะลำบากใจกับเื่เงินทองเล่า ยิ่งบ้านหลี่ซื้อแป้งขาวมากเท่าใด รายรับของบ้านหวังก็มากขึ้นเท่านั้น
จ้าวซื่อจะกลับบ้านแล้ว แต่ด้านนอกฝนยังตกหนัก อีกทั้งเฟิงซื่อก็อยากฟังจากปากจ้าวซื่อว่าบ้านหลี่ทำการค้าอะไร จึงชวนให้อยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง
สองแม่ลูกบ้านหลี่อยู่ที่บ้านหวังเกือบหนึ่งชั่วยามจึงค่อยกลับไป เมื่อกลับถึงบ้าน เพียงเดินถึงรั้วของลานบ้านก็ได้กลิ่นหอมอันเข้มข้นของเนื้อโชยมาจากห้องครัว
จ้าวซื่ออดบ่นไม่ได้ “น้องสาวเ้านี่ใช้ไม่ได้จริงๆ ถึงกับให้พี่ใหญ่และพี่รองไปซื้อเนื้อมาเชียว”
หลี่อิงฮว๋ารู้สึกสงสัยในใจ วันนี้น้องสาวไม่ได้ให้พี่ใหญ่และพี่รองไปซื้อเนื้อมาสักหน่อย ส่วนพี่ใหญ่และพี่รองก็ประหยัดมัธยัสถ์เพียงนั้น เหตุใดจึงซื้อเนื้อมาเล่า?
หลี่ฝูคังรีบเดินออกมาจากห้องครัว มายืนอยู่ใต้ชายคา แทบอยากจะรีบเดินตากฝนออกไปหาแม่และพี่ชายเลยทีเดียว เขาส่งเสียงอย่างยินดีว่า “ท่านแม่ น้องสาม ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว”
จ้าวซื่อเดินประคองท้องเข้าไปในครัวด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ เมื่อเห็นว่าบุตรสาวกำลังทอดไส้อยู่ในกระทะ ข้างเตาก็มีหัวใจหมู ตับหมู ไตหมู และกระเพาะหมูที่ล้างสะอาดแล้ววางอยู่ นางรู้ทันทีว่า คนขายเนื้อแซ่จางให้เครื่องในหมูและหางหมูแก่บุตรสาวมาอีก จึงพูดด้วยความยินดีระคนแปลกใจ “คนขายเนื้อแซ่จางผู้นี้รู้จักตอบแทนบุญคุณจริงๆ”
หลี่ิ่หานถือถ้วยที่บรรจุไส้ย่างจนเต็มขึ้นมาอวด ยื่นไปเบื้องหน้าจ้าวซื่อ ให้นางกินดู “น้องสาวใส่เกลือไปด้วยขอรับ ทั้งหอมทั้งอร่อยเชียว พวกเรากินกันหมดแล้ว ท่านรีบกินเถอะ”
จ้าวซื่อกลืนน้ำลาย รับตะเกียบที่หลี่เจี้ยนอันส่งมาให้ คีบไส้หมูทอดขึ้นมาสามชิ้นในคราวเดียวแล้วใส่เข้าปาก ในปากเต็มไปด้วยไส้หมูและน้ำมัน แต่กลับไม่รู้สึกเลี่ยนเลยสักนิด
หลี่หรูอี้ถามขึ้นว่า “ท่านแม่เ้าคะ คุยกับบ้านหวังเป็อย่างไรบ้าง?”
