“ท่านแม่ทัพตื่นหรือยังขอรับ อีกสองเค่อจะได้เวลารวมพลแล้วขอรับ”เสียงอิงปู้ดังออกมาจากนอกกระโจม เวลารวมพลคือต้นยามเม่า*อีกไม่นานก็จะถึงเวลา เหล่าทหารเริ่มตื่นแล้วเก็บสัมภาระของตน
“เข้ามาได้”
เมื่อได้ยินเสียงตอบรับที่ดังออกมาจากด้านในอิงเหอที่ยืนถืออ่างล้างหน้าอยู่ก็แหวกกระโจมเดินเข้าไป สายตาของรองแม่ทัพหนุ่มหลุบต่ำมองพื้นอยู่ตลอด เมื่อนำอ่างน้ำไปวางที่เก้าอี้แล้วเขาก็ถอยหลังจะออกไปทันที ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปเสียงของท่านแม่ทัพก็ดังห้ามเอาไว้
“จะไปไหน...อิงปู้เ้าก็เข้ามาด้วยข้ามีเื่จะสั่ง”หญิงสาวที่กำลังล้างหน้าบ้วนปากร้องห้ามรองแม่ทัพที่กำลังก้มหน้าถอยหลังออกไป ทำตัวเป็สุภาพบุรุษเหลือเกินหลังเหยียดตรงก้มหน้าต่ำ อืม นั่นก็อีกคน ข้าได้แต่อ่อนใจกับท่าทางของชายหนุ่มทั้งสอง
“เงยหน้า”
รองแม่ทัพทั้งสองมิอาจขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจำต้องเงยหน้าขึ้นอย่างแกนๆ ฮู่ว… รอดตายโชคดีที่ท่านแม่ทัพแต่งกายเรียบร้อยดูก็รู้ว่าท่านนอนทั้งชุดเกราะ เห็นเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองต่างมองท่านแม่ทัพตรงหน้าอย่างเทิดทูนอีกหลายส่วน แม้เป็สตรีอายุน้อยแต่กฎระเบียบในกองทัพท่านก็ทำตามได้อย่างไม่บกพร่อง
“กังวลในเื่ที่ไม่เป็เื่โดยแท้ หากการที่เป็แม่ทัพแล้วเพิ่มภาระให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาข้าคงไม่เลือกเส้นทางนี้”ข้าอมยิ้มเล็กๆ มองผู้ติดตามทั้งสองอย่างเห็นขัน จัดการข้อจำกัดของตนเองไม่ได้ก็ไม่สมควรมาเพิ่มภาระให้กองทัพ
“ท่าแม่ทัพกล่าวได้ถูกต้องเป็ข้าที่กังวลจนเกินเหตุ”รองแม่ทัพอิงปู้กล่าวอย่างขออภัย เห็นได้ชัดว่าเขากังวลการใช้ชีวิตในกองทัพของคุณหนูที่กลายมาเป็ท่านแม่ทัพผู้นี้มากเกินไป
“ท่านแม่ทัพมีสิ่งใดจะสั่งการ เวลาไม่ช้าแล้วนะขอรับ”อิงเหอกล่าวเตือนท่านแม่ทัพด้วยใกล้ถึงเวลารวมพลแล้ว
“สั่งการลงไป อีกหนึ่งร้อยลี้เราจะเข้าสู่หุบเขาหัวกะโหลกแม้เส้นทางนี้ตระกูลเราจะเป็ผู้บุกเบิกแต่จุดนั้นมีความเสี่ยงต่อการถูกลอบโจมตี ให้ทหารทุกหน่วยเฝ้าระวังและเตรียมพร้อม”
“น้อมรับคำสั่งท่านแม่ทัพ/น้อมรับคำสั่งท่านแม่ทัพ”
ต้นยามเม่า*
(ยามเม่า=05.00-06.59น.)