“ท่านแม่ออกโรงคุยด้วยตนเองจนสำเร็จแล้ว” หลี่อิงฮว๋าเอ่ยปากพูดจนน้ำลายเกือบไหลออกมา รีบหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบไส้หมูทอดกินบ้าง
“ฝนยังตกอยู่เลย” จ้าวซื่อกำลังท้องจึงรู้สึกอยากอาหารเป็พิเศษ กินไปทีเดียวครึ่งถ้วย จู่ๆ ก็คิดได้ว่า ไส้ย่างสิบชิ้นขายได้หนึ่งเหรียญทองแดง ไม่ทันไรนางก็กินไปแล้วหลายทองแดงแล้ว จึงหยุดชะงัก หันไปมองนอกห้องครัว ฟ้ายังคงมืดครึ้ม ดูแล้วฝนคงจะตกไปถึง่กลางคืนเป็แน่ นางขมวดคิ้วถามว่า “หรูอี้ พรุ่งนี้ฟ้าก็โปร่งแล้ว บ้านเราจะขายไส้ทอดหรือไม่?”
หลี่หรูอี้ตอบ “ท่านแม่ อากาศร้อน อาหารจานเนื้อจะเก็บค้างคืนแล้วเอาไปขายไม่ได้”
จ้าวซื่อชี้ไปที่เครื่องในหมูในกะละมังไม้ ถามว่า “เครื่องในหมูมากเพียงนี้กลับไม่นำไปขาย หรือพวกเราจะกินให้หมดเลย?”
“เ้าค่ะ บ้านเราจะกินให้หมด” หลี่หรูอี้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขายอาหารจานเนื้อใน่ฤดูร้อน
จ้าวซื่อส่ายหน้า “จะเปลืองเกินไปแล้ว ข้าว่าพรุ่งนี้พวกเ้าเอาไปขายที่ตำบลเถิด”
“หากพรุ่งนี้ฟ้าโปร่งพวกเราก็ต้องไปขายแป้งย่าง จะไม่ขายเครื่องใน” หลี่หรูอี้ส่งสายตาให้หลี่เจี้ยนอัน เขาจึงรีบกล่อมให้จ้าวซื่อออกไปจากห้องครัว
หลี่อิงฮว๋าไม่สนใจกินไส้ทอดแล้ว รีบวางตะเกียบลงแล้วเดินออกไปที่ห้องโถง “ท่านแม่ขอรับ เพราะพวกเราพี่น้องเชื่อน้องสาว ผ่านไปไม่กี่วันก็หาเงินได้มากเพียงนี้แล้ว เมื่อครู่น้องสาวยังคิดวิธีซื้อแป้งขาวให้ประหยัดเงินได้อีก ทั้งยังได้สานสัมพันธ์กับบ้านหวังด้วย ดังนั้นท่านเชื่อน้องสาวเถิด”
จ้าวซื่อนั่งลงบนม้านั่งไม้ พูดอย่างเนิบช้า “จากธรรมดาไปหรูหรา จากหรูหราไปธรรมดา พวกเรากินเนื้อมากเพียงนี้ หากกินจนเคยตัวแล้วต่อไปไม่มีเนื้อให้กิน จะดีไปได้อย่างไร?”
หลี่เจี้ยนอันพูดโน้มน้าว “เครื่องในพวกนั้นลุงจางให้มา ลุงจางให้เป็ของขวัญขอบคุณสองครั้งแล้ว ต่อไปคงไม่ให้อีก ต่อไปพวกเราคงไม่ได้กินเครื่องในหมูโดยไม่ต้องเสียเงินแล้ว”
จ้าวซื่อทอดถอนใจ “เนื้อมากเพียงนี้ ทั้งๆ ที่นำไปขายพรุ่งนี้ได้ เหตุใดจึงต้องกินทั้งหมดเล่า ครอบครัวเราไม่ใช้ชีวิตกันแบบนั้น”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวต่อไป “น้องสาวกล่าวว่า กินอาหารดีๆ สวมเสื้อผ้าดีๆ ไม่ได้ทำให้พวกเราจนไปชั่วชีวิต ท่านแม่ ท่านอย่าห้ามน้องสาวเหมือนท่านพ่อเลย ถึงตอนนั้นหากน้องสาวโกรธขึ้นมา ไม่ยอมคิดหาวิธีดีๆ อีก พวกเราพี่น้องคงหาไม่ได้สักทองแดงเดียว”
จ้าวซื่อหลุบตาลง พูดพึมพำว่า “วันฝนตก พวกเราไม่ต้องทำงานก็ยังได้กินดีเพียงนี้ บิดาและลุงรองของพวกเ้าไปสร้างกำแพงเมืองอย่างลำบากลำบน ไม่รู้ว่าจะได้กินอะไรกัน?”