กองทัพรวมพลพร้อมออกเดินทาง เสบียงอาหารและน้ำดื่มต่างถูกแจกจ่ายให้อย่างครบครันคำสั่งของท่านแม่ทัพล้วนกระจายไปอย่างทั่วถึง ทุกคนต่างรับทราบและเข้าสู่ภาวะพร้อมรบ เมื่อได้รับสัญญาณกองทัพก็เคลื่อนพลไปอย่างไม่ช้าไม่เร็วเท่าใดนัก สี่ชั่วยามผ่านไปกองทัพก็เดินทางเข้าเขตหุบเขาหัวกะโหลก
ภูมิประเทศบริเวณหุบเขาหัวกะโหลกเป็กลุ่มหุบเขาหินทรายอันแห้งแล้ง ไร้ต้นไม้ปกคลุมทุกที่เต็มไปด้วยหินทราย ูเาสูงชันทอดยาวกินพื้นที่หลายร้อยลี้ ถือเป็ภูมิประเทศที่สลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง ตอนซ่างกวนจือหลินอายุเก้าปีได้มาสำรวจพื้นที่บริเวณนี้กับท่านปู่อยู่่หนึ่ง ถือเป็บททดสอบความสามรถในการวางแผนการรบในชัยภูมิที่โหดร้าย
สามเดือนที่ข้าถูกนำมาปล่อยให้ทำภารกิจในหุบเขาหัวกะโหลกพร้อมด้วยแผนที่หนึ่งผืน ทุกจุดที่เป็พื้นที่สำคัญในหุบเขาต่างมีกองกำลังที่ท่านปู่วางไว้เพื่อทดสอบ เอาชนะได้หนึ่งแห่งก็จะได้เสบียงอาหารและอาวุธเพื่อใช้ในภารกิจต่อไป ข้าเรียกมันว่าภารกิจลอบสังหารในหุบเขามรณะ จะโง่ไปสู้ตัวต่อตัวกับกองทหารนับสิบทำไม วางกับดัก ลวงมาฆ่า ไม่ว่าจะยาพิษแมลงพิษที่หาได้ล้วนถูกนำมาใช้
ตอนนั้นเป็ฤดูร้อน อุณหภูมิในตอนกลางวันกลางหุบเขาที่ไม่มีต้นไม้สักต้นพุ่งสูงจนสามารถแผดเผาคนให้ตายได้ เพื่อประหยัดน้ำดื่มข้าต้องขุดดินเป็โพรงมุดเข้าไปนอนเก็บแรงเพื่อทำภารกิจในตอนกลางคืน เป็สามเดือนในนรกที่ข้าไม่มีวันลืม แต่การผ่าน่เวลาเช่นนั้นมาได้ทำให้ความสามารถเพิ่มพูน และทำให้ข้าเป็ที่ยอมรับของคนในตระกูลอีกขั้น
อีกห้าสิบลี้กองทัพจะเดินทางเข้าสู่ใจกลางของหุบเขาหัวกะโหลก เพราะภูมิประเทศที่ไร้ซึ่งต้นไม้ทำให้ลมพัดค่อนข้างแรง ยิ่งเป็สายลมในฤดูหนาวเช่นนี้ทำให้บาดลึกไปถึงกระดูก ท่านแม่ทัพที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสังเกตสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียด สัญชาตญาณบอกข้าว่ามีบางสิ่งผิดปกติไอสังหารที่แผ่ซ่านบอกกับข้าว่าในหุบเขานี้เคยมีคนตายไม่น้อย ข้ายกสัญญาณมือให้หยุดเคลื่อนทัพ
ตลอดการเดินทางมานี้ กองทัพเร่งเดินทางก็จริงแต่เป็การเดินทางอย่างเงียบเชียบมิให้เกิดความครึกโครมโดยไม่จำเป็ เมื่อเหล่าทหารได้รับสัญญาณคำสั่งจากท่านแม่ทัพทุกคนก็อยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมทันที หุบเขานี่แปลกประหลาดจนเกินไปแม้จะเป็สถานที่อันแห้งแล้งแต่การที่พวกเขาเคลื่อนทัพผ่านมากลับไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆ เลยแม้แต่ตัวเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่าเส้นทางนี้ถูกค้นพบและถูกใช้อยู่เป็ประจำ สังเกตได้จากถนนที่ราบเรียบจนเกินไปราวกับว่ามีการสัญจรมานาน
แม้นี่จะเป็เส้นทางเฉพาะของตระกูลซ่างกวนแต่ก็มิใช่ว่าจะไม่ถูกพบเจอ อีกทั้งการเคลื่อนพลครั้งนี้เกิดอย่างกระชั้นชิดจึงไม่ได้มีการการสำรวจเส้นทางมาก่อน ครั้งสุดท้ายที่มีการสำรวจและซ่อมแซมเส้นทางคือสิบปีที่แล้ว สิบปีที่ผ่านมาก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเช่นไร
“ถ่ายทอดคำสั่ง ตั้งทัพเฝ้าระวัง”ข้าสั่งการด้วยน้ำเสียงอันเรียบนิ่งสายตาทอดมองหุบเขาเบื้องหน้า นี่ถิ่นข้าหินทุกก้อน ซอกเหลือบทุกช่องข้าผู้นี้ล้วนก้าวผ่านมาหมดแล้ว
นายกองฝ่ายสื่อสารโบกธงสีเหลืองไปมา เมื่อสัญญาณส่งจากท่านแม่ทัพธงสีเหลืองจากกองพลถัดๆ ไปก็ยกโบกตอบไปจนสุดแถวที่ยาวหลายลี้
“รองแม่ทัพฝ่ายขวาเกณฑ์พลทหารมือดียี่สิบคน เราจะไปจับหนูกัน”
“รับทราบ”อิงปู้รับคำสั่งแล้วบังคับม้าไปเตรียมการณ์ทันที
“รองแม่ทัพฝ่ายซ้ายเ้าอยู่รักษาการกองทัพ รอข้ากลับมา”เมื่อเห็นอิงปู้ออกไป ข้าก็หันไปสั่งอิงเหอต่อทันที
“ขอรับท่านแม่ทัพ”อิงเหอรับคำสั่งอย่างหนักแน่น ด้วยคาดการณ์ว่าท่านแม่ทัพจะทำสิ่งใดจึงหันไปสั่งนายกองผู้หนึ่งให้เตรียมการณ์ให้พร้อม ตัวที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้จะเป็สุนัขเ้าถิ่นหรือหนูที่อยู่ตามท่อน้ำก็จะได้เห็นดีกัน
อิงปู้ไปไม่นานนักก็กลับมาพร้อมนายทหารหน่วยก้านดีที่รูปร่างไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป รูปร่างทุกคนต่างดูสมส่วนเหมาะแก่การไปทำภารกิจในครั้งนี้ไม่น้อย ข้ามองผู้ช่วยทั้งสองที่ทำงานโดยไม่ต้องสั่งให้มากความอย่างพอใจ
“เตรียมตัวยิงตะขอ”ด้วยเส้นทางนั้นอยู่ด้านล่างของหุบเขาจึงเป็สถานที่ที่ง่ายต่อการซุ่มโจมตี ศัตรูต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งบนูเาเป็แน่ เมื่อสิ้นคำสั่งเหล่าพลหารก็เคลื่อนรถที่ติดตั้งเครื่องยิงตะขอแบบสี่แฉกขนาดใหญ่ออกมา เครื่องมือยิงตะขอนี้ไว้ใช้สำหรับไต่ขึ้นที่สูงไม่ว่าจะเป็ูเาหรือกำแพงเมือง
“ยิง!”
สวบ! ฟิ้ว!