หลี่ฝูคังถือน้ำร้อนถ้วยหนึ่งเข้ามาในห้องโถง วางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าจ้าวซื่อเพื่อให้นางดื่ม เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ท่านแม่ก็คิดถึงท่านพ่อนี่เอง”
จ้าวซื่อเงยหน้าขึ้น เห็นบุตรชายแต่ละคนแย้มยิ้มราวกับดอกไม้บาน จึงกล่าวไปว่า “ข้าเป็ห่วงเขา”
หลี่หรูอี้นำน้ำมันที่ออกมาจากไส้หมูทั้งหมดไปตวง ใส่น้ำตาลสีเหลืองเข้มลงไปในน้ำมันที่เหลืออยู่ก้นกระทะ จากนั้นก็นำหัวใจหมู ตับหมู และหางหมูใส่ลงไป
น้ำตาลของที่นี่คล้ายน้ำตาลทรายแดงในโลกก่อน แต่ไม่บริสุทธิ์พอ ความหวานก็น้อยกว่า
จะทำเนื้อพะโล้ต้องใส่ซีอิ๊วและน้ำตาล ทว่าไม่ต้องพูดถึงในอำเภอเลย กระทั่งในตำบลก็ยังไม่มีซีอิ๊วขาย ทั้งแคว้นต้าโจวล้วนไม่มีซีอิ๊ว จึงใส่เพียงน้ำตาลเท่านั้น
หลี่หรูอี้ใส่น้ำตาลให้มากหน่อยเพื่อให้เนื้อพะโล้มีสีสัน
เมื่อหัวใจหมู ตับหมู ไตหมู และหางหมูเปลี่ยนสีแล้ว จึงใส่เครื่องเทศที่ซื้อมาจากร้านขายสมุนไพรในตำบลจินจีลงไป ได้แก่ โป๊ยกั๊กและใบกระวาน ทั้งยังเติมเหล้าเหลืองและเกลืออีกด้วย
กลิ่นเหล้าโชยเข้าจมูก จากนั้นจึงเติมน้ำ และใช้ไฟแรงต้มเป็เวลาครึ่งชั่วยาม เพื่อให้รสชาติของเครื่องเทศเข้าเนื้อ
คราวที่แล้วนำไตหมูมาทำเป็พะโล้ทั้งหมด คราวนี้จึงเหลือไตหมูไว้บ้าง เพื่อผัดกับกระเทียมและหัวหอมเอาไว้กินตอนเย็น
ตอนเที่ยง ครอบครัวหลี่กินเครื่องในหมูพะโล้ที่หอมกรุ่นอย่างเอร็ดอร่อย
จ้าวซื่อไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากกินข้าวเสร็จก็ไปนอนกลางวัน
ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านหลิวที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ หลิวจู้ ผู้มีใบหน้ายาว และครอบครัวกำลังทำความสะอาดเครื่องในหมูสองชุดที่ส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ว ที่ซื้อมาจากร้านในตัวอำเภอ
พี่น้องบ้านหลี่ไปขายไส้ทอดครั้งแรกที่ตลาดเล็กๆ ในตัวอำเภอ ซึ่งร้านผักข้างๆ ก็คือ ร้านของหลิวจู้นั่นเอง
เมื่อคืนหลิวจู้เห็นพี่น้องบ้านหลี่ไม่ได้ขายไส้ทอดแล้ว เมื่อสอบถามคนอื่นๆ พวกเขาจึงรู้ว่า่นี้บ้านหลี่จะไม่ขายอาหารจานเนื้อ เมื่อกลับถึงบ้านจึงหารือกับภรรยาแล้วตัดสินใจว่าจะขายไส้ทอดกัน
.......................................