กลไกลการทำงานของเ้าเครื่องยิงตะขอนี้คล้ายกับหน้าไม้ขนาดใหญ่ เพราะขาดที่ใหญ่ของมันจึงทำให้แรงส่งตะขอขึ้นไปยึดเกาะอีกฝั่งมีมาก เครื่องยิงตระขอถูกยิงออกไปพร้อมกันยี่สิบสองตัวเพราะออกแบบให้ติดตั้งรอกไว้ที่ส่วนท้ายดังหลักการหย่อนเชือกตักน้ำขึ้นมาจากบ่อลึก เมื่อทดสอบว่าตัวตะขอยึดอย่างแ่าแล้ว ท่านแม่ทัพและเหล่าทหารก็ใช้ตะขอเล็กเกี่ยวกับเส้นเชือกที่ถูกทำให้เป็ปม ตรวจดูความเรียบร้อยของเชือกว่าไม่มีปัญหาท่านแม่ทัพก็ให้สัญญาณมือเริ่มดึงเชือกส่งทันที
ด้วยความร่วมมือกันอย่างขันแข็งของเหล่าทหารใช้เวลาไม่กี่อึดใจท่านแม่ทัพและเหล่าทหารก็ขึ้นมาถึงยอดเขาได้สำเร็จ เมื่อเห็นว่าทุกคนปลดเชือกเรียบร้อยแล้วข้าก็ทำสัญญาณมือให้รวมพลแล้วเดินนำทุกคนไปยังทิศทางหนึ่งทันที ้านี้เต็มไปด้วยกลุ่มหินก้อนใหญ่เล็กประปราย เดินลัดเลาะมาราวครึ่งชั่วยามก็ถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง กะจากระยะทางคงอยู่ห่างจากกองทัพเบื้องล่างราวสี่ถึงห้าลี้
ผู้มาใหม่หมอบราบไปบนพื้นให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมพลางสังเกตเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ เงี่ยหูฟังบทสนทนาของกลุ่มคนที่กำลังถกเถียงกันอย่าดุเดือด ฟังคร่าวๆ กลุ่มคนพวกนี้คือโจรูเาที่ใช้หุบเขาหัวกะโหลกแห่งนี้เป็แหล่งกบดานจากการตามล่าของทางการ
“หัวหน้าจากที่เ้าสามเห็นมาเป็กองทัพจริงๆ แถมจำนวนก็ไม่อาจคาดเดาได้”หนึ่งในลูกสมุนพูดกับชายหน้าบากผู้เป็หัวหน้าอย่างหวาดกลัว ั้แ่ตั้งตัวเป็กองโจรมานับสิบปียังไม่เคยเจอกองทัพที่ใหญ่ขนาดนี้
“เ้ารองอย่าตื่นตูมไปเราก็อยู่ส่วนเรา รอให้กองทัพเคลื่อนผ่านไปก็ไม่มีปัญหาแล้ว”คนโง่เท่านั้นที่จะริอาจไปต่อกรกับทหารที่ถูกฝึกมาเช่นนั้น ชายหน้าบากสั่งลูกน้องอย่างเคร่งขรึมกองโจรของเขามีไม่กี่ร้อยชีวิตถนัดแต่ปล้นฆ่าเหล่าพ่อค้า
“พี่ใหญ่พูดถูก เราต้องซ่อนตัวเงียบๆ เข้าไว้”เ้าสามที่เป็คนนำข่าวมาแจ้งพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ ทุกคนต่างเห็นพ้องว่าให้ซ่อนตัว
แต่ดูเหมือนว่ากองโจรูเานี้จะใช้โชคที่มีหมดไปแล้ว
สายลมพัดมาเป็ละลอก พัดเอาบางสิ่งล่องลอยไปทางพวกโจรที่กำลังชุมนุมกันอยู่
“อากาศตอนเที่ยงเย็นสบายว่าหรือไม่ กินข้าวกันหรือยังสหาย”
เสียงหวานใสดั่งระฆังแก้วดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของขุนพลในชุดเกราะอันหน้าเกรงขาม!